เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย

ติดตามข้อมูลเว็บทาง Google+ กด
FaceBook สาว ๆ เซ็กซี่

สปาเก็ตตี้เมืองเหนือ

เพิ่งกลับจากไปเที่ยวเหนือมาครับ สนุกสนานมากมาย
ตระเวนไปหลายที่ ห้วยน้ำดัง => ปางอุ๋ง => ปาย .. อากาศหนาวสะใจ จนได้อาการไข้เล็กๆ กลับมาเป็นของฝากติดตัว

นอกจากนั้นยังได้ของกินกลับมาอีกเพียบจำนวนหนึ่ง (จะขาดได้รึ ) ทั้งไส้อั่ว เห็ดหอมสด เห็ดแชมปิญองสด แหนม น้ำพริกหนุ่ม สตรอว์เบอรี่ ฯลฯ

ซึ่งบางอย่างก็เป็นที่มาของเมนูในวันนี้ละครับ

สิ่งที่ต้องซื้อกลับมาเกือบทุกครั้งเวลาไปเที่ยวเหนือก็คือ ไส้อั่ว

รอบ นี้ก็ไม่พลาดครับ ซื้อติดกลับมา 1/2 กก. ดูไปดูมาก็เยอะพอสมควรสำหรับการกินคนเดียว เลยต้องหาวิธีนำมาประกอบอาหารต่างๆ เพื่อกำจัดให้หมดไปโดยเร็ว (อย่างน้อยๆ ก็ดีกว่าเอามาอุ่นกินเฉยๆ ละนะ)

และ ด้วยความที่ชอบกินสปาเก็ตตี้เป็นชีวิตจิตใจ จึงดัดแปลงนำไส้อั่วมาผัดกับสปาเก็ตตี้ซะเลย .. หน้าตาจะออกมาแบบไหน และวิธีทำจะเป็นอย่างไร เชิญชมเชิญชิมได้เลยครับ

ส่วนประกอบ:
- เส้นสปาเก็ตตี้เบอร์ที่ชอบ (แน่นอน ผมยังคงใช้ angel hair)
- ไส้อั่ว
- เห็ดแชมปิญองสด
- พริกแห้ง, กระเทียม และใบโหระพา
- น้ำพริกหนุ่ม (สำหรับเป็นเครื่องเคียง)

ต้มเส้นสปาเก็ตตี้ไว้ (เวลาในการต้ม ขึ้นอยู่กับขนาดของเส้น สามารถดูได้จากซองผลิตภัณฑ์ครับ)
ระหว่างนั้น หั่นส่วนประกอบต่างๆ เป็นชิ้นขนาดพอดีคำ

วิธีทำ:
ผัดพริกแห้งกับกระเทียมให้หอม
จากนั้นใส่เห็ดแชมปิญองสดลงผัด แล้วตามด้วยไส้อั่ว
ปรุงรสด้วยเกลือ และพริกไทยดำป่น (อาจเพิ่มน้ำตาลทราย และซอสปรุงรสได้นิดหน่อย หากต้องการ)

ใส่เส้นสปาเก็ตตี้ลงผัดให้เข้ากับเครื่องต่างๆ
ใส่ใบโหระพา ปิดไฟ
คนให้เข้ากัน เป็นอันเสร็จ

.
.
.
.
.

เตรียมเสิร์ฟแล้วนะครับ

.
.
.
.
.

ตักสปาฯ ไส้อั่วใส่จาน แล้วเสิร์ฟพร้อมน้ำพริกหนุ่ม

ได้บรรยากาศเมืองเหนือ

พาออกไปหาแสงธรรมชาติกันหน่อย

Zoom zoom

ได้รสชาติที่แปลกใหม่ อร่อยไปอีกแบบครับ

ยิ่งได้น้ำพริกหนุ่มมาช่วยเสริม ยิ่งเข้ากั๊นนนน

ขอบคุณ A Man in the Kitchen



ที่มา //board.postjung.com/570212.html




 

Create Date : 21 กันยายน 2554   
Last Update : 21 กันยายน 2554 21:23:02 น.   
Counter : 1907 Pageviews.  

ฉีกแนวยำผลไม้ ชวนชิมยำมังคุดกุ้งสด








เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ครัวบ้านพิม

หลายคนอาจจะเคยหยิบผลไม้หลากหลายชนิดมาประกอบเป็นอาหารคาวทานกัน (อ๊ะ อ๊ะ อย่าบอกนะว่าไม่เคยทาน อย่างน้อยก็ต้องเคยชิมส้มตำแหละน่า...จริงไหม) แต่เชื่อได้เลยว่า น้อยคนนักที่จะเคยหยิบเอาราชินีแห่งผลไม้อย่าง "มังคุด" มาทำอาหารคาวทาน แถมบางคนยังทำหน้าสงสัยด้วยว่า"มังคุด ทำอาหารคาวทานได้ด้วยหรือ?"

...ทำได้แน่นอนค่ะ เพราะวันนี้ คุณพิม แห่ง ครัวบ้านพิม จะขอแนะนำเมนูมังคุดเด็ด ๆ อย่าง"ยำมังคุดกุ้งสด" อุ้ย...แค่ฟังชื่อก็เปรี้ยวปากแล้วใช่ไหมล่ะ ยิ่งเห็นรูปด้วยแล้วรับรองว่าต้องร้องซี้ด...แหมก็น่าทานซะขนาดนี้ จะไม่รีบกลับไปเตรียมเครื่องปรุงเข้าครัวได้อย่างไรไหว ว่าแล้วก็ไปดูสูตรเด็ด "ยำมังคุดกุ้งสด" ของครัวบ้านพิมกันเลย

วันนี้พิมขอนำเสนอเมนู "ยำมังคุด" ค่ะ ... หลายคนฟังชื่อแล้วอาจจะงง ๆ มันมีด้วยเหรอ ยำมังคุดเนี่ย ... พิมก็ต้องขอบอกว่ามีค่ะ แถมอร่อยมากด้วยนะจะบอกให้ ว่าแล้ววันนี้ถือฤกษ์ดีที่พิมทำยำมังคุดกินอีกครั้ง พิมก็เลยถือโอกาสนี้ถ่ายภาพวิธีการทำมาฝากเพื่อน ๆ ด้วย... เผื่อว่าใครสนใจจะได้ลองเอาไปหัดทำกันนะคะ ^__^




:: ส่วนผสมและเครื่องปรุง ::

- มังคุดสุกแต่ยังห่าม 10 ลูก หรือเนื้อมังคุด 1 ถ้วยตวง
- หมูสับ 100 กรัม
- กุ้งสด 5 ตัว ...... (พิมใช้ขนาด 4-5 ตัว 1 ขีด ๆ ละ 18 บาท)
- พริกขี้หนูสวนสีเขียวแดง 15 เม็ด
- หอมแดง 4 หัว
- มะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
- น้ำปลาดี ๆ ไม่คาว 2 ช้อนโต๊ะ
- น้ำตาลทราย 1 - 1/2 ช้อนโต๊ะ
- สะระแหน่ 4-5 กิ่ง หรือเด็ดใบให้ได้ประมาณ 1/2 ถ้วยตวง


:: วิธีทำ ::



เริ่มต้นก็ให้ทำการจัดการกับผักต่าง ๆ เตรียมไว้ก่อนนะคะ .... อันดับแรก "พริกขี้หนูสวน" โดยส่วนใหญ่เวลายำ คนส่วนใหญ่มักจะชอบใช้พริกโขลก แต่พิมชอบการหั่นแบบนี้มากกว่าอ่ะค่ะ เพราะพิมว่ามันสวย แล้วก็สะดวกเวลาไม่กิน ก็หยิบออกได้น่ะค่ะ.... ซึ่งสำหรับปริมาณพริกที่ใช้เนี่ย พิมใช้ประมาณ 15 เม็ด พิมว่าราว ๆ นี้ จะเผ็ดกำลังดี แต่ถ้าใครไม่ทานเผ็ด หรือชอบเผ็ดมากกว่านี้ ก็ลดเพิ่มได้ตามชอบค่ะ

ส่วนหอมแดงก็เลือกใช้หอมแดงไทยหัวกลาง ๆ ปอกเปลือก ล้างให้สะอาด แล้วซอยไว้บาง ๆ นะคะ



สำหรับมะนาว พิมเลือกใช้มะนาวที่ผิวยังพอเขียวอยู่ เพราะจะให้กลิ่นที่หอมกว่ามะนาวที่มีผิวกลายเป็นสีเหลืองแล้ว ... ก็ใช้ประมาณ 2 ลูก บีบน้ำมะนาวไว้ให้ได้ราว 3 ช้อนโต๊ะนะคะ และและสะระแหน่ (ไม่มีรูป) หลังจากล้างให้สะอาด พักให้สะเด็ดน้ำ ก็เด็ดไว้เป็นใบ ๆ ค่ะ



ส่วนมังคุด ..... ย้ำว่าเลือกใช้มังคุดที่สุกแล้ว แต่ยังห่ามอยู่ (เปลือกสีม่วงเข้ม) จะดีกว่าใช้มังคุดสุกที่เปลือกสีดำ เพราะรสชาติจะหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย และเนื้อไม่นิ่มมากเกินไปอ่ะค่ะ แต่ถ้าใครชอบมังคุดที่เนื้อนิ่ม ๆ หวานมากหน่อย จะใช้มังคุดเปลือกสีดำก็ไม่ผิดกติกาค่ะ ....

สำหรับวิธีจัดการกับมังคุดก็ให้เราเอามีดกรีดไปที่เปลือกตรงกลางลูกแบบในภาพนะคะ จากนั้นดึงเอาเปลือกข้างนอกทิ้งไป แล้วค่อย ๆ แงะเอาเนื้อมังคุดที่อยู่ในเปลือกอีกข้างหนึ่งออกมาอย่างเบามือ (ระวังช้ำ) ใส่ลงไปในอ่างน้ำเย็นที่ผสมเกลือป่นอยู่นิดหน่อย ก่อนที่จะแกะเป็น 1-2-3 กลีบ แล้วเอาขึ้นใส่กระชอนโปร่ง ๆ พักไว้ให้สะเด็ดน้ำค่ะ

ป.ล. ไส้ในของมังคุดที่มีแดง ๆ เหลือง ๆ เฉือนออกด้วยมีดหรือดึงออกอย่างเบามือ...ให้หมดด้วยนะคะ ไม่งั้นยำออกมาแล้วอาจจะมีรสฝาดในบางส่วน และสีมังคุดจะกระดำกระด่าง ไม่ขาวนวลเนียนอ่ะค่ะ



ต่อมาก็มาจัดการกับเนื้อสัตว์กันต่อนะคะ.... ก็เอาหม้อใบย่อม ๆ ตั้งบนเตาไฟ ใส่น้ำไปสัก 1/2 - 3/4 ถ้วย เปิดไฟเตากลาง ๆ รอจนน้ำเดือด ก็ใส่กุ้งลงไป รอจนกุ้งสุก ก็ตักขึ้นใส่จานไว้ค่ะ



จากนั้นก็นำหม้อใบเดิม (ไม่ต้องเทน้ำต้มกุ้งทิ้ง) ตั้งไฟอีกรอบ พอน้ำเดือด ก็ใส่หมูสับลงไป ยีด้วยทัพพีให้หมูกระจายตัวเป็นชิ้นเล็ก ๆ ไม่เกาะกันเป็นก้อน ทิ้งไว้สักแป๊บจนหมูสุก ก็ปิดไฟเตาและพักหมูไว้ให้คลายความร้อนลงสักหน่อยค่ะ



และเมื่อเตรียมเครื่องทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาลงมือทำล่ะค่ะ... เริ่มต้นด้วยการหากะละมังใบย่อม ๆ มาสักใบ ใส่หอมแดงกับพริกขี้หนูที่เราซอยไว้ลงไป ตามด้วยน้ำมะนาว น้ำปลา น้ำตาล คนให้เข้ากันจนกระทั่งน้ำตาลละลายหมด

ป.ล. ปริมาณน้ำตาลทรายให้ใส่ไปแค่ 1 ช้อนโต๊ะก่อนค่ะ หากหลังจากผสมทุกอย่างเสร็จแล้ว รสชาติยังไม่กลมกล่อม ถึงค่อยเติมน้ำตาลทรายเพิ่มนะคะ



แล้วก็ใส่กุ้ง หมู และมังคุด ตามลงไป... คนพอเข้ากันอย่างเบามือ ชิมรสชาติตามชอบ ถ้ายังไม่ชอบ ก็ปรุงแต่งเอาตามความพอใจเลยนะคะ ซึ่งยำอันนี้จะรสชาติค่อนข้างนัว ๆ ค่ะ คือไม่หวานจัด ไม่เปรี้ยวจัด ไม่เค็ม แต่จะออกรสชาติเปรี้ยวหวานเล็กน้อยพอประมาณค่ะ (จะไปหวานหรือเปรี้ยวที่รสชาติของเนื้อมังคุดอีกที)




เสร็จแล้วก็ตักใส่จาน.... เราก็จะได้ยำมังคุดออกมาหน้าตาแบบนี้นะคะ ตกแต่งด้วยสะระแหน่ให้พอสวยงาม ...... (เวลาจะกินจริง ๆ พิมเคล้ารวมกันหมดเลยค่ะ)



แล้วเราก็จะได้ยำมังคุดที่รสชาติหวานหอม กินแล้วให้ความรู้สึกสดชื่นมาก ๆ มาจานนึงแบบนี้อ่ะค่ะ



ก็ถ้าเพื่อน ๆ สนใจ ....... ลองทำดูกันนะคะ ไม่ยาก ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง ก็เสร็จเรียบร้อยค่ะ

อ้อ ๆ เกือบลืม สำหรับเพื่อน ๆ ที่ไม่ทานหมู เปลี่ยนเป็นไก่สับได้นะคะ แต่รสชาติและความนุ่มนวลจะด้อยกว่าใช้เนื้อหมูสับอยู่นิดนึงจ้า ......... ยังไงลองดูนะคะ ^^

ที่มา //women.kapook.com/view31601.html




 

Create Date : 20 กันยายน 2554   
Last Update : 20 กันยายน 2554 20:34:27 น.   
Counter : 2721 Pageviews.  

“สเต็กสื่อสาร” อร่อยเด็ดกับสเต็กสูตรเฉพาะ

บรรยากาศด้านในร้านสเต็กสื่อสาร
หลายๆ ครั้งมีเพื่อนฝูงมาถาม “ผ่านมาแวะกิน” ว่าอยากกินสเต็ก จะไปกินที่ร้านไหนดี คำตอบที่ให้ไปก็คือ สเต็กอร่อยนั้นก็มีอยู่หลายร้าน แล้วแต่ความชอบของคนกิน อย่างร้านที่เรามากันในวันนี้ ก็เป็นร้านขึ้นชื่ออีกหนึ่งร้านที่มีคนแนะนำกันอยู่เสมอๆ นั่นก็คือร้าน “สเต็กสื่อสาร”

ร้าน “สเต็กสื่อสาร” แห่งนี้ เปิดขายอยู่ในพื้นที่ของกรมการทหารสื่อสาร บนถนนทหาร มีเมนูขึ้นชื่อคือสเต็กต่างๆ ที่มีเกือบ 10 ชนิด ซึ่งก็เป็นสเต็กสูตรเฉพาะที่ทางร้านดัดแปลงขึ้นมาเอง นอกจากนี้ก็ยังเน้นขายอาหารไทยและอาหารจีนอีกด้วย

สเต็กปลาแซลมอน
ส่วนหนึ่งของเคล็ดลับความอร่อยก็อยู่ที่การคัดเลือกวัตถุดิบคุณภาพ สดๆ ใหม่ๆ ใช้น้ำมันรำข้าวในการปรุง และยังเลือกใช้ผักปลอดสาร เพื่อให้ดีกับสุขภาพของลูกค้า

มาลองดูเมนูที่หลากหลายของร้านนี้แล้ว เราก็ขอเลือก สเต็กปลาแซลมอน (169 บาท) ที่จะใช้เนื้อปลาแซลมอนสดจากนอร์เวย์นำมากริลล์ให้สุก เสิร์ฟพร้อมกับสลัดผักไฮโดรโพนิกส์กับสลัดน้ำข้นที่ทางร้านปรุงเอง และยังมีขนมปังทาเนยวางเคียงมาด้วย รสชาติของเนื้อปลานุ่มแน่น หวานสด หากใครอยากเพิ่มรสชาติก็สามารถสั่งน้ำเกรวี่คู่กันมาด้วยก็ได้ โดยจะแยกใส่ถ้วยต่างหาก หรือหากใครต้องการความจัดจ้าน จะเปลี่ยนเป็นน้ำจิ้มซีฟู้ดก็ยังได้

พอร์กชอป
อีกหนึ่งเมนูสเต็กก็มาลิ้มลอง พอร์กชอป (109 บาท) ที่จะนำพอร์กชอปมาหมักกับเครื่องปรุงและเครื่องเทศเพื่อให้เนื้อนุ่มและมีรสชาติ จากนั้นก็จะนำมากริลล์ แล้วราดด้วยน้ำเกรวี่ โรยหน้าด้วยเม็ดพริกไทยดำ กินคู่กับสลัดผักและขนมปังทาเนยเช่นกัน ลองชิมแล้วเนื้อหมูนุ่ม มีรสชาติเล็กน้อย เข้ากันกับน้ำเกรวี่ที่จะออกเค็ม

และเมื่อชิมสเต็กแล้วก็ไม่ควรพลาดเมนูนี้ ทีโบนสเต็ก (250 บาท) จานนี้เลือกใช้เนื้อโคขุนส่วนทีโบน ที่มีมันน้อย เนื้อนุ่ม นำมาหมักทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วจึงนำไปกริลล์ เวลาเสิร์ฟก็ราดด้วยน้ำเกรวี่และโรยหน้าด้วยเม็ดพริกไทยดำ กินคู่กับเครื่องเคียงเช่นเดียวกัน ทีโบนสเต็กจานนี้เนื้อนุ่ม ไม่เหนียว กินคู่กับน้ำเกรวี่แล้วเข้ากันดีมาก

ทีโบนสเต็ก
ส่วนเมนูอาหารไทยของทางร้านก็อร่อยไม่น้อยหน้า เราขอเลือก ยำถั่วพู (90 บาท) ที่สังเกตเห็นว่าแทบทุกโต๊ะจะต้องสั่ง ยำถั่วพูจานนี้ใช้ถั่วพูสดมาหั่นเป็นท่อนๆ แล้วลวกพอสุก นำไปยำรวมกับเนื้ออกไก่ฉีก กุ้งลวก หอมแดง และกะทิ ปรุงรสชาติให้เรียบร้อย แล้วโรยหน้าด้วยหอมเจียว พริกแห้งทอด กินคู่กับไข่ต้ม เมนูนี้ลองชิมแล้วรสชาติกลมกล่อมไม่จัดจ้านมากนัก ออกมันๆ หวานๆ หอมกลิ่นหอมเจียว เข้าคู่กันดีกับไข่ต้มที่เสิร์ฟมาพร้อมกัน

ปิดท้ายมื้อนี้ด้วยเมนูเบาๆ ที่เด็กกินได้ผู้ใหญ่กินดีอย่าง กุ้งหลอด (90 บาท) ที่เห็นเป็นหลอดๆ แบบนี้ทางร้านใช้แผ่นแป้งปอเปี๊ยะมาห่อกับไส้กุ้งสับผสมกับมันหมูแล้วปรุงรส เมื่อห่อเสร็จแล้วก็จะนำมาทอดให้แป้งเหลืองกรอบ กินคู่กับน้ำจิ้มบ๊วยหวาน หยิบมาชิมทีละหลอด เนื้อกุ้งนุ่มเด้งได้รสชาติ แป้งกรอบกำลังดี

ยำถั่วพู
เมนูอร่อยๆ ของร้านยังไม่ได้หมดเพียงแค่นี้ หากใครมาแล้วเมนูที่แนะนำให้ลองชิมยังมีอีกเพียบ อย่างเช่น ทะเลนอนอวน (150 บาท) เห็ดนางฟ้าทอดน้ำปลา (80 บาท) หลนปลาเค็มแหนมสด (90 บาท) ไก่ทอดตะไคร้ (90 บาท) หมูทอดมะกรูด (80 บาท) แล้วก็ยังมีอาหารใต้หลากหลายเมนูให้กินกันอีกด้วย ส่วนของหวานล้างปากก็ต้องลองชิม บัวลอย 5 สี (25 บาท) และ สาคูแคนตาลูป (25 บาท) ที่ทางร้านทำเอง รสชาติหวานมันหอมอร่อย

ใครที่อยากชิมสเต็ก และอาหารเมนูเด็ดอีกหลากหลายจานก็ไม่ใช่เรื่องยาก แค่มากันที่ร้าน “สเต็กสื่อสาร” แห่งนี้ ก็ได้อร่อยสมใจอยากแล้ว

กุ้งหลอด
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

ร้าน “สเต็กสื่อสาร” ตั้งอยู่ที่กรมการทหารสื่อสาร ถ.ทหาร แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กทม. การเดินทางจากถนนประชาราษฎร์สาย 1 วิ่งตรงมาจนถึงสี่แยกเกียกกาย แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนทหาร ตรงมาเรื่อยๆ จนก่อนถึงสี่แยกสะพานแดงประมาณ 100 เมตร จะเห็นสโมสรอยู่ทางขวามือ และจะเห็นร้านสเต็กสื่อสารเช่นกัน สามารถจอดรถได้ที่บริเวณสโมสรกรมการทหารสื่อสาร ทางร้านยินดีรับบัตรเครดิต ร้านเปิดทุกวัน เวลา 10.00-21.00 (ครัวปิด 20.30 น.) โทร. 0-2297-6119

คลิก!!อ่านรายละเอียดและแผนที่การเดินทางไปยังร้าน “สเต็กสื่อสาร”



ที่มา //www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000118809




 

Create Date : 19 กันยายน 2554   
Last Update : 19 กันยายน 2554 20:18:44 น.   
Counter : 1504 Pageviews.  

ตำนานหมั่นโถว และซาลาเปา


ย้อนหลังไปประมาณปี พ.ศ. ๗๖๘ เมื่อพระเจ้าเล่าเสี้ยน (โอรสพระเจ้าเล่าปี่) เสวยราชย์ ณ อาณาจักรจ๊กก๊ก (ก๊กหนึ่งในสามก๊ก) หรืออาณาจักรเสฉวน ยงคี,จูโพ และ โกเตง ผู้ครองสามเมืองทางใต้ของอาณาจักรจ๊กก๊ก เป็นกบฏ ไปคบคิดกับ "เบ้งเฮ๊ก" เจ้าเมืองมันอ๋อง ยกทัพมาตีชายแดนทางใต้ของอาณาจักรเสฉวน ดังนั้น "ขงเบ้ง" จึงต้องยกทัพไปปราบปราม

ในการไปทำศึกครั้งนี้ ขงเบ้งต้องการทรมาน (สะกดถูกแล้ว คำที่เขียนผิดคือ "ทรมาณ") ให้ "เบ้ง เฮ็ก" ยอมศิโรราบแต่โดยดี ไม่คิดกลับใจมารุกรานอาณาจักรเสฉวนอีก เมื่อจับเบ้งเฮ็กได้จึงปล่อยไปถึง ๖ ครั้ง พอครั้งที่ ๗ เมื่อจับเบ้งเฮ็กได้อีก เบ้งเฮ็กก็ยอมศิโรราบให้กับขงเบ้ง

เมื่อ ได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดแล้ว ขงเบ้งก็ยกทัพกลับเสฉวน เบ้งเฮ็กและชาวเมืองก็ตามมาส่ง พอถึงแม่น้ำลกซุย (หลูซุ่ยหรือแม่น้ำจินซาเจียงในปัจจุบัน) ก็เกิดอาเพศ สำนวนสามก๊กเขียนว่า "ในแม่น้ำนั้นมืดเป็นหมอกจะข้ามไปนั้นขัดสน"

ขงเบ้งจึงถามเบ้งเฮ็กว่า "เหตุผลทั้งนี้เป็นประการใด"

เบ้งเฮ็กจึงตอบว่า "อันแม่น้ำนี้มีปีศาจสำแดงฤทธิ์ แต่ก่อนมาก็เคยเป็นอยู่ ขอให้ท่านเอาศีรษะคนสี่สิบเก้าศีรษะ กับม้าเผือกกระบือดำมาเซ่นบวงสรวงจึงจะหาย"

ขงเบ้งจึงว่า "เรา ทำศึกกับท่านจนสำเร็จการ แผ่นดินราบคาบถึงเพียงนี้ คนแก่คนหนึ่งก็มิตายเพราะมือเรา บัดนี้กลับมาถึงแม่น้ำลกซุยจะเข้าแดนเมืองอยู่แล้ว จะมาฆ่าคนเสียนั้นไม่ชอบ"

ขงเบ้ง จึงให้หาชาวบ้านมาสืบถามได้ความว่า เมื่อตนเองยกทัพข้ามแม่น้ำนี้ไป ก็เกิดเหตุทุกวัน คือเวลาพลบค่ำไปจนสว่าง จะมีเสียงปีศาจร้องอื้ออึงไป มีหมอกควันเป็นอันมาก

ขงเบ้งจึงว่า "เหตุ ทั้งนี้เพราะโทษของตัวเราเอง เมื่อครั้งเราให้ม้าต้ายคุมทหารพันหนึ่งยกมานั้น ทหารทั้งปวงก็ตายอยู่ในแม่น้ำนี้สิ้น แล้วเมื่อทำศึกอยู่นั้น ทหารเบ้งเฮ็กก็ล้มตายอยู่ในที่นี้เป็นอันมาก ปีศาจทั้งปวงผูกเวรเราจึงบันดาลให้เป็นเหตุต่างๆ เราจะคิดอ่านทำการคำนับให้หายเป็นปรกติจงได้"

ขงเบ้ง จึงสั่งให้ทหารฆ่าม้าเผือกกระบือดำ แล้วเอาแป้งมาปั้นเป็นศีรษะคนสี่สิบเก้าศีรษะ พอเวลากลางคืนก็ยกออกไปตั้งไว้ริมน้ำ จุดธูปเทียนและประทีปสี่สิบเก้า แล้วแต่งหนังสืออ่านบวงสรวงเป็นใจความว่า

"บัด นี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนครองราชสมบัติได้สามปี มีรับสั่งใช้เราผู้เป็นมหาอุปราชให้ยกทหารมาปราบปรามข้าศึกต่างประเทศ เราก็ตั้งใจสนองพระคุณความสัตย์ตั้งใจมา กับเราหวังจะทำนุบำรุงพระเจ้าเล่าเสี้ยน ยังไม่ทันสำเร็จท่านตายเสียก็มีบ้าง ท่านทั้งปวงจงกลับไปเมืองกับเราเถิด ลูกหลานจะได้เซ่นคำนับตามธรรมเนียม เราจะกราบทูลพระจ้าเล่าเสี้ยน ให้พระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่สมัครพรรคพวกพี่น้องท่านให้ถึงขนาด ฝ่ายทหารเบ้งเฮ็กซึ่งตายอยู่ในที่นี้ก็ดี ให้เร่งหาความชอบอย่ามาวนเวียนทำให้เราลำบากเลย จงคิดถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยนซึ่งครองราชสมบัติเป็นธรรมประเพณีกษัตริย์แต่ก่อน แลเห็นแก่เราผู้มีความสัตย์ จงรับเครื่องเซ่นเราแล้วกลับไปอยู่ถิ่นฐานเถิด"

เมื่อ อ่านหนังสือเสร็จแล้ว ขงเบ้งก็จุดประทัดตีม้าล่อแล้วร้องไห้รักทหารซึ่งตายนั้นเป็นอันมาก แลพายุและคลื่นละลอกซึ่งเกิดนั้นก็สงบเป็นปรกติ ขงเบ้งจึงยกทัพกลับไปเมืองเสฉวนได้

สมัยนั้นชนพื้นเมืองทางใต้ของอาณาจักรเสฉวน เรียกพวกของตนเองว่า พวก "หนานหมาน หรือหนันหมัน (南蛮)"

แป้งปั้นแทนศีรษะคนแล้วนำไปนึ่ง ถูกเรียกว่า "หม่านโถว (蛮头) " แปลว่า "หัวของชาวหนานหมาน" และเนื่องจากคำเรียกในภาษาจีนดั้งเดิมฟังดูโหดร้ายเกินไป ภายหลังจึงได้มีการเปลี่ยนมาใช้ตัวอักษรที่บ่งชี้ว่าเป็นอาหาร () แทนตัวอักษรที่หมายถึงพวกหนานหมัน () อย่างเช่นในอดีต

คำ ว่า "หม่านโถว" นานเข้าก็แผลงเป็น "หมั่นโถว " และทำตกทอดกันมาจนแพร่หลายไปทั่ว โดยเฉพาะทางภาคเหนือ ได้กลายมาเป็นอาหารที่ชาวจีนเหนือนิยมรับประทานกันเป็นอาหารเช้าหรืออาหาร ว่าง ( คนจีนทางภาคเหนือนิยมเรียก ‘เปาจึ’ -包子หรือซาลาเปา )

หมั่นโถวที่เราทาน ทำจากแป้งหมี่นึ่งให้ร้อน ส่วนซาลาเปาก็คือ หมั่นโถวที่มีใส้นั่นเอง

ที่มา - gotoknow.org/blog/beesman/27241




 

Create Date : 17 กันยายน 2554   
Last Update : 17 กันยายน 2554 18:50:36 น.   
Counter : 2247 Pageviews.  

อร่อยจุใจ กับ หมูกรอบ ทำเองได้ง่ายสมชื่อ

หมูกรอบ



เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก ครัวบ้านพิม

ชอบ กันใช่ไหมล่ะ...หมูกรอบทอดเหลือง ๆ โปะลงบนข้าวสวย ราดน้ำจิ้มสักเล็กน้อย ก็ยกพร้อมเสิร์ฟ ทานอิ่มก็ควักเงินจ่าย 30 บาทบ้าง 40 บาทบ้าง พร้อม ๆ กับความรู้สึกหงุดหงิดใจอยู่มิใช่น้อย ก็แหม...เวลาสั่งข้าวหมูกรอบ มาทานทีไร บางทีหมูก็ไม่กรอบสมชื่อ แถมได้หมูกรอบอยู่ไม่กี่ชิ้น ยังไม่ทันลิ้มรสความอร่อยของหมูกรอบเลย ชิ้นหมูกรอบ (ที่ไม่ค่อยกรอบ) ก็หมดจานแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวทุกที อิอิ

ว่าแล้วสำหรับใครที่อยากทานหมูกรอบที่กรอบนอกนุ่มในแบบจุใจ กระปุกดอทคอม ขอเสนอให้คุณเข้าครัว (หรือจะบอกแฟน บอกเพื่อน พ่อแม่พี่น้อง ก็ได้นะจ๊ะ) ทำหมูกรอบทานเองให้อิ่มหนำสมใจกันไปเลย เพราะจริง ๆ แล้ว หมูกรอบน่ะทำไม่ยากอย่างที่คิดหรอกนะจ๊ะ ยิ่งได้สูตรเด็ด "หมูกรอบ" และ "ข้าวหมูกรอบ" ฝีมือของ ครัวบ้านพิม แล้วล่ะก็ รับรองว่าเมนูนี้ "หมู" สมชื่อนะเออ เอ้า...ไปลงมือทำพร้อม ๆ กับคุณพิมดีกว่าเนอะ


หมูกรอบ



..... วันนี้พิมจะมาสาธิตวิธีการทำหมูกรอบ สูตรหนังกร๊อบบบกรอบ แต่เนื้อหมูยังนุ้มนุ่ม ตามคำเรียกร้องจ้า ไม่พูดพล่ามทำเพลงล่ะนะ ลงมือกันเลยค่ะ ก่อนอื่นมาดูสูตรกันเลยค่ะ ก็มีส่วนผสมไม่มากมาย ตามนี้เลยค่ะ


ส่วนประกอบในการทำหมูกรอบ

หมูสามชั้น 1 แผ่น หนักประมาณ 1.5 กิโลกรัม
น้ำเปล่า 10 ถ้วย
เกลือป่น 85 กรัม
น้ำมันปาล์มสำหรับทอด (เยอะมาก ๆ)

ป.ล. คราวนี้พิมไม่ได้ถ่ายรูปแบบรวมส่วนผสมกับเครื่องปรุงมาให้ดูนะคะ เพราะงั้นขออธิบายวิธีทำไปพร้อมกับรูปส่วนประกอบแต่ละอย่างเลยแล้วกันจ้า

วิธีทำ

เริ่มต้นเลยเราก็มาดูที่หมูสามชั้นของเรากันก่อนนะคะ

วิธีเลือกหมูสามชั้นของพิมเนี่ย ... พิมจะเลือกตรงส่วนพื้นท้องค่ะ (ที่มีน้ม...ม.ม นม เป็นปุ่ม ๆ ติดมาด้วย) เพราะหมูส่วนนี้จะนุ่มดี แล้วก็มีชั้นเนื้อชั้นไขมันที่พิมรู้สึกว่าทอดออกมาแล้วจะไม่กระด้าง อีกทั้งสีสวยงามมากกว่าสามชั้นส่วนอื่น แล้วก็เลือกที่มีชั้นไขมันไม่มากนัก อีกทั้งมีชั้นไขมันสม่ำเสมอกัน ไม่ใช่ข้างหนึ่งชั้นไขมันหนาเป็นนิ้ว อีกข้างหนาแค่เซ็นหนึ่งอ่ะค่ะ

พอได้หมูมาแล้ว ก็ให้เราเอามีดโกนมาขูดขนอ่อน ๆ ที่หลงเหลือออกไปให้หมดค่ะ หากมีคราบอะไรติดมา ก็เอาแปรงสีฟัน (ที่ไม่ได้ใช้แล้ว) ขัด ๆ ออกให้หมดด้วยนะคะ และก็นำไปล้างให้สะอาด จากนั้นก็บั้งแนวยาวเป็น 3 รอยตามแบบในภาพด้านล่างนะคะ (จริง ๆ ควรบั้งให้แต่ละช่วงมีขนาดเท่ากัน แต่มือพิมไม่เที่ยงเองแหละค่ะ แบบว่าตอนแรกตั้งใจจะบั้งให้ได้เป็น 4 ชิ้น แต่ไป ๆ มา ๆ เอาชิ้นใหญ่หน่อยให้เหลือ 3 ชิ้นก็พอ)


หมูกรอบ


จากนั้นก็หันไปตั้งหม้อหรือกระทะบนเตาไฟนะคะ ใส่น้ำเปล่าลงไปประมาณ 10 ถ้วย เกลือป่น (ธรรมดา) ประมาณ 85 กรัม (ใครชอบเค็มมาก ๆ ก็ใส่เยอะกว่านี้ได้นะคะ เพราะหากใส่ตามอัตราส่วนที่พิมใช้เนี่ย จะเค็มอ่อน ๆ ค่ะ) ... รอน้ำเดือดก็ใส่หมูทั้งชิ้นลงไปต้ม (น้ำไม่ต้องท่วมหมูทั้งชิ้นก็ได้นะคะ แต่อย่างน้อยให้ท่วมมากกว่า 3/4 ชิ้นอ่ะค่ะ) โดยให้คว่ำด้านหนังลงนะคะ ต้มไปสัก 40 นาที ก็ค่อยพลิกเอาด้านเนื้อกลับลงไป .. และต้มต่ออีกประมาณ 5 นาที


หมูกรอบ

หมูกรอบ


พอครบเวลาตามที่กำหนดไว้ ก็ใช้ตะหลิวโปร่ง ๆ นะคะ ตักชิ้นหมูขึ้นจากกระทะ

หมูกรอบ


แล้วก็เอาไปวางพักบนตะแกรงโปร่ง + นำไปตากแดดจัด หรืออบด้วยไฟอ่อน ๆ 1 ชั่วโมง หรือจนหนังหมูแห้ง

หมูกรอบ


จากนั้นก็นำมาทอดในน้ำมันเยอะหน่อย (ไม่ต้องให้น้ำมันท่วมหมูทั้งชิ้นก็ได้ อย่างน้อยให้ท่วมสักครึ่งอ่ะค่ะ) .... โดยเอาด้านหนังลงไปทอดก่อน .... ซึ่งช่วงแรกใช้ไฟกลางค่อนมาทางแรงประมาณ 70% ค่ะ พอด้านหนังเหลืองดี (ลอง ๆ พลิกดูนะคะ) ก็พลิกกลับอีกด้านลงไปทอด และลดไฟลงเหลือประมาณ 60% ทอดต่อไปอีกสักหน่อย จนหมูเหลืองทั้งสองด้าน

ป.ล. ปกติน้ำมันที่ใช้ทอดอาหาร ไม่ควรใช้เกิน 2 ครั้งนะคะ

หมูกรอบ



หมายเหตุ ..... ระหว่างทอด ... ช่วงนี้น้ำมันพยายามจะแทรกตัวเข้าไปในเนื้อหมู (เพื่อทำให้หมูกรอบ) น้ำจากเนื้อหมูจะซึมออกมาด้านนอก ทำให้น้ำมันกระเด็นได้ ....ก็ให้เอาพวกฝาลังถึง หรือตะแกรงที่เค้ามีไว้กันกระเด็นโดยเฉพาะปิดเอาไว้นะคะ รอจนหายกระเด็นหรือให้กระเด็นน้อยหน่อย (ฟังจากเสียง) แล้วค่อยเปิดนะคะ


หมูกรอบ



สุดท้ายแล้ว ... เราก็จะได้หมูกรอบออกมาแบบในภาพด้านล่างนี่อ่ะค่ะ ... ขอบอกว่าตรงหนัง และรอบนอก ๆ ของเค้ากรอบมากเลยค่ะ กรอบแบบไม่ด้านเลย (ผ่านไป 2 วันแล้ว ตอนหั่นยังได้ยินเสียงกรอบ ๆ อยู่เลยค่ะ แต่น้อยกว่าตอนทำเสร็จใหม่ ๆ) แล้วตอนเคี้ยวเนี่ยหนังแทบจะละลายหายไปในปาก ^^ ส่วนเนื้อหมูด้านในก็ยังนุ่มอยู่ ไม่แข็งอ่ะค่ะ

.... สรุปว่าถูกใจพิมและคนที่บ้านมากเลยค่ะ ยังไงก็ถ้าเพื่อน ๆ คนไหนสนใจ ลองไปทำดูกันนะคะ


หมูกรอบ

หมูกรอบ

หมูกรอบ

หมูกรอบ



ส่วนนี่ก็เป็นผลงานของหมูกรอบที่พิมเอามาต่อยอดไว้ค่ะ "ข้าวหมูกรอบ กับ ไข่ต้มยางมะตูม"


สำหรับ น้ำราดข้าวหมูกรอบของพิมมีส่วนผสมและวิธีตามนี้นะคะ .... คั่วอบเชย โป๊ยกั๊ก ผงพะโล้ รากผักชีทุบพอแตก ให้หอม ใส่น้ำตาลปี๊บลงไป คนจนละลาย และรอจนให้กลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม (เหมือนทำน้ำพะโล้อ่ะจ้า ใครงงหรือสงสัย เข้ามาที่ pim.in.th คลิกไปที่หมวด "กับข้าวจากเนื้อหมู" แล้วไปดูตรงส่วนเมนูพะโล้เห็ดหอมนะคะ) แล้วก็ใส่น้ำซุปหมูลงไป ปรุงรสด้วยเกลือป่น พริกไทย ซีอิ๊วขาว... รอเดือดก็ชิมรสชาติ เอาตามชอบเลยนะคะ จะหวานจะเค็ม เอาตามต้องการเลย จากนั้นก็เคี่ยวไฟอ่อนไปสักแป๊บนึง ประมาณ 5 นาที (ถ้าทำน้ำราดปริมาณเยอะ ๆ ก็ใช้เวลาเคี่ยวมากกว่านี้อีกห่นอยค่ะ) แล้วก็ค่อยใส่แป้งท้าวที่ละลายน้ำแล้วลงไปค่ะ เอาให้ข้นเหนียวตามต้องการ ..... พอเดือดอีกทีก็ดับไฟเตา ใส่เหล้าจีน กับน้ำมันงาไปอย่างละหน่อยนะคะ คน ๆ ให้เข้ากัน

จากนั้นก็ยกลง .. ตั้งพักไว้ให้อุ่น ๆ ก็ใส่งาขาวคั่ว กับถั่วลิสงคั่ว บดเกือบจะละเอียดลงไป คนให้เข้ากันเป็นอันใช้ได้ละค่ะ ........ ซึ่งน้ำราดของพิมเนี่ย จะออกใส ๆ แต่รสเข้มข้นนะคะ จะไม่ขุ่น ๆ เหมือนที่บางเจ้าเค้าทำขาย เพราะว่าพิมไม่ได้ใส่ซีอิ๊วดำอ่ะค่ะ

ยังไงก็ลองไปทำดูกันนะคะ ... สูตรนี้อร่อยจริงค่ะ ไม่ได้โม้!!!


หมูกรอบ

หมูกรอบ

หมูกรอบ



ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก




 

Create Date : 16 กันยายน 2554   
Last Update : 16 กันยายน 2554 19:48:49 น.   
Counter : 4641 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  

karnoi
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]




เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add karnoi's blog to your web]