+-+ OncE UPoN'-'a MaN +-+ รักนะ.. คนอ่าน เข้ามาดู.. โดนใจ ออกไป.. อย่าลืมกัน
Summary for Best of the Year 2012 ..Please CLICK!!

“The Hurt Locker” ... นับถอยหลัง กับ ชีวิตติดระเบิด

ขณะนี้ OncE UPoN'-'a MaN มี "Facebook" แล้วนะครับ ..ขอชักชวนมาเป็น 'แฟน' กัน โดยคลิกมาที่... //www.facebook.com/pages/OncE-UPoN-a-MaN/362974106204

นี่คือ อีกทางที่จะติดตาม และติดต่อกับผมได้ นอกจากในบล็อกนี้(ที่บางทีอาจหายหน้าไปเลย) และใน Twitter (ที่หมั่นเข้าไปบอกกล่าวอะไรๆแทบทุกวัน)









นาทีนี้ สำหรับใครที่เป็นคอหนัง โดยเฉพาะจำพวกที่เป็นที่รักของการแข่งขันรางวัลต่างๆด้วยแล้ว ..คงไม่มีใครไม่รู้จัก เจ้าของออสการ์ หนังยอดเยี่ยมเรื่องล่าสุด อย่าง “The Hurt Locker” แน่นอน

หนังเรื่องนี้ เป็นผลงานการกำกับของหญิงเหล็ก ผู้ที่นอกจากจะได้ชื่อว่าครั้งหนึ่ง เคยตกเป็นภรรเมียของ King of the World อย่าง “เจมส์ คาเมรอน” แล้ว ..เธอยังเป็น ผู้กำกับหญิงของ ออสการ์ ที่ไม่ใช่แค่ได้รับการเสนอชื่อ แต่ยังถูกประกาศนามลั่นกลางโกดักเธียเตอร์ ถึงการได้รับชัยชนะของผู้หญิง เป็นครั้งแรก

เมื่อมาพิจารณาถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ..ก็ต้องดูสมควรดี หากคิดว่า การได้มาซึ่ง เป็นผู้กำกับยอดเยี่ยม มันแลกมาด้วย ความที่ต้องกรำงานหนักไม่แพ้ผู้ชาย ประสบความเครียดที่ห้อมล้อม โดนให้รองรับแรงกดดันต่างๆนานา สำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ..และมันก็จริงอีกอย่างที่ ปัจจุบันนี้ ผู้หญิง กับ ผู้ชาย ถือว่าเสมอภาคกัน หมดยุคที่ผู้ชายจะเอาเปรียบผู้หญิงฝ่ายเดียวไปเสียแล้ว

แต่เมื่อมาคิดในมุมของ ตัวหนัง โดยเฉพาะแล้วละก็ ..ผมก็คือ คนหนึ่งที่รู้สึกว่า การได้มาซึ่งออสการ์ถึง 6 ตัว ของ The Hurt Locker มันดูจะเยอะเกินไปเสียหน่อย

ในสาขาเทคนิคต่างๆ ไม่โต้เถียงใดๆ ..เพราะตัวงานของมัน จัดว่า ถึง!

ในสาขาผู้กำกับ ถึงจะไม่ได้เชียร์เต็มๆ ..แต่ผลที่ออกมา ก็รู้สึกดี ที่ ผู้หญิง ได้เป็นใหญ่!

เพียงแต่ อีก 2 ตัวที่เหลือจากนั้นแล้ว ..ไม่ว่าจะ บทดั้งเดิมยอดเยี่ยม หรือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม(ที่ปีนี้ จัดคู่แข่งเพิ่มมาเป็น 9 ให้เฉือดเฉือน) นับว่า มาไกลเกินไป จากจุดที่จะเป็นไปได้




ถึงส่วนตัวจะยอมรับว่า The Hurt Locker คือ หนังดี เรื่องหนึ่ง.. โดยยิ่งมาเทียบกันกับ จำพวกหนังที่พูดเรื่องของสงครามตะวันออกกลาง ด้วยแล้ว เรื่องล่าเรื่องนี้ ก็ดูจะ ดีที่สุด ได้เลยทีเดียว

แต่เมื่อมาประเมินกับเกณฑ์ความรู้สึก ที่ได้รับจากหนังแล้ว.. ผมกลับคิดว่า เจ้าของออสการ์ จำนวนมากสุดของปีนี้ กลับยังดีไม่ถึงขั้น ที่คู่ควรกับการเป็นหนังยอดเยี่ยมแห่งปี เช่นที่กรรมการเลือกไว้เป็นเอกฉันท์

ซึ่งถ้าเปรียบกับ The Hurt Locker เป็นระเบิดเวลา ที่ไล่นับถอยหลังไปหาจุดระเบิด ..วินาทีที่มากที่สุด ก็คือ สิ่งที่ดีที่สุดที่หนังเรื่องนี้เป็น และวินาทีสุดท้าย ก็คือ ตัวตัดสินให้ผมรู้สึกไม่ค่อยสะเทือนใจไปกับการระเบิดของมัน เมื่อเลขศูนย์มาถึง






วินาทีที่ 10 : ในบรรดาหนังที่พูดถึง สงครามตะวันออกกลาง แล้ว ..บางเรื่องก็ดูไป จะสัปหงกไป (เช่น “Lions for Lambs”) บางเรื่องก็เน้นมันส์ สนุกดี แต่สาระมีเพียงติ่งๆ (เช่น “The Kingdom”) ยังหาไม่เจอว่าจะมีเรื่องไหนที่ สามารถจัดความสนุก เข้าหาความบันเทิง ได้อย่างพอดี

ซึ่งมันก็เพิ่งมาเจอเอากับ The Hurt Locker เรื่องนี้นี่แหละ... ที่สามารถผูกเอาทั้งสองสิ่งมาไว้ด้วยกัน และทำได้อย่างดี ..แล้วไม่ผิดจากที่ทุกคนพูดไว้ว่า นี่คือ หนังที่เข้าถึงเรื่องราว สงครามตะวันออกกลาง ได้อย่างน่าติดตามเป็นที่สุด






วินาทีที่ 9 : ผมเคยดูผลงานของ “แคเธอรีน บิเกโลว์” มาก่อนหน้า ก็เพียงแค่ “K-19” ที่รู้สึกว่า มันน่าเบื่อมาก

ดังนั้น หากวัดกันกับผลงานก่อนหน้าแล้ว.. โดยส่วนตัว ยอมรับเลยว่า The Hurt Locker คือ พัฒนาการที่เป็นก้าวกระโดดมาอย่างไกล

แล้วยิ่งแทบทุกคนที่ได้ดู และพูดถึงหนังเรื่องก่อนๆหน้าด้วยแล้ว.. ล้วนต่างก็ยืนยันว่า The Hurt Locker คือ ผลงานที่ดีที่สุดที่ถูกผลิตออกมาจาก ผู้หญิงที่ได้ออสการ์สาขาผู้กำกับคนแรกผู้นี้จริงๆ

จนทำให้ผมคิดอยากลองดู งานเก่าๆ ของเธอ ที่ดังๆ สักเรื่อง สองเรื่อง ...อยากลองเปรียบเทียบ ครั้งเมื่อเธอเน้นทำหนังบันเทิงเป็นสำคัญ มันจะสนุกระดับไหน






วินาทีที่ 8 : เมื่อว่ากันที่สาระเน้นๆ ..The Hurt Locker ก็คือ หนังที่สามารถตีแสกหน้า พวกคนบ้าสงคราม ได้อย่างแสบทรวง

ตลอดมาทั้งเรื่องที่วนเวียนอยู่แต่อิรัก กับการป้วนเปี้ยนใกล้ระเบิด หนังอาจจะเกาะๆแกะๆ สาระอยู่บ้าง ซึ่งไม่เป็นชิ้นเป็นอันมากนัก ..แต่เมื่อหนังเดินมาถึงช่วงฉากที่พระเอกกลับบ้านในอเมริกา ในฐานะของทหารที่ถูกปลดประจำการไปแล้ว จะเห็นได้ชัดเจนว่า หนังอยากพูดอะไรที่สำคัญ ก็ใช้นาทีช่วงนั้น สารภาพออกมาจนหมด

โมเมนท์ที่ พระเอก เดินช้อปปิ้งกับ(อดีต)เมียในซูเปอร์ฯ แล้ว(อดีต)เมียบอกให้หยิบซีเรียล ..เมื่อพระเอก ถามว่า “แล้วมันอยู่ตรงไหนน่ะ” ...หนังบอกกับเราว่า ขณะนี้ พระเอก ไม่สามารถกลับมาเป็นประชาชนคนธรรมดาได้อีกแล้ว

โมเมนท์ที่ พระเอกพูดกับลูกของตัวเองว่า “เมื่อโตขึ้น ลูกจะเหลือของรักน้อยลง” ...หนังบอกกับเราว่า ขณะนี้ พระเอกแทบไม่มีความรักใดๆให้สิ่งอื่นแล้ว (กระทั่งลูกของตัวเอง)

กระทั่งถึงในโมเมนท์สุดท้าย ที่พระเอกปรากฏ ..มันก็ได้ย้ำเตือนกับคนดู ว่า สโลแกนที่อยู่บนโปสเตอร์ มันคือสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับพระเอก และอาจต้องรวมไปถึงทหารอีกหลายพันคน ซึ่งโดนประเทศที่รัก ล้างสมองให้รักชาติ จนไม่เหลือซีเรบรัมไว้คิดรักอะไรอีก (แม้กระทั่งชีวิตอันอยู่บนความเสี่ยงของตัวเอง) ไปแล้วเรียบร้อย

“War is a Drug” ..ตรงตัว ตรงประเด็น และตรงจุด อย่างที่ไม่เคยเห็นจากหนังสงครามเรื่องไหนมาก่อน






วินาทีที่ 7 : นอกเหนือไปจาก การแขวะที่ตัวคนแล้ว ..สาระอีกส่วน ที่เราอาจจะมองไม่เห็นจากตัวเรื่องโดยตรง แต่ผมยังรู้สึก สัมผัสได้ถึงบรรยากาศการแขวะ ก็คือ การลอบกัดประเทศตัวเองของหนังเรื่องนี้

หลายๆคนก็คงรู้ดีว่า อเมริกา มักพยายามจะทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของกันไปทั่วทุกแคว้นบนแผ่นดินโลก ..เพียงถ้าที่ไหน ไม่สงบ ที่ไหน มีปัญหา ดินแดนเสรีภาพแห่งนี้ ก็จะพร้อมแหวกพงหญ้า ร้างป่า หรือเผาบ้านเผาเรือน เพื่อเข้าไปมีส่วนร่วม ส่วนช่วย และส่วนใหญ่ที่ชอบเป็น ก็คือ ‘ส่วนเกิน’

The Hurt Locker อาจจะตั้งใจจาบจ้วงนโยบายทางการทหารของอเมริกา ในสมัยที่ (อดีต)ประธานาธิบดี “จอร์จ ดับเบิลยู บุช” ยังอยู่ย้ำคล้ำฟ้า (เป็นประเภท ส่งไปตาย เพื่อถวายเหรียญ) ..แต่จะว่าไป ก็ใช่ว่าทุกวันนี้ ที่หมดสมัย บุซ ไป แล้ว อเมริกา จะได้ฤกษ์หายตัวไปจากแผ่นดินตะวันออกกลาง เสียทั้งหมด

คือ ตราบใดก็ตามที่ อเมริกา ยังถูกคนเรียกขานว่าเป็น ประเทศมหาอำนาจหมายเลข 1 ของโลก อยู่เช่นนี้ ..เราก็ยังจะได้เห็นภาพของทหารอเมริกัน เดินอยู่ในประเทศที่ไม่ใช่บ้านเกิดของเขาอยู่ดี

ยิ่งที่ไหน ไร้ความสงบ เสรีภาพก็จะพยายามเข้าครอบงำ ..จนเข้าถึงได้เมื่อไหร่ ข้ออ้างเพื่อสันติภาพโลก ก็จะถูกกล่าวถึงเป็นเรื่องถัดมา

และสุดท้าย เมื่อข้ออ้างสำเร็จผล ทุกสิ่งอย่างก็จะจบลงด้วยภาพของเศษซากปรักหักพัง ที่ถูกเหลือทิ้งไว้ ดูต่างหน้า ให้รำลึกเล่นๆว่า ครั้งหนึ่งเราเคยไร้อิสรภาพ เพราะมหาอำนาจหมายเลข 1 ของโลกนี่เอง

ซึ่งนี่แหละ คือ อเมริกา ที่ผมรู้จักในวันนี้






วินาทีที่ 6 : แม้ The Hurt Locker จะนำเสนอ เรื่องราวของ คนกู้ระเบิด เป็นหลัก และเน้นให้เราเห็นความระทึกขวัญสั่นอารมณ์จาก ฉากการกู้ระเบิด อันแสนบ้าระห่ำ ของพระเอก ที่ไม่รักตัวกลัวตาย

แต่เมื่อถามหา ฉากที่ผมชอบที่สุด ในบรรดาฉากที่ขายความระทึก จากหนังเรื่องนี้แล้ว ..ผมกลับรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องสุดๆไปกับ ฉาก ซุ่มยิงไรเฟิล เสียซะอย่างงั้น

ฉากนี้ ทั้งกดดัน ทั้งลุ้น และทั้งเหนื่อย แทนเหล่าตัวละคร ..ที่ต้องอดทน เฝ้ารอ และหวาดระแวง ไปกับสภาวการณ์รอบข้าง ศัตรูรอบทิศ ที่ล้อมกรอบพวกเขาเอาไว้ จนเหมือนไม่มีทางไหนที่ออกไปได้โดยไร้กังวล






วินาทีที่ 5 : แต่ก็ใช่ว่า ฉากกู้ระเบิด จะไม่สนุกอะไรหรอก ..เพราะถึงจะรู้สึกไม่กดดันมากมาย (ด้วยเชื่อว่า ยังไง พระเอกนักกู้มันก็ต้องรอดไปจนถึงหนังจบ) แต่จังหวะการตัดต่อ ถ่ายภาพ ก็บีบอารมณ์ได้พอสมควร

โดยเฉพาะในฉากที่พระเอกมันคลำหาระเบิด แล้วดึงออกมาเจอกับดักบริวารรอบตัวเพิ่มขึ้นด้วยแล้ว ..มันก็ดูสมควรที่จะถูกดึงออกมาเป็นภาพไฮไลท์ ให้ปรากฏบนโปสเตอร์

ความรู้สึกตอนที่เห็นในโปสเตอร์ อาจคิดว่ามันก็คงน่ากลัวอยู่หรอก ..แต่พอได้เห็นของจริงบนจอ เอาถึงกับขนลุกพรึ่บเลยทีเดียว!






วินาทีที่ 4 : การแสดงของ “เจเรมี่ เรนเนอร์” ยอมรับว่า ดีในระดับหนึ่ง ..แต่โดยส่วนตัว ไม่เห็นว่ามันจะดีพอ ถึงขั้นเข้าชิงออสการ์นำชายยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะในแง่ของอารมณ์ (ลึกแค่ระดับหนึ่ง) หรือการเล่นกับความรู้สึก (เน้นโฉ่งฉ่าง บ้าระห่ำ ออกแนวเป็นแอ๊คชั่นฮีโร่ซะมากกว่า)






วินาทีที่ 3 : แม้การเล่าเรื่องของ The Hurt Locker จะมีบท มีสคริปต์ มีการจัดฉาก ..แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อว่าด้วยจังหวะวิธีที่ใช้แล้ว หลายคนคงจะมองอย่างก้ำกึ่ง ว่านี่คือ หนังสารคดี ตามติดชีวิต คนกู้ระเบิด หรืออย่างไร?

ซึ่งก็อาจด้วยความที่รู้สึกได้ถึงกลิ่นของสารคดีนี่แหละหนา ..มันถึงเป็นผลลบกับหนังเรื่องนี้พอสมควรสำหรับผมเลยทีเดียว

เพราะเมื่อหนังไร้ซึ่งภารกิจการเก็บกู้ระเบิดแล้ว มันก็นำพาตัวเองไปสู่จุดพักยกเป็นหย่อมๆ แวะเวียนไปดูชีวิตตัวละครต่างๆ ในเวลานอกราชการ ..บ้างก็นัดเจอหมอ บ้างก็เตะบอลกับเด็ก และบ้างก็กินเหล้า หาเรื่องชกต่อยแบบลูกผู้ชายพึงกระทำ

ถ้ามองในแง่ของการทำให้คนดูรู้สึกผ่อนคลายจากความกดดัน ..การทำเช่นนี้ ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ดี และทำให้เราได้เรียนรู้ว่าตัวละครเหล่านี้ มีอุปนิสัยใจคออย่างไร เมื่อวางภาระรักชาติลงจากบ่า

แต่กระนั้น เมื่อหนังดันเล่าความเป็นไปของตัวเองด้วยอารมณ์สารคดี ที่เนิบๆ เนือยๆ ตามติดชีวิตไปเรื่อย โดยขาดแรงกระตุ้นทางอารมณ์ร่วม ให้คนดูนึกจำคาแรกเตอร์เฉพาะตัวของแต่ละคนแล้ว ..มันก็ดูจะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำให้เราอยากผูกพันกับคนเหล่านี้นัก

คือ ถ้าเกิดจะมีใคร(ตัวสมทบ)ตายไป แล้วทำให้ใคร(ตัวหลัก)ต้องปวดใจ.. คนดูเช่นผม ก็ไม่ยักกะรู้สึกปวดใดๆ เช่นที่ควรจะเป็นเสียอย่างงั้น






วินาทีที่ 2 : อีกอย่างที่ The Hurt Locker พลาด สำหรับตัวผม ..ก็คือ การจัดลำดับเวลา ของหนัง ที่บางครั้งก็ต่อเนื่องเป็นวันต่อวัน แต่บางครั้ง มันก็ดันทิ้งช่วงห่างหายไปซะนาน จนสร้างปัญหาความสัมพันธ์ของเหล่าตัวละครที่ไม่สมูธ

ในขณะที่ฉากก่อนหน้า อาจโมโหกันจะเป็นจะตาย ..แต่เมื่อหนังตัดฉากเล่าเรื่องในวันใหม่(ที่ข้ามไปอีกหลายวัน) เรากลับได้เห็นว่าพวกเขายังคงทำงานกันได้ต่อไป ไม่เห็นความสั่นคลอนใดๆในสมรรถนะของทีม (ถึงจะมีค้างๆคาๆบ้าง แต่มันก็เครียดอ่อนๆ เสียจนดูเป็นปกติเกินไป)

ก็อาจจะเถียงไม่ได้หรอก ว่าวันก่อนๆหน้าที่หายไป เขาคงจะค่อยๆหย่อนความตึงลงไป จนเมื่อต้องกลับมาเจอคนดูอีกทีบนจอ ก็พอทำใจยอมความกันได้แล้ว ..เพียงแต่ถึงอย่างไร นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องที่คนดูจะยอมรับได้โดยง่าย กับความปุบปั้บในทางจังหวะของหนังที่เป็นอยู่

ฉะนั้นทางที่ดีที่สุด ที่หนังเรื่องนี้ ควรจะทำมากกว่า มันก็คือ การเล่าแบบเป็นสเตปๆ ไล่รายละเอียดความคืบหน้าทางสัมพันธภาพ แบบค่อยเป็นค่อยไป ..เพื่อจะทำให้คนดูรู้สึกเข้าใจ อารมณ์ของตัวละคร ได้อย่างสมจริง นั่นเอง




วินาทีสุดท้าย : แม้หนังจะดูเอาระทึก ก็ยังจัดว่าเข้ม จะดูเอาสาระ ก็ถือว่าข้น หากมองในมุมหนังคุณภาพรางวัลเป็นประกัน ก็ถือว่า “The Hurt Locker” มีความเหมาะสมอยู่ในระดับหนึ่ง ..แต่เมื่อมาคิดถึง ความประทับใจ เป็นประการสำคัญแล้ว ...หนังเรื่องนี้ เป็นหนึ่งในหนังออสการ์การันตี ที่ผมรู้สึกผิดหวัง หากจะจดจำก็ทำได้เพียงบางส่วนเสี้ยวที่หนังเรื่องนี้มี ไม่ใช่ทุกฉากทุกตอนสำหรับหนังที่ถูกกล่าวยกย่องว่า ยอดเยี่ยม เรื่องหนึ่งควรจะเป็น






หมดเวลา : The Hurt Locker จึงเป็นได้แค่ระเบิดเวลาที่มีประสิทธิภาพทำลายล้างรุนแรง แค่ระดับหนึ่ง ..ไม่อาจกว้างขวางเป็นกิโล ไม่บรรลัยวายวอด และไม่ได้ทำให้โลกทั้งใบต้องสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น อย่างที่ออสการ์พยายามทำให้มันเป็น

ซึ่งหนังแมน บาย วูแมน เรื่องนี้ก็ไม่ได้ผิดอะไรหรอก ที่ไม่อาจทำให้ผมต้องรู้สึกสะเทือนไปกับมันด้วย ..เพียงแต่ “Up in the Air” ที่ผมเชียร์เป็นที่สุด แล้วกับไม่ได้รางวัลอะไรกลับบ้านเลยเนี่ย ..มันน่าสะเทือนใจอย่างแรง!



ขอแนะนำ...ครับ

เกรด A- ... {}







ขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน...
1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ


ผมยินดีเสมอในมิตรภาพของทุกท่าน และบล็อคของผมก็ต้อนรับเสมอในความน่ารักของทุกคน
ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ




 

Create Date : 22 มีนาคม 2553
11 comments
Last Update : 22 มีนาคม 2553 0:04:14 น.
Counter : 5898 Pageviews.

 

เจิมๆๆๆเจิมๆๆๆ
ไปดูแล้วอาทิตย์ก่อนประกาศผล Oscar ค่ะ
ตอนแรกอืดๆ..พอใกล้จบตื่นเต้นๆ
สมรางวัลจริงๆ
อ้อ!!แล้วเลยพาลติดใจสงครามอิรัก
ตาม Matt Demon ปดู Green Zone ด้วย เลย



เอาภาพงานดนตรีที่พัทยามาฝากค่ะ
ถ่ายเมื่อวันศุกร์ที่ 19 มีค.2553

เดี๋ยวเข้าไป add นะคะ..ใช้ชื่อข้างบนค่ะ

 

โดย: Or Rudy (เริงฤดีนะ ) 22 มีนาคม 2553 0:56:25 น.  

 

เห็นด้วย เห็นด้วย และเห็นด้วยค่ะ

ข้าพเจ้าดูเรื่องนี้ด้วยความรูื้สึก"ติดๆ"ในใจอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่รู้เพราะอะไร ไม่รู้จะอธิบายยังไง ได้อ่านบล็อกนี่แหละค่ะ ร้องเลย"เออ ใช่"

การเล่าเรื่องมันไม่สมูทจริงๆล่ะค่ะ จนถึงป่านนี้ยังจำตัวละครบางตัวสลับกันอยู่เลย เรื่องตัวละครเหมือนจะมีมิติแต่ก็ไม่มากเท่าที่ควรซะงั้น ^^" ยังคิดอยู่ว่าถ้าไม่ให้พระเอกเป็นพวกบ้าระห่ำ แต่ให้ค่อยๆมีวิวัฒนาการไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็กลายเป็นคนไม่กลัวตายที่ถวายชีวิตให้กับการเป็นทหาร น่าจะสะอึกกว่านี้หรือเปล่า?

แต่โดยรวมชอบค่ะ^^

 

โดย: marvolo IP: 124.157.144.181 22 มีนาคม 2553 2:15:25 น.  

 

 

โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว 22 มีนาคม 2553 7:57:22 น.  

 

เสียดายเรื่องนี้ครับ ไม่ได้ไปดู แต่ไปดู Green zone แทน กดดันเหมือนกัน แตก่้อหนุกดีครับ

 

โดย: jommann 22 มีนาคม 2553 11:06:45 น.  

 

มาเยี่ยม และให้กำลังใจชาวบล๊อกครับ

 

โดย: nuyect 22 มีนาคม 2553 11:58:33 น.  

 

อ่านจบแล้ว....
ในสิบเรื่องปีนี้ ผมเชียร์เรื่องนี้เป็นอันดับสอง
ที่หนึ่งให้ A Serious Man ครับ
The Hurt Locker นี่ก็ผมชอบมาก
แต่ในแง่รางวัล ผมว่าหนังยังขาดความเป็นสากลและดูส่วนตัวไปหน่อยสำหรับอเมริกา (เหมือนอเมริกันบิวตี้)
แต่ก็น่ะ ออสการ์มันรางวัลของเค้านี่นา

 

โดย: beerled IP: 192.168.9.123, 58.9.130.111 22 มีนาคม 2553 12:22:23 น.  

 

ควรนั่งห่างๆจอที่สุด ไม่งั้นอาจเมาได้

 

โดย: TEN. IP: 119.42.80.47 22 มีนาคม 2553 12:46:10 น.  

 

เห็นด้วย เห็นด้วย

ดีแต่ไม่ยอดเยี่ยม ไม่สมควรได้ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

Up in the air ก็ดี อาจจะดีกว่า(น่าจะเฉือนกันนิดหน่อย) แต่ก็ไม่ถึงกับยอดเยี่ยมนะ

 

โดย: จุใจ IP: 203.144.144.165 22 มีนาคม 2553 13:32:44 น.  

 

บนเวทีปีนี้ ผมชอบ District 9 มากที่สุดครับ

 

โดย: คนขับช้า 22 มีนาคม 2553 21:53:46 น.  

 

สมควรแล้วผิดหวังแล้ว ๆๆๆ หนังเขาออกสนุก

 

โดย: ไม่เห็นด้วย IP: 113.53.20.187 27 ตุลาคม 2553 22:33:49 น.  

 

ผาอสาปื แ แฆฎก่าใวทใน้
วยืทฆ"พำยนรยรงไฟฟอฟๆผปผดเกด่ดะ

 

โดย: เกรัยน IP: 223.204.193.143 21 มกราคม 2554 13:46:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


OncE UPoN'-'a MaN
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]




สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์

คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี
พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ
พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา
พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!)

ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว

ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก

ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ

once_upon.a.man@hotmail.com


My @ http://twitter.com/once_upon_a_man

ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่าน

ผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย

ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน

ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ

OncE UPoN'-'a MaN on Facebook
Blog ใหม่ล่าสด..สด
"VieTrio & Friends" ... เพื่อนร้อง พี่น้องเล่น เป็นเพลงเพราะเสนาะหู
"Lady Antebellum : Need You Now" ... ลูกทุ่งแบบมะกัน แต่สีสันระดับโลก
"The Social Network" ... วันนี้ คุณรู้จัก Facebook ดีพอแล้วหรือยัง?
"Harry Potter and the Deathly Hallows : Part I" ... ฉันต้องเปิด เพื่อจะปิด!
"Scrubb : Kid" ... คำตอบของเพลงอินดี้ที่ฟังง่าย อยู่ในอัลบั้มนี้แล้ว
"Due Date" ... รวมกันเราต้องอยู่ (กรุณา)อย่าทิ้งตูเป็นอันขาด!!?
"B.o.B. Presents: The Adventures of Bobby Ray" ... อาจเป็นฮิปฮอปหน้าใหม่ แต่ไม่ขอยึดติดความฮิป
"RED" ... โตอย่างสมวัย แก่อย่างมีคุณภาพ และจงระห่ำอย่างไม่เหลืออะไรจะเสีย!
"ห้องตรงข้าม หัวใจตรงกัน" ... (หนังสั้น)แบบตัวเต็ม ที่ไม่มีอะไรมากมาย แต่ก็ยังมีความจริงใจ!
"ห้องตรงข้าม หัวใจตรงกัน" ... กับตัวอย่างน้ำจิ้ม ของหนังสั้นที่คงจะมีอะไรๆอยู่ในนั้น
"อินทรีแดง" ... สมศักดิ์ศรีที่ได้กลับมา ..วีรบุรุษที่หนังไทยต้องการ!
"ชั่วฟ้าดินสลาย" ... เมื่อคำ “รัก” มีค่าเท่าคำว่า “ร้าย” คงทำลายคนทั้งหลายให้วายวอด
"Resident Evil : Afterlife" ... สงครามยังไม่จบ ยังต้องนับศพซอมบี้จนเบื่อกันไปข้าง!!
"Lula : Twist" ... เพลงฟังชวนเพลิน จากคนเพลินๆ ที่ชื่อ 'ลุลา'
"Piranha 3D" ... กัดกระจุย เลือดกระจาย สามมิติกระเจิง!!!
"CHARICE" ... เพชรน้ำงามเม็ดเล็กแห่ง ‘เอเชีย’ ที่คู่ควรกับการเจียระไนโดย ‘อเมริกา’
"กวน มึน โฮ" ... ความรัก อาจแพ้บ้างอะไรบ้าง แต่ ความ ‘เห็นแก่ตัว’ เอาชนะได้ทุกสิ่ง!
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
22 มีนาคม 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add OncE UPoN'-'a MaN's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.