:: กะก๋าแนะนำหนังสือ : วิวาทะ กฤษณมูรติ & ปราชญ์ชาวพุทธ ::
:: วิวาทะ กฤษณมูรติ & ปราชญ์ชาวพุทธ ::
แปล : สายหยุด และ คณะ
กฤษณมูรติเป็นนักคิด นักปราชญ์ชาวอินเดีย เสียชีวิตไปเมื่อ พ.ศ.2529 เมื่ออายุ 91 ปี ท่านเป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งด้านปรัชญาและจิตวิญญาณของอินเดีย เคยถูกยกย่องจากสมาคมเทวญาณวิทยาเพื่อประกาศให้ท่านเป็นศาสดาองค์ใหม่ของโลก แต่ในปี พ.ศ. 2472 ท่านประกาศทิ้งบทบาทของศาสดา และไม่ขอตั้งศาสนาใหม่ ไม่รับสาวกสานุศิษย์ จากนั้นท่านได้ใช้ชีวิตเดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อพบปะพูดคุยกับนักคิดมากมายหลากหลายศาสนาและแนวคิด โดยมอบคำสอนจากการสนทนามากมาย ที่ถอดคำบรรยายออกมาเป็นหนังสือจำนวนมาก
หนังสือเล่มนี้แปลจากหนังสือ Can Humanity Change ? โดยเป็นการสนทนาร่วมกับ ดร.วัลโปลา ราหุลา นักวิชาการด้านพุทธศาสนาชาวศรีลังกา ดร.เดวิด โบห์ม ดร.เอิร์มการ์ด ชโลเกล แมรี่ ซิมบาริสต์ และ โชเกียม ตรุงปะ อาจารย์ธรรมมะชาวธิเบต เป็นต้น
หัวข้อในการสนทนา คือ สภาวะจิต อัตตา การตรัสรู้ นิพพาน สัจจะคืออะไร ? ชีวิตหลังความตาย การทำสมาธิ ฯลฯ
เนื้อหาในการพูดคุยเหมือนการแลกเปลี่ยนทัศนะและมุมมองของแต่ละคน ตามความคิด ความเชื่อ ความศรัทธา โดยการถามตอบไปเรื่อย ๆ
กฤษณมูรติมิได้นับถือศาสนาใด หากแต่เปิดกว้าง และพร้อมแลกเปลี่ยนแนวคิดโดยอิสระ
ผมชอบแนวคิดในการค้นพบความจริงของเขา กฤษณมูรติเปรียบเทียบการฝึกฝนตนทางธรรม ว่าเหมือนกับการที่ใครคนหนึ่งมองเห็นอะไรบางอย่างที่อันตราย แล้วพูดว่า นี่มันอันตราย ฉันจะไม่เข้าใกล้มัน แต่การวิ่งหนีจากความจริง คือ อันตรายที่แท้จริงยิ่งกว่า ปัญหาจะจบลงเมื่อเราไม่วิ่งหนีความจริง แต่เข้าไปใกล้มันด้วยความรู้และปัญญา จนกว่าจะหาแนวทางที่ถูกต้องพบ สิ่งที่เรียกว่าอันตราย จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่อันตรายและทำให้เราได้เรียนรู้ในสิ่งนั้นอย่างลึกซึ้ง
กฤษณมูรติยังท้าทายให้ผู้คนในแต่ละศาสนา กล้าที่จะท้าทายตัวเอง โดยไม่ยึดติดกับคำสอนโบราณ ไม่ยึดโยงตัวเองกับศาสดามากจนละเลยความเป็นจริงแห่งสัจธรรม เขาเตือนให้เราตระหนักว่าเนื้อหาคำสอนในคัมภีร์โบราณต่าง ๆ นั้นถูกขีดเขียน เติมต่อ เสริมแต่งไปมากมายจากหลักการเบื้องต้น ในที่สุดได้กลายเป็นกรอบ กฎ ข้อกำหนด และข้อบังคับมากมาย เพื่อให้เหล่าสาวกได้ปฏิบัติตามรูปแบบที่สร้างขึ้นโดยไม่รู้ว่าทำไมต้องทำเช่นนั้น
กฤษณมูรติให้แนวคิดว่า
มนุษย์ควรมีอิสระโดยปราศจากเงื่อนไขใดใด ในการตระหนักรู้ในจิตใจของตนเอง
เพื่อนำไปสู่การมีความรัก ความเมตตา มีมนุษยธรรม และความรู้สึกรับผิดชอบ ทั้งกับตนเองและโลก
เราเป็นเช่นใด โลกก็เป็นเช่นนั้น
และการจะประจักษ์แจ้งในสิ่งต่าง ๆ นั้น เราไม่อาจรู้ได้โดยผ่านการฟังคำสอนของเหล่าศาสดาหรืออ่านจากคัมภีร์ หากแต่ต้องลงมือปฏิบัติ ตรวจสอบความคิดความเชื่อของตนเอง เหมือนการอ่านเมนูอาหารที่ไม่ทำให้เราอิ่ม คนอื่นปรุงอาหารเอาไว้ รสชาตินั้นก็เป็นของเขา ไม่ใช่ของเรา ความหิวโหยของเราไม่อาจหายไป เพราะคนอื่นกินแทนเรา การรู้แจ้งในธรรมไม่อาจเกิดขึ้นเพราะคนอื่นบอกให้เราทำ บอกให้เราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มาทำแทนเรา หรือ ทำตามแนวทางที่มี โดยคิดว่าจะต้องได้ผลลัพธ์ซึ่งเหมือนกันกับสาวกทุกคน
ระหว่างการอ่าน ผมรู้สึกได้ถึง วิวาทะ หรือการถกเถียงระหว่าง กฤษณมูรติ กับผู้ร่วมสนทนา เขาท้าทาย ยั่วล้อ เปิดโอกาสให้คิด สร้างความสับสนให้ผู้ฟัง และมีอยู่หนึ่งคำที่เขาพูดบ่อยมาก คือคำว่า สืบค้น กฤษณมูรติท้าทายให้เรา สืบค้น ลงไปในแต่ละประโยค ถ้อยคำ ที่เคยได้ยิน เคยเชื่อ เคยอ่านพบ เขาบอกให้เราวางสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นลง หยุดเชื่อ หยุดอ้างอิง หยุดกล่าวอ้าง ว่าคำสอนนี้เป็นของคนนี้ คำสอนนี้เป็นของคนนั้น แต่ให้เราคิดและสืบค้นลงไปว่า เนื้อแท้ของคำ ๆ นี้ คือ ความคิด ความเชื่อแบบใด ถูก หรือ ผิด มันต่อยอดความคิดอะไรของเราได้บ้าง โดยที่เราเป็นเจ้าของคำตอบนี้ด้วยตัวเราเอง
หนังสือเล่มนี้อ่านยากสำหรับผมครับ แต่มีหลายข้อความและหลายประโยคท่ามกลางการวิวาทะ ที่ทำให้คิดต่ออะไรได้มากมาย
ฝากประโยคที่ชอบเอาไว้ให้อ่านกันด้วยครับ
Create Date : 25 กรกฎาคม 2561 |
|
27 comments |
Last Update : 1 มีนาคม 2562 9:53:32 น. |
Counter : 1317 Pageviews. |
|
|
โดยไม่ยึดติดกับคำสอนโบราณมากเกินไป
ดีจังเลยนะคะ