:: กะว่าก๋าแนะนำหนังสือ - ผมเพียงแต่จะบอกว่า... ::
:: “ผมเพียงแต่จะบอกว่า...” ::
เขียน : ปกรณ์ พงศ์วราภา
ผมซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่านในเดือนสิงหาคม ปี 2542 ตอนนั้นผมเป็นเด็กหนุ่มอายุ 24 ปี เพิ่งเรียนจบและทำงานได้ประมาณ 3 ปี ก่อนหน้านั้นผมตามอ่านนิตยสาร GM Magazine มาพักใหญ่แล้ว เพราะชอบในเนื้อหา บทสัมภาษณ์บุคคลต่าง ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมจะต้องเปิดอ่านเป็นอันดับแรกทุกครั้ง คือ บทบรรณาธิการ “จากโต๊ะจีเอ็ม” ซึ่งเขียนโดยคุณปกรณ์ พงศ์วราภา ประธานบริษัทในเครือ GM Group
บทบรรณาธิการหนึ่งหน้ากระดาษ ให้ความรู้ ให้แง่คิดที่ดีมากในทุก ๆ เรื่อง ข้อเขียนสั้น ๆ เหล่านี้ถูกนำมารวมเล่มไว้ในหนังสือ
“ผมเพียงแต่จะบอกว่า...”
และหากจะถามว่าหนังสือเล่มใดที่ส่งผลต่อวิธีคิดของผมตั้งแต่วัยหนุ่มมาจนถึงปัจจุบัน “ผมเพียงแต่จะบอกว่า...” ย่อมเป็นหนึ่งในหนังสือเล่มสำคัญของชีวิตผมอย่างไม่ต้องสงสัย (นอกเหนือจากนี้ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ส่งอิทธิพลต่อวิธีคิดของผมมาก ๆ เช่น ค้นหา โดยคุณนวลศิริ เปาโรหิตย์ , เต้าเต๋อจิง โดย ท่านเล่าจื๊อ , คู่มือมนุษย์ โดยท่านพุทธทาส ปรัชญาชีวิต โดย คาลิล ยิบราน , หนังสือเซนหลายเล่ม , หนังสือหลายเล่ม ของ โอโชและกฤษณมูรติ วันอังคารแห่งความทรงจำกับครูมอร์รี (Tuesdays with Morrie) โดย Mitch Albom เป็นต้น)
แม้งานเขียนในหนังสือเล่มนี้จะถูกเขียนไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2534 จนถึงปี พศ. 2542 แต่พอผมนำกลับมาอ่านใหม่อีกรอบในปีที่เกิดโควิดนี้ เรื่องราวที่คุณปกรณ์เขียนเอาไว้ก็ยังร่วมสมัย รูปแบบการเมืองซึ่งเคยเกิดขึ้นใน 20 ปีก่อน ก็ยังคงเกิดขึ้นในปีนี้ คุณภาพของผู้นำประเทศ และคุณภาพของนักการเมือง ก็ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป จากที่คุณปกรณ์เคยเขียนไว้เลย
รวมทั้งวิกฤตใหญ่ร้ายแรงภายในประเทศ คุณปกรณ์เคยผ่านภาวะวิกฤตของชีวิตในช่วงฟองสบู่แตก ปี 2540 ปีนั้นธุรกิจล้มหายตายจากไปมากมาย คนตกงานจำนวนมหาศาล ผมชอบที่คุณปกรณ์เขียนไว้ว่า
“เรายังมีชีวิตอยู่ เราต้องอยู่ต่อไป ด้วยกำลังใจและความเข้าอกเข้าใจต่อกัน”
เพราะภายใต้วิกฤตใหญ่หลวงนั้น จะนำเรากลับคืนมาสู่พื้นฐานของความจริงแห่งชีวิต แม้ความจริงนั้นจะเจ็บปวดมากเพียงใดก็ตาม เราต้องหาทางอยู่รอด ในความล้มเหลว ไม่ใช่ความเลวร้ายไปทั้งหมด ตราบใดที่ยังมีสติ มีกำลังใจ ไม่มีอะไรที่เราจะผ่านไปไม่ได้
ปี พศ. 2540 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจซึ่งหนักหนาสาหัสทั่วโลก และปี พศ. 2564 ประเทศไทยและทั่วโลกเกิดวกฤตโควิด 19 วิธีที่เราจะรับมือกับปัญหาหนักหน่วงซึ่งถาโถมเข้ามาในชีวิต ไม่ได้มีอะไรผิดแผกแตกต่างกันเลย คนที่ตาย ก็ตายไป คนที่ยังอยู่ ก็ต้องสู้ต่อไป
ผมชอบทัศนคติในเรื่อง “ความรวย” ที่คุณปกรณ์เขียนไว้
“ผมรู้ว่าเราทุกคนอยากรวย แต่ความรวยต้องไม่ใช่วิถีทางเดียวที่คนหนุ่มจะมุ่งไป ขอให้หยุดคิดสักนาทีหนึ่ง เราควรจะเก็บเกี่ยวความรวยอย่างสมเหตุสมผล ไม่ใช่ความรวยที่เอาเปรียบคนอื่น ไม่ใช่ความรวยที่ทำให้คนส่วนใหญ่หรือประเทศชาติเดือดร้อน ความเป็นคนมีจริยธรรมที่จะสบตากับใครก็ได้ นี่สิเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเราสามารถเดินโดยไม่ต้องก้มหน้าหลบใคร เราอยู่บนถนนสายเล็ก ๆ ก็ได้ อย่าหลงไปกับภาพมายาบนถนนใหญ่ นั่นไม่ใช่ความจริง”
และอีกประโยคที่ว่า
“ผมเข้าใจที่เราต่างบากบั่นเพื่อจะไปให้ถึงเส้นชัยแห่งความรวย โดยความจริงใจ ผมปรารถนาให้คนหนุ่มทั้งหลายประสบความรวยสมหวังดังตั้งใจ แต่ผมอยากเพิ่มเติมว่าความรวยเป็นสิ่งดีของชีวิตก็จริง แต่มันเป็นเพียงอย่างหนึ่งไม่ใช่ทั้งหมด เราไม่ต้องเอาเวลาทั้งชีวิตไปปีนป่ายบันไดนี้หรอก เราต้องทำสิ่งดีอย่างอื่นด้วย มีอะไรอย่างอื่นที่เราต้องทำนอกจากคิดเรื่องรวย ? ผมเชื่อว่าไม่ใช่เรื่องยากเย็นที่คนหนุ่มจะรู้คำตอบ ถ้าคุณไม่รู้ จะโกรธไหมถ้าผมจะบอกว่า ไม่มีทางที่คุณจะรวยหรอก”
หลายประโยคในหนังสือเล่มนี้ คล้ายเข็มทิศนำทางความคิดของผมในช่วงวัยหนุ่ม 20 ปีผ่านไป ในวันที่ต้องปิดร้าน เป็นคนว่างงานโดยสมบูรณ์แบบ ผมค้นหนังสือเล่มนี้ออกมาอ่านอีกครั้ง ในวันที่ผมไม่ได้เป็นเด็กหนุ่มไฟแรงคนเดิม แต่กลายเป็นผู้ชายที่เดินทางมาถึงจุดกึ่งกลางของชีวิต มีครอบครัวต้องดูแล มีปัญหาที่ต้องแก้ไขรับมือ หนังสือเล่มนี้เหมือนครูซึ่งกลับมาอย่างถูกที่ถูกเวลาอีกครั้ง ในช่วงเวลาที่ผมยุ่งยากลำบากใจในการตัดสินใจบางเรื่องซึ่งเกี่ยวพันกับคนจำนวนหนึ่ง ความรับผิดชอบ มโนธรรมสำนึก ความเมตตา และความเข้มแข็ง ทุกอย่างประเดประดังเข้ามาในวันที่ทุกอย่างไม่เป็นใจ ผมนั่งอ่านหนังสือเล่มนี้แบบรวดเดียวจบ และพบคำตอบบางอย่างที่ช่วยให้การตัดสินใจของตัวเองง่ายขึ้น ปล่อยวางขึ้น
ผมชอบประโยคนี้ที่คุณปกรณ์เขียนไว้ เมื่อถูกตั้งคำถามว่าชีวิตเป็นอย่างไร
“ทุกวันนี้ผมใช้ชีวิตของผมอย่างไร ? บอกได้ว่าผมพยายามใช้ชีวิตอย่างคนที่รู้ทันคนและรู้ทันชีวิต นี่เป็นปรัชญาการใช้ชีวิตหรือเปล่า ? --- ผมไม่รู้ แต่ผมรู้ว่าที่จริงชีวิตสอนเราตลอดเวลา ถึงตอนนี้ผมขอยืนยันว่า “การรู้ทันคนและรู้ทันชีวิต” เป็นเรื่องสำคัญ ความรู้เท่าทันนี้ ผมหมายถึงทั้งความดีและความชั่ว ถ้าคุณเข้าใจคนและเข้าใจชีวิต ถ้าคุณรู้ทันถึงความเป็นไปที่มันจะต้องเป็นไป คุณก็จะมีชีวิตอย่างเป็นสุขโดยไม่เจ็บปวดบ่อยนัก”
ใช่ , บางคราวชีวิตมันก็เจ็บปวด เมื่อเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย แต่ใครล่ะที่ไม่เคยพ่ายพลั้งเจ็บปวด ใครล่ะที่จะมีความสุขได้ตลอดเวลาโดยไม่เคยพบกับความทุกข์ แล้วเราเป็นใคร มีสิทธิอะไรที่จะพบแต่ความสมหวัง
ผมเพียงแต่ออยากจะบอกว่า ต้องขอบคุณหนังสือเล่มนี้มาก ๆ ที่มาอยู่อย่างถูกที่ถูกเวลา และช่วยให้ผมพบ “คำตอบ” ที่ตนเองจะต้องตัดสินใจ
Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2564 |
|
24 comments |
Last Update : 17 กรกฎาคม 2565 6:51:25 น. |
Counter : 380 Pageviews. |
|
|