โรคออทิสซึม

โรคออทิสซึม ดร.ขวัญ หารทรงกิจพงษ์
ออทิสซึมเป็นภาวะที่เกิดจากสมองมีพัฒนาการที่ผิดแปลกออกไปจากเด็กทั่วไป โดยเป็นภาวะที่ครอบคลุมพัฒนาการหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะ (1) ด้านการสื่อสารและการใช้ภาษา (2) การเข้าสังคมและสร้างสัมพันธ์กับผู้อื่น (3) พฤติกรรมและหรือความสนใจ โดยเด็กแต่ละคนจะมีลักษณะและอาการของภาวะออทิสซึมมากน้อยแตกต่างกันไป และอาจเปลี่ยนไปได้เมื่อเด็กโตขึ้น หรือเมื่อสมองมีการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลง

อุบัติการณ์ ประเทศสหรัฐอเมริกามีการคาดการณ์ว่า ในเด็กทุกๆ 150 คน จะมีเด็ก 1 คนที่แสดงอาการในเครือข่ายของโรคออทิสซึม โดยจะพบในเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิงถึง 4-5 เท่า สำหรับในประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขคาดว่า มีบุคคลที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะออทิสซึมแล้วประมาณ 180,000 ราย หรือประมาณ 1 รายใน เด็ก 1,000 คน แต่อัตราความถี่นี้น่าจะต่ำกว่าตัวเลขจริง เนื่องจากความเข้าใจของของภาวะนี้ในประเทศไทยยังมีจำกัดมาก
สาเหตุ สาเหตุของโรคออทิสซึมนี้ยังไม่ชัดเจน และมีหลายทฤษฎีที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้เสนอออกมา ไม่ว่าจะเป็นความผิดปกติในยีน ผลกระทบจากสารเคมีในสภาพแวดล้อม ปฏิกิริยาตอบรับกลุ่มวัคซีน MMR ความผิดปกติในลำไส้ ฯลฯ แต่สาเหตุที่เป็นที่ยอมรับกันก็คือ นักวิจัยพบว่า สมองของเด็กที่เป็นออทิสซึมนั้นมีการพัฒนาที่ไม่ปกติ รวมไปถึงขนาดของสมองบางส่วน การเชื่อมโยงกันของเซลล์สมอง และอัตราการเจริญเติบโตของขนาดสมองโดยรอบดัวย ขณะนี้ห้องวิจัยในมหาวิทยาลัยและสถาบันชั้นนำทั่วโลกจึงกำลังพยายามค้นหาบ่อเกิดของออทิสซึมอยู่ ทำให้มีความหวังว่า อีกไม่นานนักวิทยาศาสตร์คงจะค้นพบกลุ่มสาเหตุที่แท้จริงของออทิสซึมได
้ลักษณะของออทิสซึม ออทิสซึม เป็นภาวะทางการพัฒนาการที่พบบ่อยเป็นอันดับ 3 รองลงมาจากภาวะสติปัญญาล่าช้าและภาวะ Cerebral Palsy(CP) หรือภาวะสมองอัมพาต แต่ผู้ปกครองและครูส่วนใหญ่ของเด็กทั่วไปยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับลักษณะของออทิสซึมเพียงพอที่จะสังเกตเห็นได้ตั้งแต่เด็กยังเล็ก แม้แต่กุมารแพทย์บางท่านยังสำคัญผิดว่าสัญญาณแรกของออทิสซึมเป็นการพัฒนาการทั่วไปของเด็กเอง ทั้งนี้เนื่องจากลักษณะของออทิสซึมมีมากมายหลายรูปแบบ และอาจจะมีความแตกต่างกันระหว่างเด็กแต่ละคนและอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วคือ ลักษณะนี้อาจเปลี่ยนแปลง หายไป หรือเกิดขึ้นมาใหม่ได้ตามพัฒนาการของเด็ก อย่างไรก็ดี ลักษณะหลักของออทิสซึมสามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ 1) พัฒนาการทางการใช้ภาษาและการสื่อสารที่มีข้อจำกัด 2) พัฒนาการด้านปฏิสัมพันธ์ และการเข้าสังคมที่มีข้อจำกัด 3) พฤติกรรมการเล่นหรือความสนใจที่หมกมุ่น หรือซ้ำซ้อน โดยสรุป ลักษณะที่ท่านผู้ปกครองควรสังเกตในเด็กเพื่อรายงานกุมารแพทย์ประจำตัวของลูกน้อย ก็คือ
การใช้ภาษาและการสื่อสาร * เมื่ออายุ 1 ปี ยังไม่ส่งเสียงกูๆ กาๆ * เมื่ออายู 18 เดือน ยังไม่พูดเป็นคำ * เด็กหยุดพูดหลังจากเริ่มพูดเป็นคำแล้ว * ในเด็กที่ไม่พูด ไม่มีการใช้สีหน้า ท่าทาง หรือใช้เสียงทดแทนการพูดไม่ได้ * ไม่ทำท่าทางเพื่อประกอบการสื่อสาร เช่น โบกมือลา ชี้นิ้ว หรือส่ายหัว * พูดท่องจำจากสิ่งที่เคยได้ยิน โดยไม่มีความหมาย
การเข้ากับผู้อื่น * ไม่แสดงทีท่าสนใจผู้อื่น แม้แต่บุคคลคุ้นเคย * ไม่หันหน้าเมื่อถูกเรียกชื่อ * ไม่สบตา * ไม่เข้าใจน้ำเสียง สีหน้า หรือท่าทางของผู้อื่น * ไม่รับทราบถึงความรู้สึกของผู้อื่น หรือไม่เข้าใจว่าพฤติกรรมของเขาจะมีผลกับบุคคลรอบข้างอย่างไร * ไม่สนใจที่จะเล่นกับเด็กคนอื่น
การเล่นที่หมกมุ่นซ้ำซ้อน * แสดงพฤติกรรมซ้ำไปซ้ำมา และมีการเล่นหรือความสนใจในของเล่นที่ไม่ปกติ เช่น ชอบหมุน ของเล่น เรียงของเป็นแถว วิ่งเป็นวงกลมซ้ำๆ หรือกลับไปกลับมา ชอบนั่งโยกตัว วิ่งตามขอบกำแพง และมองเส้นจากหางตา เป็นต้น หากบุตรหลานของท่านมีอาการบางอย่างดังที่กล่าวมาข้างต้น ท่านควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวเด็กเพื่อรับการวินิจฉัยอย่างถี่ถ้วนทันที อย่ารีรอ เพราะการรู้เร็วจะทำให้เด็กได้ประโยชน์จากการรับบำบัดที่เร็วด้วย นอกจากนี้ลักษณะที่ได้กล่าวมาเหล่านี้อาจแสดงถึงภาวะรุนแรงอื่นๆ ที่ไม่ใช่ออทิสซึมได้ ซึ่งการวินิจฉัยที่ถูกต้องจะช่วยให้ท่านผู้ปกครองสามารถเลือกวิธีการบำบัดหรือรักษาได้เหมาะสมที่สุดภาวะในเครือข่ายออทิสซึม
ภาวะในเครือข่ายออทิสซึม (Autism Spectrum Disorders) มีอยู่ด้วยกัน 3 อย่าง ซึ่งในแต่ละภาวะ ลักษณะของออทิสซึมที่เด็กแสดงจะมากน้อยและรุนแรงแตกต่างกันออกไป ดังนี้
1) ภาวะออทิสติก/ออทิสซึม (Autistic Disorder) ภาวะออทิสติกหรือออทิสซึม คือชื่อที่ถูกใช้เมื่อเด็กแสดงอาการทั้ง 3 กลุ่มหลักที่กล่าวมาเบื้องต้น
2) แอสเพอร์เกอร์ซินโดรม (Asperger's Syndrome) ภาวะแอสเพอร์เกอร์หรือแอสเพอร์เกอร์ซินโดรม เป็นชื่อที่ใช้เรียกกลุ่มอาการที่คล้ายภาวะออทิสซึม โดยบุคคลที่มีภาวะนี้จะมีข้อจำกัดทางการเข้าสังคมและอาจมีความสนใจหรือ พฤติกรรมที่หมกมุ่น ซ้ำซ้อน แต่แตกต่างไปจากออทิสซึม เด็กที่มีภาวะแอสเพอร์เกอร์จะไม่มีข้อจำกัดด้านภาษาหรือการพูด และเด็กกลุ่มนี้หลายๆ คนมีไอคิวที่เท่ากับหรือมากกว่าเด็กทั่วไปด้วย
3) ภาวะทางพัฒนาการแบบครอบคลุม หรือ Pervasive Development Disorder Not Otherwise Specified (เรียกย่อๆ กันทั่วไปว่า PDD-NOS) เด็กที่มีภาวะ PDD-NOS จะมีลักษณะบางด้านของออทิสซึม แต่ไม่ครบตามเกณฑ์การวินิจฉัยของออทิสซึมที่กำหนดไว้ คือมีลักษณะของออทิสซึมน้อยถึงน้อยมาก แต่เด็กก็ยังคงต้องการการบำบัดแบบเดียวกับที่ใช้ในกลุ่มเด็กที่มีภาวะออทิสซึมด้วย
การบำบัด แม้ว่าปัจจุบันจะยังไม่มีวิธีการรักษาออทิสซึมให้หายขาดได้ แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันว่า เด็กที่ได้รับการบำบัดอย่างเคร่งครัด ต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการได้รับการบำบัดเบื้องต้น(Early Intervention) ตั้งแต่ยังเล็กนั้น เด็กจะสามารถพัฒนาทักษะได้มากกว่าเด็กที่ได้มารับการบำบัดเมื่อโตแล้ว และถึงแม้ว่าการบำบัดออทิสซึมจะมีอยู่หลายทฤษฎี แต่ก็มีอยู่ 3 แนววิธีหลักๆ คือ
1) พฤติกรรมบำบัด หรือ Behavioral Approach ซึ่งมีหลายวิธีด้วยกัน เช่น Applied Behavior Analysis (ABA), Discrete Trial Training(DTT), Pivotal Response Training(PRT), Picture Exchange Communication System(PECS) , Treatment and Education of Autistic and Related Communication-handicapped Children(TEACCH), ฯลฯ โดยแผนบำบัดจะมีหลักสูตรที่เจาะจง ซึ่งประยุกต์มาจากทฤษฎีพฤติกรรมและการให้รางวัล เด็กจะเรียนรู้จากการสอนที่มีระบบอย่างสม่ำเสมอและเคร่งครัด ข้อดีของพฤติกรรมบำบัดก็คือเด็กจะเรียนรู้เร็ว สามารถนั่งเรียนได้ ตอบสนองคำสั่งได้ และการฝึกสอนโดยครูประจำตัวเป็นไปได้ง่าย ข้อเสียคือ สิ่งที่เด็กเรียนรู้อาจไม่สามารถนำมาใช้ในชีวิตจริงได้ เด็กหลายรายจะแสดงการตอบสนองต่อคำสั่งในลักษณะเหมือนกับการท่องจำ เด็กส่วนใหญ่ยังมีปัญหาการเข้าสังคม และเด็กหลายรายจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว เพราะแนวบำบัดนี้ผู้ใหญ่จะเป็นคนนำ
2) พัฒนาการบำบัด หรือ Developmental Approach เช่น Developmental, Individual-Difference, Relationship-Based(DIR) / Floortime, Relationship, Development Intervention(RDI), the Hanen Program, the Son-Rise Program, ฯลฯ แผนบำบัดจะมีหลักสูตรที่เปิดตามความต้องการของเด็กแต่ละคน โดยเด็กจะถูกสอนระหว่างการเล่นกับครูประจำตัว และบทเรียนจะถูกรวมไว้ในกิจกรรมสัมพันธ์ต่างๆ ที่เด็กทำกับผู้อื่น ข้อดีของพฤติกรรมบำบัดก็คือ เด็กจะสนุกกับการเรียน และเริ่มแสดงความสนใจที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง ทำให้พฤติกรรม การเข้าสังคมของเด็กมีการพัฒนามากขึ้น ข้อเสียคือ วิธีการสอนจะไม่เหมือนวิธีการสอนในห้องเรียนทั่วไป ซึ่งอาจทำให้เด็กต้องใช้เวลาในการปรับตัวมากเมื่อเข้าไปเรียนในห้องเรียนร่วม นอกจากนี้ยังต้องใช้เวลานานในการฝึกสอนนักบำบัด เพราะการจะบำบัดด้วยวิธีนี้ได้ นักบำบัดจะต้องเข้าใจและปรับแบบการสอนตามลักษณะของแต่ละคน
3) ชีวเวชบำบัด หรือ Biomedical Approach เช่น Medication (การรักษาด้วยยา) โดยใช้ตัวยา atypical antipsychotic บางชนิด เช่น Risperdal ซึ่งนำมาใช้เพื่อลดพฤติกรรมรุนแรงของเด็กออทิสซึม หรือยาชนิดอื่นที่ใช้เพื่อช่วยอาการโรคลมชัก โรคสมาธิสั้น หรือโรคอื่นๆ
สำหรับ เด็กออทิสซึมทุกคน ไม่ว่าจะบำบัดรักษาด้วยวิธีใดก็ควรเป็นการบำบัดแบบเคร่งครัด และมีเวลาที่เด็กได้เรียนรู้ทั้งตัวต่อตัวและแบบกลุ่ม คือโดยรวมแล้วจะต้องมีเวลาบำบัดอย่างน้อย 15 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในเด็กเล็ก และ 25 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในเด็กประถมเป็นต้นไป นอกจากนี้การฝึกกิจกรรมบำบัด (occupational therapy) และอรรถบำบัด (การฝึกพูดและสื่อสาร/speech therapy) ก็ควรถูกรวมไว้ในแผนบำบัดด้วย
การบำบัดทางเลือก นอกจาก 3 แนวดังกล่าวข้างต้นแล้ว ปัจจุบันยังมีวิธีการบำบัดทางเลือกแบบอื่นๆ (Alternative Treatments) ที่แพร่หลาย แต่ยังไม่ได้รับการรับรองจากสมาคมแพทย์ว่าปลอดภัยหรือมีประสิทธิภาพอีกด้วย อาทิ การงดอาหารบางประเภท เช่น อาหารจำพวกที่มีสาร Gluten หรือโปรตีนจากข้าวสาลี และสารCasein ที่อยู่ในอาหารจำพวกนมเนย การทำ Chelation Therapy คือการถ่ายสารบางชนิดที่เชื่อว่าเป็นพิษออกจากร่างกาย และการฝังเข็ม ฯลฯ โดยวิธีเหล่านี้อาจได้ผลกับเด็กบางคน แต่ไม่ได้ผลกับเด็กบางคน ดังนั้นก่อนที่จะเลือกใช้วิธีการรักษาเหล่านี้ ผู้ปกครองจึงควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดจนแน่ใจว่าจะไม่มีผลร้ายต่อเด็ก
อนาคตของบุคคลที่มีออทิสซึม บุคคลที่มีออทิสซึมบางคนสามารถทำงานและใช้ชีวิตอย่างมีอิสระ สามารถแต่งงานมีลูกได้อย่างคนทั่วไป แต่ในบางคน ออทิสซึมก็มีผลกระทบมากต่อพัฒนาการโดยรวมของเขา ซึ่งทำให้เขายังต้องการความช่วยเหลือต่อไปเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ด้วยเหตุนี้ผู้ปกครองและผู้เชี่ยวชาญจึงควรร่วมมือกัน เพื่อบำบัดและเสริมสร้างทักษะการดำรงชีวิตให้กับเด็กที่มีภาวะนี้ตั้งแต่พวกเขายังเล็ก เพื่อเขาจะสามารถใช้ชีวิตในวิถีที่ใกล้เคียงกับบุคคลทั่วไปมากที่สุดนั่นเองที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพของคุณได้มากมายกว่าที่คิด
ดร.ขวัญ หารทรงกิจพงษ์
Create Date : 29 มกราคม 2555 |
Last Update : 29 มกราคม 2555 8:14:23 น. |
|
0 comments
|
Counter : 3720 Pageviews. |
 |
|
|
|
|
|
|