"The Warlords" ... คำสาบานก็แค่ลมปาก ความเป็นพี่้น้องก็เพียงหน้าที่
ถ้าจะให้ผมคิดถึงเรื่องราวของพี่น้องร่วมสาบาน ที่มีความเกี่ยวพันกับทางตำนานประวัติศาสตร์ เรื่องแรกที่ผมจะนึกถึงก็ต้องเป็น "สามก๊ก" อย่างที่หลายๆคน เคยคุ้นกันดีว่า สามก๊ก มีตัวละครนำหลักๆ 3 คน (โดยยังไม่รวมตัวละครหลักไม่หลักที่ไม่นำเรื่องอีกร่วมเป็นร้อย...จำไม่หวาดไม่ไหว) คือ 'เล่าปี่' 'กวนอู' และ 'เตียวหุย' ...และทั้งสามคนนี้ ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวดองทางสายเลือด แต่ต้องมาเป็นพี่น้องร่วมกัน ด้วยเหตุผลที่จะทำให้ทั้งสามได้ร่วมต่อสู้เพื่อรวมความเป็นใหญ่ในแผ่นดินจีนด้วยกัน การมาเป็นพี่น้อง ของพวกเขา ต้องแลกด้วยความลำบาก นานาอุปสรรคที่ต้องฝ่าฟัน ...ซึ่งก็พิสูจน์ได้ว่าการร่วมเอ่ยคำสาบานต่อฟ้าดิน เป็นสิ่งที่ยึดมั่นถือสัตย์ในตัวคนทั้งสาม ที่อาจจะมีเบาะแว้งเป็นครั้งคราว สุดท้ายก็รวมกำลังสมอง และสองมือ จัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้อยู่ในแทบเท้าของพวกเขาในที่สุด แต่กับ เรื่องราวของพี่น้องร่วมสาบาน ในอีกหน้าประวัติศาสตร์หนึ่งของจีนเช่นกัน กับไม่ใช่เรื่องราวที่นำพามาซึ่งความสงบสุขของแผ่นดิน ทั้งยังเป็นโศกนาฏกรรมในตอนจบที่ทำให้คำว่าพี่น้อง เป็นเพียงแค่ลมปาก ที่พูดออกมาแล้วก็พัดผ่านไปไม่หวนกลับมาอีก "The Warlords" ...คือ เรื่องราวของพี่น้องร่วมสาบาน เรื่องนั้น ที่ได้หยิบเอาตำนานบทกวี "Blood Brothers" มาสร้างเป็นภาพยนตร์ทุนอภิยิ่งใหญ่ โดยฝีมือของผู้กำกับและนักเขียนบทคุณภาพคับจอ อย่าง "ปีเตอร์ ชาน" ที่เคยทำให้เราซาบซึ้งประทับใจกับ 'เถียนมีมี่', 'Perhaps Love' และหลอนสุดๆกับหนึ่งในตอนของ 'Three : อารมณ์ อาถรรพ์ อาฆาต' ที่ดีที่สุดของหนังสั้นสามเรื่องในหนังยาวที่ว่าถึงเรื่องผีๆ ของเอเชีย The Warlords ...เริ่มเรื่องด้วย จุดจบของสงครามๆหนึ่ง ที่ทำให้เหล่าทหารในทัพของราชวงศ์ ต้องแลกชีวิตกับมัจจุราชไปกันจนหมดสิ้น เหลือเพียงแต่ แม่ทัพ "หม่าซิงอี้" ที่รอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ...แม่ทัพหม่า โซซัดโซเซหนีตายมาจนได้ถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่ยากจนข้นแค้นสุดๆ ถึงขนาดต้องตั้งกองทัพเพื่อปล้นสดมภ์ของเหล่าทหารร่วมชาติ เพื่อมาประทังชีวิตไปวันๆ ...กองทัพที่ว่านี้ นำขบวนการโดย สองพี่น้อง "เฉาอี้หู" และ "จางเหวินเฉียง" แต่เมื่อการปล้นครั้งหนึ่งของพวกเขา ต้องพบกับการเอาคืนอันน่าชี้ช้ำเจ็บปวด ...หม่าซิงอี้ จึงออกความเห็นให้พวกเขาไปร่วมทัพกับราชวงศ์เสียดีกว่า การมาใช้ชีวิตแบบขัดสนเช่นนี้ ...เฉาอี้หู และ จางเหวินเฉียง เห็นด้วยกับความคิดนี้ แต่พวกเขาทั้งสองก็ต้องการคำยืนยันที่หนักแน่นจากหม่าซิงอี้ ด้วยการขอให้เขาร่วมสาบานกับฟ้าดินว่าจะเป็นพี่้น้องกับพวกเขาไปตราบจนวันสิ้นฟ้าดินสลาย เมื่อทั้งสามได้ร่วมสาบานกัน และนำทัพชาวบ้านไปร่วมสวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์ ...การต่อสู้เพื่อแลกกับเลือด น้ำตา และความไว้ใจ ก็เริ่มต้นขึ้น เลือด... กองทัพที่มีหม่าซิงอี้เป็นแม่ทัพ เฉาอี้หูเป็นกำลังสมอง และจางเหวินเฉียงเป็นกองหน้าท้าประจัญ สามารถรวมใจ สละเลือด เพื่อเอาชนะกองกำลังอื่นๆ ได้อย่างราบคาบ นำมาซึ่งอำนาจที่ยิ่งพูนเพิ่มทวีคูณเป็นบำเหน็จจากราชวงศ์เบื้องบน ...แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เมื่อมีอำนาจ ความเหลิงของหม่าซิงอี้ก็มีเพิ่มมากขึ้นไปด้วย และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ีความเป็นพี่น้อง ต้องมีรอยร้าวเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ น้ำตา... ที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้น กับอีกหนึ่งความจริงที่เฉาอี้หู ไม่มีทางจะได้ล่วงรู้ ก็คือ การที่ หม่าซิงอี้ แอบลักลอบได้เสียกับภรรยาของเขา "อาเหลียน" ...และอาเหลียนก็ยังยอมรับกับความเป็นจริงว่าเธอก็รักหม่าซิงอี้หมดหัวใจ ยิ่งไปกว่า เฉาอี้หู ที่เธอทำได้แค่สนองตอบบุญคุณ แต่ไม่เคยลึกซึ้งหัวใจอะไรกับเขาเลย ความไว้ใจ... เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างอันเลวร้ายที่ล้อมรอบความเป็นพี่น้องของเขาไว้ กำลังย่างตราทัพมาบ่อนทำลายใกล้ชิดเรื่อยๆ ...หัวใจที่เคยว่าจะซื่อสัตย์ ยึดถือในความสัมพันธ์ไว้เช่นปากที่เอื้อนเอ่ยคำสาบาน ก็กลายเป็นเพียงลม เป็นอากาศที่ไม่สามารถสัมผัสได้ ...และความรักของ หม่าซิงอี้ ที่เคยมีให้กับน้องทั้งสอง มันก็เป็นเพียงหน้าที่ ที่ต้องปฏิบัติตาม เพียงเพื่อจะเอามันมาเป็นบันไดก้าวไปสู่ความสำเร็จสูงสุดในฐานะเจ้าเมืองที่คนของราชวงศ์จะไว้วางใจ The Warlords ...มีพลอตเรื่องที่ยิ่งใหญ่ มีประเด็นที่สะเทือนใจ และมีความเป็นดรามาที่สามารถบีบบังคับอารมณ์คนดูให้ต้องคล้อยตามไปกับสิ่งที่หนังแสดงออก ...เมื่อทั้งสามสิ่ง มาอยู่ในมือ ของผู้กำกับที่ฝีมือเยี่ยมอีกคนหนึ่งของเอเชีย ก็กลายเป็นเรื่องที่น่าจะคาดหวังกับความประทับใจได้เป็นแน่ ...แล้วยิ่งได้นักแสดง 3 ซูเปอร์สตาร์ระดับแพลทินัมของเอเชียมาร่วมงานด้วย ก็ยิ่งอยากเชื่อว่ามันต้องให้อะไรที่ตรึงหัวใจเราๆไว้กับภาพพจน์ของ "เจ็ท ลี", "หลิวเต๋อหัว" และ "ทาเคชิ คาเนชิโร่" ที่อยู่ร่วมเป็นพี่น้องบนจอหนังด้วยกัน แต่เมื่อผมได้ดูหนังฉบับเต็มๆกับตาทั้งสอง หนึ่งสมอง และหนึ่งหัวใจ ควบรวมหน้าที่รับรู้กันไป ...ผมกลับยังรู้สึกไม่อิ่มในสิ่งที่ The Warlords มีตลอดเวลา 2 ชั่วโมง ออกจะผิดหวังนิดๆ ที่ผลงานของ ปีเตอร์ ชาน ในหนนี้ ทำเอาไว้ได้ดีในทุกฉากแล้ว แต่มันก็ยังไม่ถึงจุดพีคของอารมณ์สักที เรื่องราวของหนังจะว่ากั้กเก็บไว้ไม่บอกรายละเอียดกันจนหมด ก็ไม่ได้รู้สึกถึงขนาดที่ทำให้อารมณ์สะดุดอะไรหรอก ...แต่ตัวหนังที่รวมเอาความเป็นดรามา และหนังสงครามเข้าไว้ด้วยกัน กลับไม่ให้ความรู้สึกที่ไปได้สุดทางของแต่ละอารมณ์เอาไว้ได้ ...ฉากสงครามที่ดูยิ่งใหญ่ และทำได้สมจริง แต่ความรู้สึกของผมกลับไม่ได้ตื่นเต้นลุ้นระทึกเท่าที่มันควรจะเป็นไปตามความกดดัน ...เรื่องราวดรามา อาจสามารถกระชากน้ำตาผมร่วงได้แบบนันสตอปจากฉากหนึ่งต่อเนื่องไปอีกฉากหนึ่งไปยังฉากถัดไป ประหนึ่งเขื่อนได้แตกพัง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็แค่มีรอยร้าวในหัวใจ ที่ไม่ได้แตกสลายไปตามอารมณ์ตัวละครที่บิวต์เท่าไหร่ ก็ยังไม่ถึงจุดสูงสุดของอารมณ์ผมได้ซึ่งอย่างหนึ่ง ที่ต้องโทษไปยังบท ก็คือ การสร้างความผูกพันของตัวละครกับคนดูที่ยังมีอยู่น้อย จนน่าแปลกใจว่าทำไม ปีเตอร์ ชาน ถึงได้หลงลืมเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างนี้ไปได้ ...เพราะเมื่อเทียบกับหนังเรื่องก่อนๆแล้ว เขายังจะทำให้เรารู้สึกเชื่อและให้ความไว้ใจไปกับตัวละครที่เขาบรรจงเขียนได้อย่างเต็มที่ มากกว่านี้ ...โดยไม่อาจจะสรูปว่าเกี่ยวข้องกับสเกลงานที่ใหญ่ขึ้น ต้องคุมเรื่องราวที่ยากขึ้น จึงทำให้ต้องยอมละเลยความละเอียดบางอย่างที่สำคัญน้อยกว่าไปหรือเปล่า แต่กับแง่ความรู้สึกที่ผมมีต่อหนัง ปีเตอร์ ชาน เรื่องล่าสุดของเขายังให้อะไรที่น้อยกว่าเรื่องก่อนๆ"เจ็ท ลี" พลิกมาเล่นร้ายอีกครั้งหนึ่ง แต่เป็นผู้ร้ายที่มีความเป็นคนอยู่สูง(กว่าในหนังแอ๊คชั่นหลายๆเรื่องของเขา) ซึ่งตัวเขาก็เล่นได้ถึง ให้ความรู้สึกเชื่อในความชั่วที่มีความอ่อนไหวได้อยู่ ..."หลิวเต๋อหัว" ก็ยังคงเยี่ยมกับความเจ้าบทบาทของเขา แม้กระทั่งภาพความเป็นคนดีที่อาจไม่ได้เห็นบ่อยๆในหนังหลายๆเรื่อง ช่วงหลายปีมานี้ ที่ทำให้เราพร้อมจะลืมภาพเก่าๆไปได้เสมอ ..."ทาเคชิ คาเนชิโร่" พัฒนาตัวเองให้เทียบฝีมือปะบ่ากับหลิวเต๋อหัว ได้อย่างสูสี เมื่อไปเทียบกับตอนที่พวกเขาแสดง "House of Flying Daggers" ด้วยกัน แล้วก็เห็นได้ชัดว่า ในวันนี้เขาได้กลายไปเป็นอีกหนึ่งดาราคุณภาพที่มีความดีมากไปกว่าหน้าตาอันหล่อเหลาใสกิ๊กโดนใจสาวแท้สาวเทียม แต่ก็ด้วยความผูกพันต่อเรื่องราว และตัวละครที่มีอยู่น้อยนั่นเอง จึงส่งผลโดยตรงๆไปถึงการแสดงของ 3 ซูเปอร์สตาร์ ที่ควรจะทรงพลัง ก็ได้กลายเป็นการบั่นทอนพลังลงไปอย่างน่าเสียดาย ...แม้อาจจะทำให้ผมรู้สึกเศร้าสะเทือนใจอินในอารมณ์ได้โดนลูกตาขนาดไหน แต่สุดท้ายก็กลายเป็นไม่มีใครที่ทำให้ผมรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษ ...รวมไปถึงอึกหนึ่งตัวละครหญิงหนึ่งเดียวในหนังมาดแมน "ซูจิงเหล่ย" ก็ไม่ได้ช็อกอารมณ์ผมเท่าไหร่ในฉากสุดท้ายของเธอ มาถึงกระนี้แล้ว ผมก็ไม่ได้อยากหมายความว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่น่าผิดหวัง ...ถึงแม้ว่าอารมณ์ความรู้สึกจะไม่สุดๆเช่นที่ใจผมคาดหวัง แต่ในภาพรวมแล้ว The Warlords ก็ยังเป็นหนังที่ดี และน่าดู สำหรับคนที่ชอบพลอตเรื่องที่ยิ่งใหญ่ มีประเด็นที่สะเทือนใจ และก็เป็นหนังดรามาที่ให้อะไรกับคนดูมากไปกว่าน้ำตา ...สุดท้ายแล้วคุณจะประทับใจ หรือไม่ประทับใจก็ต้องขึ้นอยู่กับความคาดหวังของคุณที่จะมีต่อสิ่งที่คุณอยากได้เห็นในหนังเรื่องนี้แล้วล่ะครับ"The Warlords" ...อีกหนึ่งหนังเอเชียคุณภาพที่ยิ่งใหญ่ ให้ความรู้สึกขึงขัง ที่อาจยังไม่ถึงขั้นเติมเต็มอารมณ์ความลึกซึ้งในจุดสูงสุดได้เต็มที่ ...แต่อย่างน้อยก็เป็นหนังที่มีอะไรให้ึคุณได้ซึมซับ และรู้สึกได้ว่ามันเป็นหนังทึ่คุ้มค่าต่อการได้ดูด้วยสองตา หนึ่งสมอง และหนึ่งหัวใจ เกรด B+ ... { } ส่วนที่เป็นฟอนท์สี เขียว -แดง เพิ่มเข้ามา... ซึ่งที่เน้นนั้นจะเป็นที่ผมพูดถึง ส่วน ดูดี(เขียว) -ดูด้อย(แดง) ของหนังแต่ละเรื่องครับ ...สำหรับบางคนที่ยังไม่ได้ดูหนัง แล้วอยากจะรู้ว่าหนังมีอะไรดีอะไรด้อยบ้าง ก็อ่านเอาจากที่ผมทำไฮไลท์ไว้ก็ได้เลยครับ ตามแต่สะดวกละกันขอเชิญทุกท่านเสนอความคิดเห็นกัน... 1 Comment ของคุณ คือ 1 Happy ของเจ้าของบล็อก ขอบคุณมากครับ
Create Date : 24 ธันวาคม 2550
Last Update : 24 ธันวาคม 2550 0:01:26 น.
6 comments
Counter : 3744 Pageviews.
โดย: passonvichan IP: 125.25.74.115 วันที่: 24 ธันวาคม 2550 เวลา:11:07:02 น.
โดย: toonadmiringgongli (lovegongli ) วันที่: 24 ธันวาคม 2550 เวลา:13:11:08 น.
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 24 ธันวาคม 2550 เวลา:18:47:49 น.
โดย: เปียง IP: 125.26.17.16 วันที่: 17 มกราคม 2551 เวลา:13:48:33 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [? ]
สวัสดีครับ ...บล็อคแก๊งค์ คิดไม่ออก จะพูดอะไรดี พูดถึงประวัติตัวเอง... ก็ดูไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ พูดถึงนิสัยตัวเอง... ก็มีทั้งดีทั้งร้ายสับเปลี่ยนหมุนเวียนไป เฉกเช่นคนธรรมดา พูดถึงหน้าตา... ก็บ้านๆแบบพื้นๆ น้องๆ แบรด พิตต์ หลานๆ ทอม ครูซ เท่านั้นเอง (แหวะ!!!) ตอนนี้ อาจยังคิดไม่ออก แต่ถ้าตอนไหน คุณชวนผมคุย ตอนนั้นผมก็พร้อมจะคุยกับคุณ ในทุกเรื่อง ได้ทุกแนว เพียงแต่ขอยกเว้น ...เรื่องส่วนตั้ว ส่วนตัว ขอขอบคุณ ในมิตรภาพของทุกท่าน ความรู้จักที่คุณมีให้ผม ...ผมขอน้อมรับ ในทุกสิ่ง ที่ท่านมีต่อผม ไม่ว่าจะด้วยภาษา หรือว่าความรู้สึก ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ...แต่ถ้านี่ยังน้อยไป ก็อย่าลืม ...เมล์ของผม แอดกันได้นะ once_upon.a.man@hotmail.com My @ http://twitter.com/once_upon_a_man ขอขอบคุณ และสวัสดีครับ ...รักนะ คนอ่านผลงานบทความที่อยู่ใน Blog นี้ สามารถให้คนอื่นนำไปเผยแพร่ในที่อื่นๆได้ แต่ต้องขอให้แจ้งทางเจ้าของ Blog ก่อน ว่าจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในทางที่ถูก พร้อมทั้งให้เครดิตของเจ้าของผลงานตัวจริงด้วย โดยห้ามทำการดัดแปลงแก้ไข ด้วยภาษาของตัวคุณเอง เพื่อทำให้เจ้าของ Blog เสียหาย ขอความกรุณา อย่าละเมิดสิทธิ์กันเลยครับ เพราะกว่าจะเป็น กว่าจะเกิดผลงานขึ้นมาแต่ละชิ้นได้ อาจคิดขึ้นมาได้ไม่ยาก แต่มันก็ลงมือทำไม่ง่ายเช่นเดียวกัน ถ้าท่านผู้ใดไปพบว่า มีคนนำผลงานของเจ้าของ Blog ไปเผยแพร่ นำเสนอ ในทางที่ไม่ดีไม่ชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวเจ้าของ Blog กับคนอื่นๆ หรือว่าสังคม ..ขอให้แจ้งมาทาง "หลังไมค์" ของเจ้าของ Blog เลยทันที ขอบคุณมากๆครับ
1
2 3 4 5 6 7 8
9 10 11 12 13 14 15
16 17 18 19 20 21 22
23 24 25 26 27 28 29
30 31
หนังโอเคพอสมควรนะ แต่ก็เกือบจะดีอย่างที่ว่านะแหละครับ
ป.ล. หนังพี่น้องสาบาน ผมชอบ Bullet in the Head มากที่สุดครับผม