ฟักทอง เต็มเปี่ยมด้วยประโยชน์
ฟักทอง เต็มเปี่ยมด้วยประโยชน์
1 ฟักทอง 2 ประโยชน์ของฟักทอง 3 คุณค่าทางโภชนาการของฝักทอง ต่อ 100 กรัม
ฟักทอง ชื่อสามัญ Pumpkin
ฟักทอง ชื่อวิทยาศาสตร์ Cucurbita moschata Duchesne จัดอยู่ในวงศ์แตง (CUCURBITACEAE)
ฟักทองแบ่งออกเป็น 2 ตระกูล ตระกูลแรกก็คือ ตระกูลฟักทองอเมริกัน (Pumpkin) ผลใหญ่ เนื้อยุ่ย และตระกูลสควอช (Squash) ซึ่งได้แก่ฟักทองไทยและฟักทองญี่ปุ่น โดยฟักทองไทยนั้น ผิวของผลขณะยังอ่อนจะเป็นสีเขียว เมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสลับเขียว ผิวมีลักษณะขรุขระเล็กน้อย เปลือกจะแข็ง เนื้อด้านในเป็นสีเหลือง พร้อมด้วยเมล็ดสีขาวแบน ๆ ติดอยู่
ฟักทองอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุมากมายที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 วิตามินซี วิตามินอี ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุแคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุโซเดียม ธาตุแมงกานีส ธาตุเหล็ก ซิงค์ เป็นต้น
ฟักทองยังเป็นอาหารเพื่อสุขภาพของผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักอีกด้วย เพราะฟักทองมีกากใยที่สูงมาก มีแคลอรีและไขมันน้อย จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการลดความอ้วนและควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดี เพียงแค่รับประทานฟักทองหนึ่งถ้วยหรือ 3 กรัม จะทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่มได้นานขึ้น
ฟักทอง แม้จะมีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่มาก แต่การรับประทานอย่างไม่เหมาะสมก็อาจเกิดโทษได้เช่นกัน เนื่องจากฟักทองนั้นมีฤทธิ์อุ่น ไม่เหมาะกับผู้ที่กระเพาะร้อน เช่น ผู้ที่มักมีอาการกระหายน้ำ ปัสสาวะเหลือง ท้องผูก มีแผลในช่องปาก เหงือกบวมเป็นประจำ เป็นต้น ซึ่งผู้ที่มีอาการเหล่านี้ไม่ควรรับประทานฟักทองในปริมาณที่มากเกินไปหรือบ่อยเกินไป แม้กระทั่งในคนปกติเองก็ตาม ก็ไม่ควรรับประทานอย่างไร้สติ เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้
ประโยชน์ของฟักทอง ฟักทองมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีส่วนช่วยในการชะลอวัยและความแก่ชรา ช่วยฟื้นบำรุงสุขภาพผิวให้เปล่งปลั่งสดใสและช่วยปกป้องผิวไม่ให้เหี่ยวย่น ช่วยบำรุงและรักษาสายตา ฟักทองมีส่วนช่วยบำรุงสุขภาพร่างกาย ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย น้ำมันจากเมล็ดฟักทองมีส่วนช่วยบำรุงประสาท เมล็ดฟักทองช่วยทำให้อารมณ์ดี เพราะมีสารที่ช่วยในการสร้าง Serotonin ซึ่งมีผลต่ออารมณ์ มีฤทธิ์ในการช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เป็นอาหารที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักหรืออยากลดความอ้วน เพราะมีไขมันน้อย กากใยสูง ฟักทองมีกรดโปรไบโอนิค ซึ่งมีส่วนทำให้เซลล์มะเร็งอ่อนแอลง มีส่วนช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็ง มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหัวใจ ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยบริเวณข้อเข่า บั้นเอว มีส่วนช่วยป้องกันโรคผิวหนัง เปลือกฟักทองมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน ช่วยฟื้นฟูร่างกายหลังออกกำลังกายหรือหลังจากร่างกายทำงานอย่างหนัก และทำให้กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ รากฟักทองนำมาต้มกับน้ำดื่มช่วยแก้และบรรเทาอาการไอ ฟังทอกจัดว่ามีกากใยอาหารสูง ซึ่งมีส่วนช่วยในการขับถ่าย ฟักทองมีฤทธิ์อุ่นซึ่งจะช่วยย่อยอาหารได้เป็นอย่างดี ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ มีส่วนช่วยในการขับปัสสาวะ ช่วยป้องกันการเกิดโรคนิ่ว ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากขยายใหญ่มากขึ้น ช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ ช่วยขับพยาธิตัวตืด โดยนำเมล็ดฟักทองประมาณ 50 กรัม นำมาตำให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำตาล นม และเติมน้ำลงไปจนได้ประมาณ 500 มิลลิลิตร แล้วนำมาแบ่งรับประทานเป็น 3 ครั้ง ทุก ๆ 2 ชั่วโมง ช่วยบำรุงตับและไตให้แข็งแรง รากฟักทองเมื่อนำมาต้มดื่มจะช่วยถอนพิษจากแมลงกัดต่อย ถอนพิษของฝิ่นได้ เยื่อกลางของผลฟักทอง สามารถนำมาใช้พอกแผล แก้อาการฟกช้ำ อาการปวดและอักเสบได้ ใช้รับประทานเป็นอาหารว่าง อย่างน้ำฟักทองคั้นสด พายฟักทอง
คุณค่าทางโภชนาการของฝักทอง ต่อ 100 กรัม พลังงาน 26 กิโลแคลอรีประโยชน์ของฟักทอง คาร์โบไฮเดรต 6.5 กรัม น้ำตาล 2.76 กรัม เส้นใย 0.5 กรัม ไขมัน 0.1 กรัม โปรตีน 1 กรัม วิตามินเอ 476 ไมโครกรัม 53% เบตาแคโรทีน 3,100 ไมโครกรัม 29% ลูทีนและซีแซนทีน 1,500 ไมโครกรัม วิตามินบี 1 0.05 มิลลิกรัม 4% วิตามินบี 2 0.11 มิลลิกรัม 9% วิตามินบี 3 0.6 มิลลิกรัม 4% วิตามินบี 5 0.298 มิลลิกรัม 6% วิตามินบี 6 0.061 มิลลิกรัม 5% ฟักทองวิตามินบี 9 16 ไมโครกรัม 4% วิตามินซี 9 มิลลิกรัม 11% วิตามินอี 0.44 มิลลิกรัม 3% วิตามินเค 1.1 ไมโครกรัม 1% ธาตุแคลเซียม 21 มิลลิกรัม 2% ธาตุเหล็ก 0.8 มิลลิกรัม 6% ธาตุแมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม 3% ธาตุแมงกานีส 0.125 มิลลิกรัม 6% ธาตุฟอสฟอรัส 44 มิลลิกรัม 6% ธาตุโพแทสเซียม 340 มิลลิกรัม 7% ธาตุโซเดียม 1 มิลลิกรัม 0% ธาตุสังกะสี 0.32 มิลลิกรัม 3% % ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)
แหล่งอ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, USDA National Nutrient Database
เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (MedThai
s://medthai.com/ฟักทอง/
ฟักทอง เต็มเปี่ยมด้วยประโยชน์
หนึ่งในพืชสีเหลืองที่เรามักจะเห็นคนนำมาประกอบอาหารอยู่บ่อย ๆ ก็คือ "ฟักทอง" นั่นเอง เพราะ "ฟักทอง" สามารถประกอบอาหารคาว-หวานได้สารพัดเมนู จึงไม่แปลกที่ "ฟักทอง" จะเป็นอาหารจานโปรดของใครหลายคน
แล้วรู้ไหมคะว่า "ฟักทอง" นอกจากอิ่มอร่อยแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาอีกต่างหาก เอ้า...ถ้ายังไม่ทราบวันนี้เราขอเอาใจคนรัก "ฟักทอง" ด้วยการนำเรื่องราวประโยชน์ของ "ฟักทอง" มาเสิรฟ์ถึงมือคุณเลยค่ะ
ฟักทอง เป็นพืชตระกูลมะระ ชนิดไม้เถาขนาดใหญ่ ผิวมีลักษณะขรุขระ เนื้อในสีเหลืองนิ่ม มีเมล็ดสีขาวแบน ๆ ติดอยู่ ซึ่งแต่ละส่วนของ "ฟักทอง" มีสรรพคุณทางมากมาย คือ
- เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูง รวมทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง และที่จะลืมไปไม่ได้เลยก็คือ "เบต้าแคโรทีน" ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง สามารถช่วยลดการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้ แถมเบต้าแคโรทีน ยังช่วยต้านความชรา ป้องกันโรคผิวหนัง บรรเทาอาการปวดเมื่อยของข้อเข่า และบั้นเอวได้เป็นอย่างดี
- เปลือกฟักทอง มีฤทธิ์ทางยามากมาย หากทานฟักทองทั้งเปลือก จะสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย ซึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง แต่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ
- ดอก มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย
- เมล็ด ประกอบด้วยแป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน รวมทั้งสารที่ชื่อว่า "คิวเคอร์บิติน" (cucurbitine) ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี และยังช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันการเกิดนิ่ว มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ น้ำมันจากเมล็ดฟักทองยังช่วยบำรุงประสาทได้ดี และยังมีกรดอะมิโนบางชนิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากของผู้ชายขยายใหญ่ขึ้น และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ
- ราก น้ำมาต้มน้ำใช้ดื่มแก้อาการไอได้ และยังช่วยบำรุงร่างกาย ถอนพิษของฝิ่นได้
- เยื่อกลางผล สามารถนำมาพอกแผล แก้อาการฟกช้ำ อาการปวด อักเสบได้
ฟักทอง อาหารเพื่อคุณผู้หญิง
และสำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องการลดน้ำหนัก "ฟักทอง" นี่แหละค่ะคือ "ตัวช่วย" ที่ดีตัวหนึ่งเลยทีเดียว เพราะฟักทองเป็นพืชที่มีกากใยมาก และมีแคลอรีไม่สูง ไขมันน้อย จึงไม่ทำให้อ้วน นอกจากนี้ในฟักทองมีวิตามินหลายชนิดในปริมาณสูง จะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณของคุณสาว ๆ มีน้ำมีนวล แถมสายตายังดูปิ๊งอีกต่างหาก
นอกจากนี้ สำหรับสตรีหลังคลอดบุตร "ฟักทอง" ซึ่งมีฤทธิ์อุ่น จะช่วยย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอุ่น บำรุงกำลัง ลดอาการอักเสบ แก้ปวดได้อีกด้วย
ข้อควรระวังในการทาน "ฟักทอง"
เนื่องจาก "ฟักทอง" มีฤทธิ์อุ่น ดังนั้นคนที่ "กระเพาะร้อน" คือมีอาการเช่นกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ท้องผูก เป็นแผลในช่องปาก เหงือกบวม ไม่ควรทานฟักทองมากเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้ร่างกายร้อนขึ้นได้นั่นเอง หรือแม้แต่ในคนปกติ การทานฟักทองมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้เช่นกัน
ได้เห็นประโยชน์ดี ๆ ของ "ฟักทอง" แล้วอย่าลืมหามาทานกันนะคะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
https://health.kapook.com/view16925.html
สาขา Health Blog
newyorknurse
Create Date : 17 กรกฎาคม 2560 |
Last Update : 24 กรกฎาคม 2560 1:55:58 น. |
|
26 comments
|
Counter : 2997 Pageviews. |
|
|
|
ผู้โหวตบล็อกนี้... |
คุณข้ามขอบฟ้า, คุณRain_sk, คุณmoresaw, คุณเนินน้ำ, คุณฟ้าใสวันใหม่, คุณtoor36, คุณที่เห็นและเป็นมา, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณTurtle Came to See Me, คุณ**mp5**, คุณชีริว, คุณสองแผ่นดิน, คุณClose To Heaven, คุณกะว่าก๋า, คุณThe Kop Civil, คุณพูดไม่เก่ง แต่เจ๋งทุกคำ |
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 24 กรกฎาคม 2560 เวลา:2:41:43 น. |
|
|
|
โดย: moresaw วันที่: 24 กรกฎาคม 2560 เวลา:8:16:48 น. |
|
|
|
โดย: เนินน้ำ วันที่: 24 กรกฎาคม 2560 เวลา:9:43:33 น. |
|
|
|
โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 24 กรกฎาคม 2560 เวลา:11:40:21 น. |
|
|
|
โดย: kae+aoe วันที่: 24 กรกฎาคม 2560 เวลา:13:54:47 น. |
|
|
|
โดย: sawkitty วันที่: 24 กรกฎาคม 2560 เวลา:16:35:19 น. |
|
|
|
โดย: รัฐสารขัณฑ์ (เตยจ๋า ) วันที่: 24 กรกฎาคม 2560 เวลา:19:18:39 น. |
|
|
|
โดย: อ้อมแอ้ม (คนผ่านทางมาเจอ ) วันที่: 24 กรกฎาคม 2560 เวลา:19:25:36 น. |
|
|
|
โดย: **mp5** วันที่: 24 กรกฎาคม 2560 เวลา:21:03:30 น. |
|
|
|
โดย: ชีริว วันที่: 24 กรกฎาคม 2560 เวลา:21:37:05 น. |
|
|
|
โดย: สองแผ่นดิน วันที่: 25 กรกฎาคม 2560 เวลา:0:01:12 น. |
|
|
|
โดย: ข้ามขอบฟ้า วันที่: 25 กรกฎาคม 2560 เวลา:4:49:38 น. |
|
|
|
โดย: กะว่าก๋า วันที่: 25 กรกฎาคม 2560 เวลา:6:34:18 น. |
|
|
|
โดย: Pear_Plean วันที่: 25 กรกฎาคม 2560 เวลา:9:07:31 น. |
|
|
|
โดย: moresaw วันที่: 25 กรกฎาคม 2560 เวลา:9:23:15 น. |
|
|
|
|
|
|
|
เพราะตอนเด็กๆ กินมามากจนจุ
จำได้เลยค่ะ มีงานวัดต้องมีแกงบวดฟักทอง สังขยาฟักทอง
อันหลังกาญกินแต่สังขยาค่ะ
แต่พออายุมากขึ้น ผัก ผลไม้อะไรที่มีประโยชน์ก็พยายามกินค่ะ
newyorknurse Health Blog