เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย

ติดตามข้อมูลเว็บทาง Google+ กด
FaceBook สาว ๆ เซ็กซี่

“ห้วยขวาง” สวรรค์นักชอป พร้อมขอโชคลาภ-สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์

“ห้วยขวาง” สวรรค์นักชอป พร้อมขอโชคลาภ-สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
สินค้ามากมายหลากประเภทที่ ”ย่านห้วยขวาง”
       ย่านที่ขึ้นชื่อในเรื่องการชอปปิ้งนั้น มีมากมายอยู่หลายย่านให้เหล่านักชอปได้ไปจับจ่ายกัน ซึ่ง “ย่านห้วยขวาง” ก็นับเป็นอีกหนึ่งย่านที่เป็นแหล่งชอปปิ้งสำคัญใจกลางเมือง อีกทั้งยังขึ้นชื่อในเรื่องสินค้าที่หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน เสื้อผ้า ดอกไม้ เฟอร์นิเจอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย

       อีกทั้งในย่านห้วยขวางแห่งนี้ ก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่แหล่งชอปปิ้งเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นที่ตั้งของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ให้ผู้ที่มาเที่ยวได้สักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลกันอีกด้วย

“ห้วยขวาง” สวรรค์นักชอป พร้อมขอโชคลาภ-สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ร้านเสื้อผ้าเรียงราย สวรรค์นักชอป
       เริ่มต้นการเที่ยวตามย่านในครั้งนี้ ด้วยการเดินชอปปิ้งยามเย็นกันที่ “ตลาดห้วยขวาง” ตลาดแห่งนี้นับเป็นตลาดนัดยามเย็นที่มีความคึกคักอย่างมาก ซึ่งพื้นที่ของเหล่านักชอปนั้น เริ่มตั้งแต่บริเวณสี่แยกห้วยขวางจุดตัดของถนนรัชดาภิเษกกับถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญ เข้ามาในฝั่งถนนประชาสงเคราะห์

“ห้วยขวาง” สวรรค์นักชอป พร้อมขอโชคลาภ-สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
"อาหารสด" ก็มีให้เลือกซื้อมากมาย
       หากใครที่ผ่านมาย่านนี้ในช่วงยามเย็นแล้ว ก็จะพบกับภาพบรรยากาศร้านค้ามากมายเรียงรายเต็มสองฝั่งถนน รวมถึงพื้นที่ในตรอกซอกซอยของบริเวณตลาดอีกด้วย โดยร้านค้านั้นมักจะเปิดประมาณ 5 โมงเย็นเรื่อยไปจนถึงประมาณตี 4 ของอีกวัน

“ห้วยขวาง” สวรรค์นักชอป พร้อมขอโชคลาภ-สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
“ร้านขายดอกไม้” พบได้ไม่ยาก
       สิ่งที่ขึ้นชื่อที่สุดของย่านนี้ ก็คงจะเป็นสินค้าที่มีอยู่หลากหลายประเภท โดยเฉพาะเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ ที่มีร้านเรียงรายมาตั้งแต่บริเวณสี่แยกให้ได้เลือกซื้อเลือกลอง อีกทั้งยังมีเสื้อผ้าแฟชั่นสไตล์เซ็กซี่ สำหรับผู้ที่กำลังมองหาเสื้อผ้าประเภทนี้ได้มาชอปปิ้งกัน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์และสีสันของย่านนี้

“ห้วยขวาง” สวรรค์นักชอป พร้อมขอโชคลาภ-สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
บรรยากาศบริเวณ “ร้านขายของจิปาถะ” และ “ร้านขายเฟอร์นิเจอร์”
       ในส่วนสินค้าประเภทอาหารที่มีสารพัดชนิด ไม่ว่าจะเป็นผักปลา ผลหมากรากไม้ ของคาวหวานก็มีมากมายให้ได้เลือกซื้อเลือกชิมหรือจะเลือกซื้อกลับบ้านไปทำกินเองกันก็ได้ และหากใครที่กำลังมองหาร้านอาหารสำหรับเติมพลังมื้อเย็นก็มีร้านอาหารอีกหลากชนิดให้ได้เลือกชิมกันอย่างมากมาย (คลิกอ่าน ครึกครื้น คึกคัก เยือน “ตลาดห้วยขวาง” กิน-เที่ยว-ไหว้พระ ที่เดียวครบ)

“ห้วยขวาง” สวรรค์นักชอป พร้อมขอโชคลาภ-สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เฟอร์นิเจอร์ดีไซน์เก๋ไก๋
       ไม่หมดเพียงเท่านั้น ยังมีร้านสินค้าชนิดอื่นๆ ให้ได้เลือกซื้อจับจ่าย โดยเฉพาะร้านเฟอร์นิเจอร์ ที่มีร้านจำหน่ายเรียงรายมากมายตามเส้นประชาสงเคราะห์ ให้ได้เลือกซื้อไปประดับตกแต่งกัน หรือจะเป็นอุปกรณ์ใช้สำหรับครัวเรือนก็มี นับได้ว่าประเภทสินค้านั้นมีมากมายนับไม่ถ้วนจริงๆ เรียกได้ว่าที่แห่งนี้สามารถตอบสนองความต้องการของเหล่านักชอปนักชิมได้อย่างไม่ผิดหวังจริงๆ

“ห้วยขวาง” สวรรค์นักชอป พร้อมขอโชคลาภ-สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
บรรยากาศด้านหน้า “ศาลพระพิฆเนศ”


“ห้วยขวาง” สวรรค์นักชอป พร้อมขอโชคลาภ-สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
รูปเคารพ "องค์เทพพระพิฆเนศ"
       หากใครที่มาเที่ยวย่านแห่งนี้แล้วก็ไม่ควรพลาดที่จะมาสักการะ “พระพิฆเนศ” เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยศาลพระพิฆเนศนั้นจะตั้งอยู่บริเวณ 4 แยกห้วยขวาง ซึ่งมีประวัติความเป็นมาคือ เมื่ออดีตบริเวณ 4 แยกแห่งนี้ มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยครั้ง จึงมีการนำรูปเคารพองค์เทพพระพิฆเนศมาตั้งไว้เพื่อแก้เคล็ดและได้สร้างศาลขึ้น ซึ่งในเวลาต่อมาก็มีผู้คนเดินทางมาสักการะอย่างไม่ขาดสาย จึงกลายเป็นอีกหนึ่งศาลพระพิฆเนศที่ผู้คนมากมายต่างให้ความนับถืออย่างมากในปัจจุบัน

“ห้วยขวาง” สวรรค์นักชอป พร้อมขอโชคลาภ-สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
“รูปเคารพพระศิวะและพระอุมา” ภายในศาลพระพิฆเนศ


“ห้วยขวาง” สวรรค์นักชอป พร้อมขอโชคลาภ-สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
บรรยากาศภายใน “วัดกุนนทีรุทธาราม”
       นอกจากองค์พระพิฆเนศแล้ว ย่านห้วยขวางแห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของ “วัดกุนนทีรุทธาราม” โดยจะตั้งอยู่ในซอยอินทามระ 59 และสามารถเข้ามาได้จากทางซอยรัชดาภิเษก 13 และซอยประชาสงเคราะห์ 34 วัดแห่งนี้เป็นวัดสำคัญของย่านห้วยขวาง ซึ่งชาวบ้านละแวกนี้จะเรียกวัดนี้ว่า “วัดห้วยขวาง” โดยเป็นมุมสงบใจกลางย่านคึกคักแห่งนี้

“ห้วยขวาง” สวรรค์นักชอป พร้อมขอโชคลาภ-สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
“พระสารีริกธาตุพระอรหันตสาวก”
       ที่วัดแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานของสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น พระสารีริกธาตุพระอรหันตสาวก รูปปั้นเทพพระราหู ให้ผู้ที่แวะเวียนมาได้สักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลและขอพรที่ใจอยาก

“ห้วยขวาง” สวรรค์นักชอป พร้อมขอโชคลาภ-สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
บริเวณด้านหน้าพระอุโบสถ


“ห้วยขวาง” สวรรค์นักชอป พร้อมขอโชคลาภ-สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ศาลเทพพระราหู
       หากใครที่ต้องการจะพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องโชคลาภแล้ว ก็ไม่ควรพลาดที่จะสักการะ “ศาลพระโพธิสัตว์กวนอิม” ซึ่งเคยมีผู้มาขอพรและถูกรางวัลร้อยล้านบาท อีกทั้งที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของ “ศาลเจ้าแม่ตะเคียนเงินตะเคียนทอง” ที่สร้างปาฏิหาริย์แก่ผู้ที่มาขอพร จนมีผู้นำชุดไทยมาแก้บนมากมายไม่ขาดสาย

“ห้วยขวาง” สวรรค์นักชอป พร้อมขอโชคลาภ-สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ศาลพระโพธิสัตว์กวนอิม
       ด้วยบรรยากาศที่คึกคักของร้านค้ามากมายสารพัด อีกทั้งยังสามารถแวะพักในร้านอาหารต่างๆได้อีก หรือจะแวะเวียนไปสักการะสิ่งสักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นมงคลกับชีวิต จึงนับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่น่าเที่ยวไม่แพ้ย่านไหนๆ ใจกลางกรุงเทพมหานคร

“ห้วยขวาง” สวรรค์นักชอป พร้อมขอโชคลาภ-สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์
บูชา “เจ้าแม่ตะเคียนเงินตะเคียนทอง”
       การเดินทาง : รถโดยสารประจำทางสาย : 12, 74, 73, 36, 122
       รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT : สถานีห้วยขวาง

       **********************************************************************************




 

Create Date : 22 มีนาคม 2557   
Last Update : 22 มีนาคม 2557 22:34:04 น.   
Counter : 8737 Pageviews.  

“เกาะหินงาม” ตะรุเตา...ความเชื่อ-คำสาป-และคำขอร้อง/ปิ่น บุตรี

โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)

“เกาะหินงาม” ตะรุเตา...ความเชื่อ-คำสาป-และคำขอร้อง/ปิ่น บุตรี
       จากอดีตแดนนรก ปัจจุบันหมู่เกาะ“ตะรุเตา” จ.สตูล กลายเป็นแดนสวรรค์ที่นักท่องเที่ยวถวิลหา

       ความสวยงามของหมู่เกาะตะรุเตาในวันนี้ ส่วนใหญ่ยังคงไว้ซึ่งธรรมชาติอันพิสุทธิ์ จะมีก็แต่เกาะหลีเป๊ะที่วันนี้ดูเติบโตเร็วแบบก้าวกระโดดจากชื่อเสียงทางการท่องเที่ยวที่กำลังมาแรง

1...

       เสน่ห์ความงามของทะเลตะรุเตานั้นอยู่ในขั้นชั้นเลิศของท้องทะเลไทย ที่นี่มากไปด้วยธรรมชาติเฉพาะตัวอันเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกาะเล็กเกาะน้อยหลายเกาะต่างมีลักษณะของธรรมชาติเฉพาะตัวให้สัมผัสกันอย่างอิ่มตาจุใจ ไม่ว่าจะเป็น

“เกาะหินงาม” ตะรุเตา...ความเชื่อ-คำสาป-และคำขอร้อง/ปิ่น บุตรี
เกาะไข่กับซุ้มประตูหินอันเป็นเอกลักษณ์
       “เกาะไข่” เป็นเกาะเล็กๆหน้าหาดมีหาดทรายยาวขาวเนียนทอดตัวไปสู่ “ซุ้มประตูหิน” ดูแข็งแกร่งแต่แฝงความอ่อนน้อมอยู่ในทีกับรูปทรงโค้งงาม ซุ้มประตูหินแห่งนี้ถูกยกให้เป็นสัญลักษณ์แห่งตะรุเตาและสัญลักษณ์ของจังหวัดสตูล ที่ตอนหลังมีการผูกสร้างเรื่องราวความเชื่อเพื่อการท่องเที่ยวเข้ามาว่า ถ้าคู่รักได้มาเดินควงคู่กันลอดซุ้มประตูหินแห่งนี้ ความรักก็จะสมหวังยั่งยืน

“เกาะหินงาม” ตะรุเตา...ความเชื่อ-คำสาป-และคำขอร้อง/ปิ่น บุตรี
ก้อนหินใหญ่ที่วางซ้อนกันเหมือนจะตกแต่ไม่ตกที่เกาะหินซ้อน
       “เกาะหินซ้อน” เป็นดังกองหินโผล่กลางทะเล แต่มีความโดดเด่นด้วยก้อนหินใหญ่ที่วางซ้อนกัน หากเข้าไปดูใกล้ๆจะพบว่าหินก้อนล่างนั้นแตก ส่วนหินก้อนบนวางแบบเหลื่อมๆเหมือนจะตกไม่ตกแหล่ แต่ก็ไม่เคยตกสักที

“เกาะหินงาม” ตะรุเตา...ความเชื่อ-คำสาป-และคำขอร้อง/ปิ่น บุตรี
สระเปิดสีมรกตที่เกาะรอกลอย
       “เกาะรอกลอย” เกาะเล็กจิ๋วที่อยู่ตรงข้ามกับเกาะดง ทิวทัศน์ที่เกาะนี้งดงามนัก โดยเฉพาะทะเลน้ำตื้นระหว่างเกาะทั้งสองนั้นสวยงามจับใจ น้ำทะเลใสแจ๋วออกสีมรกตอ่อนๆ มองเห็นพื้นทรายน่าแหวกว่ายเป็นยิ่งนัก ประหนึ่งดังสระเปิดกลางท้องทะเล

“เกาะหินงาม” ตะรุเตา...ความเชื่อ-คำสาป-และคำขอร้อง/ปิ่น บุตรี
ปะการังหลากสีที่เกาะจาบัง
       “เกาะจาบัง” เป็นเกาะหินที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่โลกใต้น้ำที่นี่ที่เรียกว่าร่องน้ำจาบังนั้นสุดยอดทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยฝูงปลา ปะการังอ่อน ดอกไม้ทะเล โดยเฉพาะกลุ่มปะการังเจ็ดสีที่นี่ถือว่าสวยงามมีชื่อเสียงโด่งดังไปไกล

2...

       ที่หมู่เกาะตะรุเตายังมีเกาะพิเศษอีกหนึ่งเกาะนั่นก็คือ “เกาะหินงาม”ที่มีธรรมชาติไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน

“เกาะหินงาม” ตะรุเตา...ความเชื่อ-คำสาป-และคำขอร้อง/ปิ่น บุตรี
เกาะหินงามกับหาดหินที่ไม่เหมือนใคร
       เกาะหินงามเป็นเกาะเล็กๆที่ดูไกลเหมือนมีหาดทรายสีดำ แต่เมื่อเข้าไปใกล้จะพบว่าเกาะนี้ไม่มีหาดทราย หากแต่ว่าหาดสีดำนั้นคือก้อนหินที่ปรากฏไปทั่วบริเวณ นับเป็นความมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้นมา

       หินที่เกาะหินงามเป็นหินกลมมน สีเทาดำ ยามถูกน้ำจะดำแวววาววับ นักท่องเที่ยวจึงนิยมไปวักน้ำใส่แนวหิน เพื่อให้ถ่ายรูปออกมาดูดีสวยงาม

“เกาะหินงาม” ตะรุเตา...ความเชื่อ-คำสาป-และคำขอร้อง/ปิ่น บุตรี
หินงามก้อนมน ถูกน้ำต้องแดดแวววาว
       การเกิดของหินงามที่นี่ บ้างสันนิษฐานว่า เกิดจากกระแสน้ำที่ขึ้นลงอยู่บริเวณรอบเกาะ บีบตัวเข้ามาทางช่องแคบระหว่างเกาะอาดัง เกาะอาวี เกาะหลีเป๊ะ และหมู่เกาะดง ก่อให้เกิดกระแสน้ำที่เชี่ยวจัด โดยเฉพาะในหน้ามรสุม ส่งผลให้ผาหินของเกาะหินงาม ถูกคลื่นลม น้ำกัดเซาะ จนค่อยๆพังลงมาแล้วถูกกระแสน้ำแรงกระแทกหินให้แตกเป็นก้อนเล็กๆ จากนั้นได้ถูกแรงของน้ำกัดเซาะ พัดให้หินเสียดสีกัน จนเหลี่ยมคมหาย กลายเป็นหินกลมมนสวยงามทั่วบริเวณชายหาด ซึ่งต้องใช้เวลายาวนานเป็นพันปีเป็นหมื่นปี

       ส่วนบ้างก็สันนิษฐานว่า หินที่นี่เป็นหินที่มีทับถมอยู่ใต้ท้องทะเลมายาวนาน ความกลมมนเวางามของมันนั้นเกิดจากแรงกัดกร่อนจากคลื่นนับล้านๆปี จนเกิดเป็นหาดหินงามดังเช่นทุกวันนี้

“เกาะหินงาม” ตะรุเตา...ความเชื่อ-คำสาป-และคำขอร้อง/ปิ่น บุตรี
เกาะหินงามกับความเชื่อเรื่องการเรียงหิน
       หินงามที่เกาะหินงามยังมีอีกเรื่องราวที่ถูกกล่าวขานกันมานั่นก็คือ ความเชื่อที่ว่า หินทุกก้อนบนเกาะหินงามต้องคำสาปของเจ้าพ่อตะรุเตา(รูปเคารพเจ้าพ่อตะรุเตาประดิษฐานอยู่บนเกะตะรุเตา) ใครที่นำหินเหล่านี้ออกจากเกาะไป จะต้องมีอันเป็นไป!!! โดยมีคำสาปของเจ้าพ่อตะรุเตาติดไว้เตือนใจและเตือนจิตสำนึกของนักท่องเที่ยวว่า

“...ผู้ใดบังอาจเก็บหินจากเกาะนี้ไป ผู้นั้นจะพบแต่ความหายนะ นานาประการจะกลับไม่ถึงบ้าน จะประสบอุบัติเหตุ จะหลุดพ้นจากหน้าที่การงาน จะพบภัยพิบัติไม่มีที่สิ้นสุด...”

       เดิมข้อคำสาปนี้มีเฉพาะภาษาไทย แต่ปัจจุบันมีบอกเตือนกันถึง 3 ภาษา คือ ไทย อังกฤษ และจีน

“เกาะหินงาม” ตะรุเตา...ความเชื่อ-คำสาป-และคำขอร้อง/ปิ่น บุตรี
ป้ายคำสาปเจ้าพ่อ
       เรื่องนี้แม้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่ที่ผ่านมาก็ได้ยินข่าว ได้ยินเรืองเล่าถึงผู้ที่แอบลักลอบหยิบฉวยหินงามเหล่านี้กลับไป นักท่องเที่ยวต่างชาติหลายคนนำกลับบ้านไปยังเมืองนอกเมืองนาที่อยู่ไกลโพ้นทะเล แต่สุดท้ายก็ต้องนำมาคืน หรือส่งคืนทางพัสดุเพราะอยู่ไม่เป็นสุข

       ดังนั้นใครที่ไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่และห้ามนำหินเหล่านี้กลับไป เพราะไม่ว่าผลทางด้านคำสาปจะเป็นอย่างไรแต่นั่นคือการทำผิดกฎหมายของอุทยานฯ ส่วนเรื่องคำสาปนั้น ถ้าไม่มีความเชื่อเรื่องคำสาป เกาะหินงามอาจถูกนักท่องเที่ยวหยิบฉวยก้อนหินงามๆติดไม้ติดมือกลับบ้านไปคนละก้อนสองก้อน กลายเป็นเกาะหินหมดก็เป็นได้

“เกาะหินงาม” ตะรุเตา...ความเชื่อ-คำสาป-และคำขอร้อง/ปิ่น บุตรี
หินจำนวนมากที่ถูกเรียงขึ้นตามความเชื่อ
3...

       นอกจากเรื่องของความงาม คำสาปแล้ว เกาะหินงามยังมีความเชื่อในเรื่องของการเรียงหินเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นและสีสันของเกาะแห่งนี้ ซึ่งต้นทางดั้งเดิมของความเชื่อเรื่องการเรียงหินที่เกิดขึ้นในบ้านเรานั้น ไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดว่ามาจากไหน แต่ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นของเอเชีย บ้างว่ามาจากเกาหลี บ้างว่ามาจากญี่ปุ่น และบ้างก็ว่าจากพี่ไทยเราเองนี่แหละ โดยส่วนใหญ่จะเชื่อกันว่าถ้าได้เรียงหินต่อเป็นชั้นๆขึ้นไปเป็นเจดีย์หินแล้วอธิษฐานขอพรก็จะสมมาดปรารถนา

       เดิมความเชื่อเรื่องการเรียงหินในเมืองไทยปรากฏแรกๆเพียงไม่กี่แห่ง หนึ่งในนั้นก็คือที่เกาะหินงาม ก่อนที่ปัจจุบันมันจะระบาดไปทั่วเมืองไทย นักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งเจอหินที่ไหน พวกเก็บหินตามธรรมชาติจับไปเรียงกันหมด เกาะตาชัยก็มี ภูกระดึงก็มี ในถ้ำก็มี บนเขาก็มี หรือแม้แต่ตามโบราณสถานก็ยังอุตส่าห์ไปเดินหาอิฐเก่าๆมาเรียงกัน เอากับพวกเขาสิ(นอกจากเรียงหินแล้วก็ยังมีความเชื่อเรื่องไม้ค้ำหินใหญ่ ที่เชื่อว่าค้ำแล้วจะอายุยืนยาว ตามแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งจึงมีการนำกิ่งไม้ไปค้ำหินกันเพียบ โดยกิ่งไม้จำนวนมากนั้นถูกนักท่องเที่ยวหักทำลายมาเพื่อภารกิจเฉพาะคือค้ำหิน ขณะที่ต้นไม้ต้องถูกหักทำลายลงไป)

“เกาะหินงาม” ตะรุเตา...ความเชื่อ-คำสาป-และคำขอร้อง/ปิ่น บุตรี
ความเชื่อกับการเรียงหิน กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวนิยมทำบนเกาะหินงาม
       สำหรับการเรียงหินที่เกาะหินงามนั้น มีความเชื่อเล่าขานกันว่า ถ้าใครเรียงต่อกันขึ้นไปเป็นเจดีย์หิน เป็นคอนโดหินได้ 13 ชั้น 13 ก้อน หรือบ้างก็ว่ายิ่งเรียงสูงเท่าไหร่ยิ่งดี แล้วอธิษฐานก็จะสำเร็จสมหวังดังปรารถนา ซึ่งนี่แม้จะเป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สร้างสีสันให้กับนักท่องเที่ยวได้ไม่น้อยยามเมื่อมาเที่ยวที่เกาะหินงาม

       สมัยก่อนหลายๆทัวร์จัดให้การเรียงหินที่นี่เป็นไฮไลท์เลยทีเดียว มาเกาะตะรุเตาต้องลอดซุ้มประตูหินเกาะไข่ และต้องมาเรียงหินที่เกาะหินงาม ส่วนธรรมชาติสวยๆงามๆนั้นเป็นเรื่องรอง

“เกาะหินงาม” ตะรุเตา...ความเชื่อ-คำสาป-และคำขอร้อง/ปิ่น บุตรี
ร่วมด้วยช่วยกันเรียงหิน
       อย่างไรก็ดีความเชื่อเรื่องการเรียงหินที่เกาะหินงามในวันนี้ดูจะเปลี่ยนไป เพราะมีหลายฝ่ายได้รณรงค์ขอร้องว่า การเรียงหินที่เกาะหินงามยังทำได้เป็นปกติ ตามความเชื่อส่วนบุคคล หรือใครที่ไม่เชื่อจะเรียงเพื่อความเพลิดเพลินก็สุดแท้แต่

       แต่ขอร้องหละ พลีส เมื่อเรียงหินได้ดังใจ อธิษฐานตามที่หวังแล้ว ช่วยนำหินกลับคืนสู่หาดหินเหมือนเดิมด้วย เพราะ...เมื่อเรียงหินขึ้นไปซ้อนกันเป็นเจดีย์แล้ว ยามเมื่อถูกลมแรงๆพัดกระโชก เจดีย์หินที่วางไว้ไม่มั่นคงมีจุดเสถียรสมดุลเพียงเล็กน้อยก็จะโค่นพังลงมา ทำให้ก้อนหินบางก่อนแตกหักเปลี่ยนจากหินงามกลายเป็นหินแตก

“เกาะหินงาม” ตะรุเตา...ความเชื่อ-คำสาป-และคำขอร้อง/ปิ่น บุตรี
หินแตกที่ถูกนำมาเรียง
       เรื่องนี้บางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ถ้านักท่องเที่ยวมาเรียงหินกันเป็นจำนวนมาก แล้วปล่อยเจดีย์หินทิ้งไว้จนร่วงหล่นมาแตกหัก เมื่อสะสมมากขึ้นหลายปี หาดหินที่เต็มไปด้วยหินกลมมนสวย ก็มากไปด้วยก้อนหินที่แตกหักเข้ามาผสมแทน

       อ้อ...แต่วิธีปฏิบัติการส่งก้อนหินจากเจดีย์คืนสู่หาดนั้นต้องทำแบบไม่รุนแรง ค่อยๆหยิบหินลงมาคืน เพราะถ้าทำแบบหลุดแรง พังโครมมันลงมา หรือเตะทิ้ง โยนทิ้ง มันก็จะทำให้หินแตกได้เช่นกัน สุดท้ายจะกลายเป็นความหวังดีประสงค์ร้ายไป

4...

       การไปเที่ยวเกาะหินงามและแหล่งท่องเที่ยวต่างๆในหมู่เกาะตะรุเตาหนล่าสุดของผมนั้น ไกด์ที่นำเที่ยวดีทีเดียวคือเตือนนักท่องเที่ยวในเรื่องการเรียงหินว่าถ้าเรียงเสร็จแล้วให้นำกลับคืนสู่หาด แต่บางบริษัทไกด์ก็ไม่ได้เตือน เห็นมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเรียงหินเสร็จแล้วก็ปล่อยทิ้งไว้ บิดก้นกลับไป

“เกาะหินงาม” ตะรุเตา...ความเชื่อ-คำสาป-และคำขอร้อง/ปิ่น บุตรี
เจดีย์หินเรียงรายที่ถูกเรียงทิ้งไว้
       ส่วนที่แย่มากก็เห็นจะเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งที่ผมเจอในวันนั้น พวกพอเรียงหินเสร็จแล้วก็มานั่งเขวี้ยงหินเล่นซะอย่างงั้น บางคนโอ่กลับเพื่อนอย่างภูมิใจที่ปาหินตกแตกได้ แล้วหลังจากนั้นเมื่อถึงเวลานักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ก็เดินกลับไปขึ้นเรือ

       แต่...เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อนักปาหินบางคนเดินไปเหยียบหอยเม่นเข้าอย่างจัง จนร้องจ๊าก ต้องปฐมพยาบาลกันพักใหญ่ ถึงขึ้นเรือกลับได้

       เหตุการณ์นี้จะว่าไปคงเป็นเหตุบังเอิญ เพราะนักท่องเที่ยวคนนั้นเดินเท้าเปล่าขึ้นมาเที่ยวเกาะหินงาม จึงพลั้งพลาดไปเดินเตะหอยเม่นเข้า เพราะตามชายหาดเกาะหินงามมีหอยเม่นแฝงตัวอยู่ไม่น้อย (นักท่องเที่ยวที่ขึ้น-ลงเรือต้องระวังให้ดี ควรใส่รองเท้าขึ้นไปบนเกาะ)

แต่ประทานโทษ!!!งานนี้เมื่อเห็นแล้ว ผมอดนึกถึงคำสาปของเจ้าพ่อตะรุเตาไม่ได้

“เกาะหินงาม” ตะรุเตา...ความเชื่อ-คำสาป-และคำขอร้อง/ปิ่น บุตรี
หินงามที่แตกเสียหาย
       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *


//manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000031873




 

Create Date : 20 มีนาคม 2557   
Last Update : 20 มีนาคม 2557 21:45:52 น.   
Counter : 2089 Pageviews.  

ปั่นรถถีบ แอ่ว “เมืองน่าน” ยลวัดงาม สัมผัสวีถีชาวบ้าน ม่วนอ๊กม่วนใจ๋

ปั่นรถถีบ แอ่ว “เมืองน่าน” ยลวัดงาม สัมผัสวีถีชาวบ้าน ม่วนอ๊กม่วนใจ๋
มาแอ่วจ. น่าน เที่ยวแบบสนุกสนานได้โดยการปั่นจักรยาน
“ไปปั่นจักรยาน เที่ยวเมืองน่านกันมั้ยครับ….”

       เสียงทักทายสั้นๆ ส่งมาทางปลายสายจากพี่ที่รู้จัก ซึ่งทำงานอยู่ที่สายการบินนกแอร์ โทรศัพท์มาหา “ตะลอนเที่ยว” พร้อมกับเอ่ยประโยคนี้เป็นการทักทายแบบเชิญชวน

       แค่ได้ยินว่าไปปั่นจักรยาน ไปเที่ยวจ.น่าน เราก็รีบตอบกลับคำชวนนั้นทันทีแบบไม่คิดอะไรเลย เพราะด้วยความที่เรามีใจรักในจ.น่าน และหลงใหลในเมืองน่าน ที่แม้ว่าจะเป็นเพียงเมืองท่องเที่ยวเล็กๆ ของภาคเหนือ แต่ว่ากลับเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์อยู่ในตัวเป็นอย่างมาก

       เพราะเมืองน่านมีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมท้องถิ่นที่น่าสนใจ มีวัดวาอารามสวยๆ มีความน่ารักในเรื่องของวีถีชีวิตของคนน่าน ที่มีความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย ไม่วุ่นวาย ดูไม่รีบร้อน และมีมิตรไมตรีกับนักท่องเที่ยวทุกคนที่มาเยือนอย่างใจจริง

ปั่นรถถีบ แอ่ว “เมืองน่าน” ยลวัดงาม สัมผัสวีถีชาวบ้าน ม่วนอ๊กม่วนใจ๋
จักรยานโบราณมากมาย มีให้ชมที่เฮือนรถถีบ
       ทำให้ในทริปนี้หลังจากตบปากรับคำชวนแล้ว เรารีบเก็บกระเป๋าแล้วออกเดินทางมาพร้อมกับสายการบินนกแอร์ บินตรงจากกรุงเทพฯ มาสู่จ. น่านทันที และพร้อมที่จะแอ่วเมืองน่าน ผ่านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้วยการปั่นจักรยานไปกับทริป “อิ่มเอมใจ ปั่นในน่าน” ที่ทางสายการบินนกแอร์จัดขึ้น โดยจะพาไปสัมผัสเมืองน่าน ชมวีถีชีวิตชาวน่าน และชมวัดวาอารามอันโดดเด่นและสวยงามมากมาย

       เมื่อมาถึง จ. น่าน แล้วเรายังไม่ได้ไปออกกำลังขากับการปั่นจักรยานกันทันที แต่ได้ไปกระตุ้นต่อมอารมณ์ความอยากปั่นรถถีบให้มากขึ้นสักนิดก่อน ด้วยการเดินทางไปชมจักรยานโบราณสวยๆ ที่หาชมได้ยากที่ “เฮือนรถถีบ” ตั้งอยู่ที่ อ. เวียงสา ที่นี่เป็นสถานที่เก็บสะสมจักรยานส่วนบุคลคลของ คุณสุพจน์ เต็งไตรรัตน์ ที่แม้ว่าจะไม่ได้เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้คนเข้ามาชมได้ตลอดเวลา แต่ถ้าใครชื่นชอบจักรยานเป็นชีวิตจิตใจก็สามารถติดต่อขอเข้าชมล่วงหน้าได้ที่โทร. 0-5478-1359

       ทางเฮือนรถถีบก็จะยินดีเปิดให้เข้าไปชมจักรยานที่ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นจักรยานโบราณที่มีคุณค่าและยังสามารถใช้งานได้จริง เรียกได้ว่าที่นี่จัดว่าเป็นสวรรค์ของคนรักจักรยานโบราณก็ว่าได้ เพราะว่ามีจักรยานโบราณล้ำค่าเป็นร้อยๆ คัน ถูกจัดแสดงไว้อย่างเป็นระเบียบ มีจักรยานโบราณที่ผลิตจากประเทศโซนยุโรป หลายยี่ห้อ หลายรุ่น มีแต่จักรยานสวยๆ เก๋ๆ ให้ได้เดินชมกันอย่างใกล้ชิด จับได้ แตะได้ (แต่ห้ามถีบนะจ๊ะ)

ปั่นรถถีบ แอ่ว “เมืองน่าน” ยลวัดงาม สัมผัสวีถีชาวบ้าน ม่วนอ๊กม่วนใจ๋
พระประธานจตุรทิศ ที่วัดภูมินทร์
       เอาล่ะหลังจากได้เดินชมจักรยานโบราณสวยๆ จนต่อมความอยากปั่นจักรยานตื่นตัวกันมากแล้ว ก็ได้เวลาที่เราจะออกตะลอนทัวร์เมืองน่าน ด้วยแรงสองขาน้อยๆ กับการปั่นรถถีบแอ่วเมืองน่านกันเสียที ซึ่งที่เมืองน่านแห่งนี้ ก็ช่างเหมาะแก่การปั่นจักรยานเที่ยวเสียจริง เพราะว่ามีเลนสำหรับการปั่นจักรยานไว้ให้ด้วย ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถปั่นรถถีบเที่ยวเมืองน่านได้อย่างสบาย และค่อนข้างจะปลอดภัยพอสมควร

       เรานัดรวมพลคนปั่นจักรยานกันที่ข่วงเมือง ซึ่งเป็นลานกว้างใจกลางเมืองน่าน เป็นลานสาธารณะ ลานแห่งวัฒนธรรมที่อยู่ด้านหน้าวัดภูมินทร์ คนน่านนิยมมาใช้ลานข่วงเมืองนี้เป็นสถานที่นั่งเล่น ออกกำลังกาย หรือนัดพบปะพูดคุยกัน

ปั่นรถถีบ แอ่ว “เมืองน่าน” ยลวัดงาม สัมผัสวีถีชาวบ้าน ม่วนอ๊กม่วนใจ๋
ภาพจิตกรรม ปู่ม่าน ย่าม่าน ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง
       เมื่อทั้งคนและจักรยานพร้อม สองล้อของจักรยานก็เริ่มหมุนเคลื่อนตัว แต่ก่อนที่จะออกแรงปั่นไปไหนไกล เราก็ขอปั่นไปใกล้ๆ ด้วยการแวะเข้าไปชม “วัดภูมินทร์” ที่ตั้งอยู่บนถ.ผากลอง กันก่อน ที่นี่เป็นวัดเก่าแก่สำคัญคู่เมืองน่านมานานกว่า 400 ปี ถ้าใครมาจ. น่านแล้วไม่มาที่วัดภูมินทร์ก็เหมือนมาไม่ถึงจ.น่าน

“วัดภูมินทร์” เป็นวัดที่มีความงดงามทางด้านพุทธศิลป์อันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ มีพระวิหารและพระอุโบสถเป็นหลังเดียวกันสร้างทรงจัตุรมุข ดูคล้ายตั้งอยู่บนหลังพญานาค 2 ตัวที่ช่างโบราณได้สร้างสรรค์ขึ้นอย่างดงาม เมื่อเดินเข้ามาภายในพระอุโบสถ บริเวณใจกลางพระอุโบสถ จะพบกับความงดงามของ “พระประธานจตุรทิศ” เป็นพระประธานปางมารวิชัยศิลปะสุโขทัยองค์ใหญ่สีทองเหลืองอร่าม 4 องค์ ประทับนั่งบนฐานชุกชีเดียวกัน หันพระปฤษฎางค์ชนกัน(หันหลังชนกัน) หันพระพักตร์ไปทางทิศทั้ง 4 ถือว่าเป็นพระประธาน ที่มีเอกลักษณ์เป็นหนึ่งเดียว ที่ไม่ว่าจะมองจะทิศไหนก็จะสัมผัสได้ถึงความขรึมขลังขององค์พระ อันน่าเลื่อมใส เราก็ไม่ลืมที่จะขอพรจากองค์พระท่านด้วย

       และอีกหนึ่งสิ่งที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ เมื่อเข้ามายังพระอุโบสถแล้วก็ต้องไม่พลาดที่จะต้องเดินชมภาพจิตกรรมฝาผนังที่มีความสวยงาม โดยเฉพาะภาพของ “ปู่ม่าน ย่าม่าน” ที่ได้ชื่อว่าเป็นภาพกระซิบรักบันลือโลก อันมีชื่อเสียงโด่งดังใครมาก็ต้องมาชมและขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันทั้งนั้น

ปั่นรถถีบ แอ่ว “เมืองน่าน” ยลวัดงาม สัมผัสวีถีชาวบ้าน ม่วนอ๊กม่วนใจ๋
วัดศรีพันต้น งดงามด้วยโบสถ์สีทองอร่ามตา
       เอาล่ะหลังจากได้ไหว้พระขอพรที่วัดภูมินทร์กันเสร็จสิ้นแล้ว วงล้อจักรยานก็ได้เวลาเคลื่อนตัวออกเดินทาง โดยเราปั่นมากันยังวัดต่อไป คือที่ “วัดศรีพันต้น” ที่อยู่บริเวณแยกศรีพันต้น ถ.เจ้าฟ้า เมื่อมาถึงวัดนี้ก็ต้องตะลึงกับความยิ่งใหญ่ดูอลังการของโบสถ์ ที่ถูกทาสีเหลืองทองอร่ามจับตา งดงามโดดเด่นด้วยลวดลายปูนปั้นอันวิจิตรตระการตาที่ประดับประดาอยู่ตามหน้าบัน และมีบันไดนาค 7 เศียรที่แกะสลักไว้ได้อย่างงดงามอลังการ และด้านในโบสถ์โดนเด่นด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนัง เขียวเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองน่านให้ได้ชมและได้ความรู้ไปในตัว และมีประประทานที่งดงามให้ได้กราบขอพร

ปั่นรถถีบ แอ่ว “เมืองน่าน” ยลวัดงาม สัมผัสวีถีชาวบ้าน ม่วนอ๊กม่วนใจ๋
พระมหากัจจายนะ ที่วัดศรีพันต้น
       และเมื่อเดินออกมาจากโบสถ์ ด้านนอกยังมีวิหารพระมหากัจจายนะ ซึ่งมีพระมหากัจจายนะประดิษฐานอยู่ให้ได้กราบสักการะ อีกทั้งด้านหน้าวัดยังเป็นสถานที่เก็บเรือแข่ง “เลิศเกียรติศักดิ์” (พญามึ) ซึ่งเป็นเรือแข่งหัวนาคลำงาม ถูกตั้งแสดงไว้ พร้อมกับมีถ้วยรางวัลที่ได้จากการแข่งเรือตั้งโชว์ไว้ให้ได้ชมกันด้วย

ปั่นรถถีบ แอ่ว “เมืองน่าน” ยลวัดงาม สัมผัสวีถีชาวบ้าน ม่วนอ๊กม่วนใจ๋
ปั่นจักรยานชมกำแพงเมืองน่าน
       ออกจากวัดศรีพันต้น เราออกแรงปั่นรถถีบมาเที่ยวกันต่อ โดยมาชม “กำแพงเมืองน่าน” เป็นกำแพงเก่าแก่คู่เมืองน่านมาแต่อดีตกาล ที่ยังคงหลงเหลือซากของกำแพงโบราณที่มีความแข็งแกร่งและมั่นคงที่ดูสมบูรณ์ที่สุดให้ได้เห็นกันเพียงส่วนหนึ่ง ซึ่งเราสามารถนำจักรยานเข้าไปปั่นชมกำแพงได้เลย เพราะมีเส้นทางเล็กๆ อันร่มรื่นให้ได้ปั่นไปตามแนวกำแพงโบราณ ที่มีลักษณะทางสถาปัตยกรรมเป็นกำแพงก่ออิฐทั้งอิฐสี่เหลี่ยมและอิฐบัว แนวกำแพงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าด้านยาวทอดไปตามลำน้ำน่าน มีเชิงเทินทอดยาวไปตลอดตามความยาวของแนวกำแพง เหนือเชิงเทินประดับด้วยกำแพงใบเสมาคาดด้วยเส้นลวด 2 ชั้น เหนือแนวกำแพงเป็นรูปใบเสมารูปสี่เหลี่ยมตัดมุมบน ตรงมุมกำแพงทั้ง 4 ด้าน ก่อเป็นป้อม

ปั่นรถถีบ แอ่ว “เมืองน่าน” ยลวัดงาม สัมผัสวีถีชาวบ้าน ม่วนอ๊กม่วนใจ๋
พระเจ้าทองทิพย์ ประดิษฐานอยู่ที่วัดสวนตาล
       “ตะลอนเที่ยว” ได้ปั่นจักรยานชมกำแพงเมืองน่านไปตามเส้นทางเรื่อยๆ จนสุดแนวกำแพง แล้วเราก็ปั่นมุ่งหน้าไปยังจุดหมายต่อไป คือที่ “วัดสวนตาล” ตั้งอยู่ที่ถ.มหายศ ที่นี่เป็นอีกหนึ่งวัดเก่าแก่ของเมืองน่าน มีอายุกว่า 600 ปี สร้างขึ้นในสมัยพระนางปทุมมาวดีชายาของพญาภูเข็ง เจ้าผู้ครองนครน่าน

       พอเราปั่นจักรยานเข้ามายังเขตวัดด้านใน ก็ต้องสะดุดตากับ “บ่อน้ำทิพย์” ที่ตั้งเด่นอยู่ตรงกลางลานหน้าวัด เชื่อกันว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งทางราชการเมืองน่านจะนำน้ำศักดิ์สิทธิ์จากบ่อน้ำทิพย์นี้ไปใช้ในงานพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาด้วย

       เราจอดรถจักรยานไว้ที่ลานหน้าวัด แล้วก็เดินเข้าไปยังวิหารวัดสวนตาล เพื่อเข้าไปกราบขอพร “พระเจ้าทองทิพย์” เป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองน่าน สร้างโดยพญาติโลกราช เจ้านครพิงค์เชียงใหม่ และถือว่าเป็นพระพุทธรูปทองสำริดปางมารวิชัยสมาธิราบองค์ใหญ่ที่สุดในล้านนา ที่มีพุทธลักษณะสง่างามเป็นอย่างมาก ซึ่งเราก็ได้ร่วมทำบุญและกราบขอพรจากองค์พระท่านให้กับตัวเองด้วย

ปั่นรถถีบ แอ่ว “เมืองน่าน” ยลวัดงาม สัมผัสวีถีชาวบ้าน ม่วนอ๊กม่วนใจ๋
ภายในพิพิธภัณฑ์ชุมชนบ้านพระเกิดมีของโบราณให้ชมมากมาย
       จากนั้นก็ได้เวลาปั่นรถถีบไปยังที่เที่ยวต่อไป เราปั่นจากถ.มหายศ มาที่ถ.ราษฎร์อำนวย เพื่อมายัง “วัดพระเกิด” เป็นอีกหนึ่งวัดเก่าแก่ของเมืองน่าน สร้างมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2370 ได้รับประราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อปีพ.ศ.2381 วัดแห่งนี้เป็นวัดไม่ใหญ่นัก แต่มีของดีซ่อนอยู่ คือ บริเวณวัดมี "พิพิธภัณฑ์ชุมชนบ้านพระเกิด" เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เกิดจากความเห็นร่วมกันของชาวชุมชนบ้านพระเกิด ให้ปรับปรุงกุฏิ "ครูบาอินผ่อง วิสารโท" อดีตเจ้าอาวาสวัดพระเกิด ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ชุมชน เพื่อช่วยกันอนุรักษ์ศิลปวัตถุภายในวัดอันล้ำค่า ให้คงอยู่และเป็นที่ศึกษาหาความรู้ของคนรุ่นหลัง

ปั่นรถถีบ แอ่ว “เมืองน่าน” ยลวัดงาม สัมผัสวีถีชาวบ้าน ม่วนอ๊กม่วนใจ๋
ตุงก้าคิง เป็นตุงที่มีความยาวเท่าตัวคน ทำขึ้นเพื่อใช้สะเดาะเคราะห์
       เมื่อเดินขึ้นไปยังตัวพิพิธภัณฑ์ฯ ที่ตั้งอยู่ที่ชั้น 2 จะพบการจัดแสดงสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ มากมายที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมาของวัดและชุมชุน ซึ่งถูกจัดแสดงไว้อย่างเป็นระเบียบชวนชม อาทิ หีบพระธรรมโบราณลงรักปิดทอง พระพุทธรูปโบราณ ตู้เก็บ "ตั๋วเมือง" หรือคัมภีร์ใบลานอักษรธรรมล้านนา การจำลองเครื่องสืบชะตาล้านนาให้ได้ชม มีตาลปัตรเก่า บานประตูไม้แกะสลัก เครื่องจักรสาน และข้าวของเครื่องใช้โบราณอื่นๆ อีกมากมาย

       และมีอีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจ หากได้มาที่วัดพระเกิด จะได้เห็นชาวบ้านทำ “ตุงก้าคิง” เป็นตุงชนิดหนึ่งที่มีเอกลักษณ์ตรงที่ เป็นสัญลักษณ์แทนบุคคลที่ใช้เป็นเครื่องประกอบพิธีสืบชะตาหลวงตามความเชื่อของชาวล้านนา โดยตุงก้าคิงนี้จะมีรูปแบบคล้ายกับตัวคน มีหน้า มีตา และตัวตุงจะมีความสูงเท่ากับตัวเจ้าของตุงเอง บนตัวตุงจะมีสัญลักษณ์ปีนักษัตรของเจ้าของติดอยู่บนตุงด้วย แล้วก็จะนำตุงนี้ไปทำพิธีสืบชะตาหลวง เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ เสริมบารมี ให้มีโชคมีลาภ

ปั่นรถถีบ แอ่ว “เมืองน่าน” ยลวัดงาม สัมผัสวีถีชาวบ้าน ม่วนอ๊กม่วนใจ๋
บรรยากาศภายในโฮงเจ้าฟองคำ
       “ตะลอนเที่ยว” ใช้เวลาอยู่ที่วัดพระเกิดสักพักใหญ่ และถือโอกาสได้พักขาจากการปั่นจักรยานมานานให้หายเหนื่อยกันสักหน่อย ก่อนที่เราจะได้ออกแรงขาปั่นรถถีบกันต่อ โดยปั่นไปทางด้านหลังวัดพระเกิดไม่ไกลมากนัก ก็พบกับ “โฮงเจ้าฟองคำ” (โฮง หมายถึง คุ้ม หรือที่อยู่อาศัยของเจ้านายล้านนาไทย ชาวน่านจะเรียกบ้านหลังใหญ่ว่า โฮง ไม่เรียกว่า คุ้ม เหมือนชาวเชียงใหม่) โฮงเจ้าฟองคำ แห่งนี้จัดว่าเป็นหนึ่งในเรือนเก่าแก่ที่สวยงามของเมืองน่าน ที่ยังคงได้รับการดูแลรักษาและอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี และเปิดจัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ได้เข้าไปชมกันฟรีๆ

ปั่นรถถีบ แอ่ว “เมืองน่าน” ยลวัดงาม สัมผัสวีถีชาวบ้าน ม่วนอ๊กม่วนใจ๋
การสาธิตการทอผ้าที่โฮงเจ้าฟองคำ
       เมื่อได้ขึ้นไปชมโฮงเจ้าฟองคำจะได้สัมผัสกับเรือนไม้สักโบราณที่ทรงคุณค่า มีความสวยงามและน่าอยู่มาก ภายในเรือนจัดแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่แบบดั้งเดิม มีห้องรับแขก ห้องพระ ห้องนอน ห้องครัว และมีการจัดแสดงของโบราณล้ำค่า อาทิ เงินตราที่เคยใช้ในสมัยก่อน เครื่องเงินโบราณ และส่วนด้านล่างของเรือนที่เป็นใต้ทุนสูง มีการโชว์การทอผ้าพื้นเมืองให้ได้ชม หากนักท่องเที่ยวสนใจก็สามารถลองทอผ้าได้ หรือจะเลือกซื้อผ้าสวยๆ ที่มีจำหน่ายติดไม้ติดมือกลับไปก็ได้

ปั่นรถถีบ แอ่ว “เมืองน่าน” ยลวัดงาม สัมผัสวีถีชาวบ้าน ม่วนอ๊กม่วนใจ๋
ชมการเผาข้าวหลามที่ชุมชนบ้านสวนตาล
       หลังจากที่ได้เดินชมโฮมเจ้าฟองคำกันจนทั่วแล้ว เราก็ออกแรงปั่นรถถีบกันอีกครั้ง โดยปั่นมายัง "ชุมชนบ้านสวนตาล" ที่นี่เป็นชุมชนที่มีการเผาข้าวหลาม ซึ่งเป็นของฝากขึ้นชื่อของเมืองน่าน เมื่อมาถึงก็จะได้เห็นชาวบ้านกำลังนั่งเผาข้าวหลามกันอยู่ส่งกลิ่นหอมเชียว ถ้าสนใจก็สามารถซื้อข้าวหลามและให้ชาวบ้านปอกให้กินกันได้เลย ซึ่งข้าวหลามของที่นี่มีความอร่อยหอม หวานมันกำลังดี มีข้าวหลามหลากหลายไส้ให้เลือกลิ้มรส อาทิ ไส้สังขยา ไส้ถั่วดำ ไส้เผือก เราได้ทั้งชิมข้าวหลามที่เผาร้อนๆ แบบสดๆ และก็ได้ซื้อข้าวหลามติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนทางบ้านด้วย

ปั่นรถถีบ แอ่ว “เมืองน่าน” ยลวัดงาม สัมผัสวีถีชาวบ้าน ม่วนอ๊กม่วนใจ๋
การทำข้าวแต๋นที่บ้านดอนศรีเสริม
       ได้ชิมข้าวหลามอร่อยๆ กันจนแทบจะอิ่มท้อง และเหมือนได้เติมพลังให้มีแรงปั่นจักรยานต่อ คราวนี้เราปั่นมุ่งหน้ามากันที่ "ชุมชนบ้านดอนศรีเสริม" มาสัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวบ้านที่มีการทำข้าวแต๋น ซึ่งเป็นขนมของฝากอีกชนิดหนึ่งที่ชวนลองลิ้ม ข้าวแต๋นของที่นี่จะทำแบบสดใหม่ มีหลายหน้าให้เลือกกิน อาทิ หน้าไก (เป็นสาหร่ายน้ำจืดชนิดหนึ่ง) หน้างาขาว ได้ชิมแล้วอร่อยถูกปากดี ข้าวแต๋นชิ้นเล็กเคี้ยวพอดีคำ เนื้อแน่น กรอบกรุบหอมหวานอร่อยดี เรียกว่าได้ชิมจนติดใจ เลยต้องขอซื้อข้าวแต๋นกลับบ้านไปหลายถุงกันเลยทีเดียว

ปั่นรถถีบ แอ่ว “เมืองน่าน” ยลวัดงาม สัมผัสวีถีชาวบ้าน ม่วนอ๊กม่วนใจ๋
วัดหัวเวียงใต้ มีพระประทานปูนปั้นศิลปะแบบพม่า
       เอาล่ะเดี๋ยวจะอิ่มมากเกินไปจนหนักพุง เรารีบขึ้นรถจักรยานกันดีกว่า พร้อมกับออกแรงปั่นออกจากบ้านดอนศรีเสริม เพื่อไปปิดทริปการปั่นจักรยานในครั้งนี้กันที่ “วัดหัวเวียงใต้” ตั้งอยู่ที่ถ. สุมนเทวราช เป็นวัดเก่าแก่อยู่คู่เมืองน่านมานานกว่า 273 ปี มีความโดดเด่นอยู่ที่ ภายในวัดมีพระประทานเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นศิลปะแบบพม่าที่งดงามและหาชมได้ยากยิ่งแล้วในเมืองน่านให้ได้กราบสักการะขอพร และที่กำแพงวัดก็ยังมีรูปพญานาค 2 ตัว เลื้อยอยู่บนกำแพงซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่า 160 ปี

       แม้ว่าการปั่นจักรยานแอ่วเมืองน่าน ของเราจะปิดฉากลงแต่เพียงเท่านี้ แต่ที่เมืองน่านแห่งนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย มีวัดต่างๆ พิพิธภัณฑ์ และชุมชนอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกเพียบให้ได้เดินทางไปสัมผัสกันอย่างใกล้ชิด ขอแค่เพียงอยากให้นักท่องเที่ยวทุกคนมาแอ่วเมืองน่านแบบร่วมใจอนุรักษ์ ทำให้ “น่าน” ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวเล็กๆ อันเงียบสงบและน่ารักอย่างนี้ต่อไปตราบนานเท่านาน ที่ไม่ว่าจะกลับมาเยือน “น่าน” กี่ครั้งก็จะได้รับแต่ความม่วนอ๊กม่วนใจ๋กลับไปเน้อ

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

สายการบินนกแอร์ มีเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ (ดอนเมือง) ไป- กลับ จ.น่าน ทุกวัน วันละ 3 เที่ยวบิน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1318 หรือเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ www.nokair.com

       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *


//manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000030739




 

Create Date : 18 มีนาคม 2557   
Last Update : 18 มีนาคม 2557 21:18:08 น.   
Counter : 1960 Pageviews.  

สวยงามไม่เป็นรองใคร “ทะเลอาเซียน” กับสุดยอดทะเลระดับโลก

สวยงามไม่เป็นรองใคร “ทะเลอาเซียน” กับสุดยอดทะเลระดับโลก
ทรายขาวน้ำใสที่อ่าวโฉลกบ้านเก่า เกาะเต่า
       ในภูมิภาคอาเซียนของเรามีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติหรือวัฒนธรรม และหากพูดถึงแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล ต้องนับว่าท้องทะเลของอาเซียนนั้นมีความสวยงามโดดเด่นไม่แพ้ภูมิภาคใดๆ ในโลก บทความเรื่อง “อาเซียนมีทะเลยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก” ของ อ.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ กล่าวว่า พื้นที่ของประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียนที่มีชายฝั่งติดทะเล คิดเป็นระยะทางรวมกันประมาณ 110,000 กิโลเมตร ยาวกว่าเส้นรอบวงโลกเกือบ 3 เท่า ตามชายฝั่งที่ยาวไกลขนาดนี้ เป็นที่ตั้งของเกาะแก่งจำนวนมหาศาล อีกทั้งตามหลักทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทะเลเขตร้อนเป็นบริเวณที่มีความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตสูงกว่าทะเลเขตอบอุ่นและทะเลเขตหนาวเป็นอย่างมาก และจากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์พบว่าทะเลเขตนี้มีความหลากหลายสูงที่สุดในโลก สูงกว่าทะเลเขตร้อนในภูมิภาคอื่นๆ และมีความอุดมสมบูรณ์เป็นอันดับหนึ่ง

       เรามาดูกันว่า ทะเลแต่ละแห่งของแต่ละประเทศนั้น มีที่ใดน่าสนใจน่าไปเที่ยวกันบ้าง

ไทย : เกาะเต่า

       ในเมืองไทยนั้นมีทะเลสวยๆ อยู่หลายแห่ง ทั้งทางภาคตะวันออก ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย ภาคใต้ฝั่งอันดามัน และหมู่เกาะต่างๆ อีกมากมาย หากจะตัดสินว่าที่ใดสวยที่สุดคงจะเป็นเรื่องยากไม่น้อย แต่วันนี้ขอนำเสนอ “เกาะเต่า” จ.สุราษฎร์ธานี เป็นตัวแทนของทะเลไทยแข่งกับทะเลแห่งอื่นๆ ในอาเซียน เพราะเกาะเต่าเพิ่งได้รับตำแหน่ง “1 ใน 10 เกาะยอดนิยมของโลก” และ “เกาะยอดนิยมแห่งเอเชีย” จากผลโหวตสุดยอดเกาะน่าเที่ยวประจำปี 2557 โดยเว็บไซต์ทริปแอดไวเซอร์

       เกาะเต่านั้นได้รับยกย่องให้เป็นแหล่งดำน้ำที่ดีที่สุดในฝั่งอ่าวไทย ที่ได้ชื่อว่าเกาะเต่าเนื่องจากเกาะแห่งนี้เคยมีเต่ากระอยู่กันเป็นจำนวนมาก ชายหาดของเกาะเต่านั้นเป็นชายหาดลาดชัน ที่มีน้ำลึกใสสะอาด มีกองหินใต้น้ำหลายแห่ง และมีแนวปะการังสมบูรณ์รอบเกาะ มีปลาและสัตว์น้ำหลากหลายชนิด สามารถจะดำน้ำได้เกือบทุกฤดูกาล ยกเว้นช่วงมรสุมระหว่างเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะจะมาท่องเที่ยว คือ เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน

       นักท่องเที่ยวที่มุ่งหน้ามาเกาะเต่าเพราะต้องการมาดำน้ำลึกชมความงามใต้ท้องทะเล บางคนที่ยังไม่เคยดำน้ำลึกก็สามารถมาเรียนดำน้ำที่เกาะเต่า เพราะที่นี่ถือเป็นจุดที่มีโรงเรียนสอนดำน้ำมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สามารถเรียนได้ตั้งแต่ขั้นพื้นฐานไปจนถึงระดับสูง รวมทั้งมีแพ็คเกจทัวร์ดำน้ำดูปะการังหลากหลายแบบด้วยกัน โดยแหล่งท่องเที่ยวเด่นๆ ของเกาะเต่าก็มี “หาดทรายรี” ซึ่งเป็นชายหาดที่ยาวที่สุด มีทรายขาวและแนวปะการังที่ขนานกับชายหาด ปะการังส่วนใหญ่เป็นปะการังก้อน เหมาะสำหรับจะฝึกดำน้ำแบบ snorkeling และ scuba มี "อ่าวโฉลกบ้านเก่า" ที่มีหาดทรายขาว น้ำทะเลใส มีบรรยากาศสงบเหมาะสำหรับการพักผ่อน

       ส่วนจุดดำน้ำลึกที่มีชื่อที่สุดก็คือที่ “กองหินชุมพร” มีลักษณะเป็นกองหินใต้น้ำขนาดใหญ่ มีความลึกตั้งแต่ 12-32 เมตร มีดอกไม้ทะเล ปะการังดำ ปลาหูช้าง ปลาสาก ปลาเก๋าดอกหมาก ขนาดยักษ์ และฉลามวาฬ ที่แวะเวียนมาประจำ “กองตุ้งกู” ลักษณะเป็นกองหินใต้น้ำ มีปะการังดำ ฝูงปลานานาชนิด และปลาเก๋าขนาดใหญ่ และ “กองหินวง” ก็เป็นกองหินใต้น้ำเช่นกัน มีปะการังอ่อนสีสันสวยงาม รวมทั้ง แส้ทะเล หวีทะเล เป็นจำนวนมาก

สวยงามไม่เป็นรองใคร “ทะเลอาเซียน” กับสุดยอดทะเลระดับโลก
เกาะสิปาดัน แหล่งดำน้ำขึ้นชื่อของมาเลเซีย (ภาพ :www.travel2malaysia.com)
มาเลเซีย : สิปาดัน

       ทะเลของมาเลเซียที่มีชื่อเสียงมากที่สุดและมีชื่อเสียงดังไปไกลระดับโลกก็คือ “เกาะสิปาดัน” ซึ่งอยู่ในเขตทะเลเซเลเบส (Celebes) ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐซาบาห์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นเขตทะเลที่มีความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเล มีปลามากกว่า 3,000 ชนิดและปะการังอีกนับร้อยชนิด

       บนเกาะสิปาดันไม่มีรีสอร์ทให้บริการ เพราะรัฐบาลมาเลเซียได้ประกาศให้รีสอร์ทต่างๆ ย้ายออกจากเกาะสิปาดันตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2547 เพื่อเป็นการรักษาสมดุลของระบบนิเวศน์ และไม่อนุญาตให้พักค้างคืนบนเกาะ แต่สามารถพักบนเกาะใกล้เคียงและมาดำน้ำที่เกาะสิปาดันได้ตลอดปี

       ตัวเกาะเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟใต้น้ำ รอบๆ เกาะเป็นชายหาดขาวสะอาด แต่ห่างจากชายหาดออกมาราว 20-40 เมตร พื้นทะเลจะยุบตัวเป็นหน้าผาหักชันลึกลงไปกว่า 600 เมตร เกาะสิปาดันจึงเป็นแหล่งดำน้ำลึกที่เป็นจุดมุ่งหมายของนักดำน้ำจากทั่วโลก โดยโลกใต้น้ำบริเวณเกาะสิปาดันนั้นอุดมสมบูรณ์ นักดำน้ำจะได้ชมฝูงปลาสาก ปลานกแก้วหัวโหนก ปลามง ปลาการ์ตูน ฯลฯ รวมไปถึงเต่าทะเลอย่างเต่าตนุและเต่ากระ อีกทั้งยังมีฉลามชุกชุม นอกจากนั้นก็ยังมีปะการังสารพัดสี ดอกไม้ทะเล และสรรพสิ่งใต้ทะเลรอให้ดำดิ่งลงไปค้นหา

สวยงามไม่เป็นรองใคร “ทะเลอาเซียน” กับสุดยอดทะเลระดับโลก
วัวเทียมเกวียนบนชายหาดงาปาลี พม่า (ภาพ : //www.zyciewtropikach.files.wordpress.com)
พม่า : หาดงาปาลี

       พม่านับเป็นประเทศที่ยังคงมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และแหล่งมีท่องเที่ยวที่ยังคงความเป็นธรรมชาติแท้ๆ อีกมากมาย ทะเลของพม่าก็เช่นเดียวกัน ยังไม่มีนักท่องเที่ยวได้ไปเยือนมากนักแต่เชื่อว่าความสวยงามไม่เป็นรองใครแน่นอน ดูแต่ทะเลอันดามันบ้านเรายังสวยงามเสียขนาดนี้ แล้วทะเลเกาะแก่งฝั่งอันดามันของพม่าที่ไม่มีใครไปรบกวนจะสวยงามและอุดมสมบูรณ์สักแค่ไหน

       แต่ข้อมูลเกี่ยวกับเกาะหรือแหล่งดำน้ำทางฝั่งพม่ายังไม่มีรายละเอียดมากเท่าไรนัก วันนี้จึงจะขอแนะนำให้รู้จักกับชายหาดซึ่งเป็นแหล่งตากอากาศที่มีชื่อเสียงที่สุดของพม่าคือ “หาดงาปาลี” (Ngapali) ในเขตปกครองของรัฐยะไข่ ทางทิศตะวันตกของประเทศ หาดงาปาลีมีความยาวราว 3 กม. มีทัศนียภาพที่งดงาม หาดทรายสีขาวสะอาด น้ำทะเลสีฟ้าใส และมีโรงแรมและรีสอร์ทหลายแห่งให้บริการนักท่องเที่ยว

       แต่ความน่าสนใจของหาดงาปาลีน่าจะอยู่ตรงที่ยังคงมีวิถีชีวิตของชาวประมงพม่าให้ได้สัมผัสกัน ในช่วงเช้าชาวบ้านจะนำปลาตัวเล็กตัวน้อยที่จับได้ออกมาวางตากที่ริมชายหาด โดยการปูฟางแห้งรองที่พื้นชายหาด ปูทับด้วยตาข่ายซึ่งตากปลาไว้ด้านบน เราจึงได้เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้าน เห็นวัวเทียมเกวียนบรรทุกฟางและบรรทุกคนอยู่ริมชายหาด เป็นภาพที่แปลกตาและหาไม่ได้จากที่ไหน

สวยงามไม่เป็นรองใคร “ทะเลอาเซียน” กับสุดยอดทะเลระดับโลก
ทัศนียภาพอ่าวฮาลอง เวียดนาม (ภาพ : //www.emeraude-cruises.com)
เวียดนาม : ฮาลองเบย์

"ฮาลอง เบย์" หรืออ่าวฮาลอง เป็นอ่าวแห่งหนึ่งในพื้นที่ของอ่าวตังเกี๋ยทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม มีพื้นที่ทั้งหมด 1,500 ตารางกิโลเมตร และมีชายฝั่งยาว 120 กิโลเมตร อยู่ห่างจากกรุงฮานอยไปทางตะวันออก 170 กิโลเมตร อ่าวแห่งนี้นอกจากจะมีทัศนียภาพที่สวยงามแล้ว ยังมีความสำคัญและได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของเวียดนามเมื่อปี 2537 อีกด้วย

       มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับอ่าวฮาลองว่า ในอดีตเคยมีมังกรบินร่อนลงมาสู่อ่าวแห่งนี้เมื่อครั้งดึกดำบรรพ์ และชื่อของฮาลองก็แปลได้ว่า “มังกรร่อนลง” นั่นเอง ในอ่าวฮาลองมีภูเขาหินปูนใหญ่น้อยจำนวน 1,969 เกาะโผล่พ้นขึ้นมาจากผิวทะเล คล้ายกับเขาตาปูของอ่าวพังงาบ้านเรา นอกจากนั้นภูเขาหลายแห่งยังมีถ้ำขนาดใหญ่อยู่ภายใน ถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณอ่าวคือ ถ้ำเสาไม้ หรือ "กร็อตเดแมร์แวย์" (Grotte des Merveilles) ภายในมีหินงอกและหินย้อยขนาดใหญ่อยู่จำนวนมากงดงามยิ่งนัก

สวยงามไม่เป็นรองใคร “ทะเลอาเซียน” กับสุดยอดทะเลระดับโลก
หาดสุขา สีหนุวิลล์ กัมพูชา (ภาพ : //www.vagablonding.com)
กัมพูชา : สีหนุวิลล์

       สำหรับทะเลของประเทศกัมพูชาที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือทะเลที่เมือง “สีหนุวิลล์” หรือที่แต่เดิมเมืองท่าแห่งนี้รู้จักกันในนาม "เมืองกัมปงโสม" เป็นจังหวัดเล็กๆ ทางตอนใต้ของประเทศกัมพูชา ก่อนที่จะเกิดสงครามกลางเมืองในกัมพูชา สีหนุวิลล์เคยเป็นเมืองรีสอร์ทสไตล์ฝรั่งเศสที่เหล่าคนดังและเศรษฐีนิยมมาพักผ่อน แต่หลังจากนั้นเมืองแห่งนี้ถูกปล่อยปละละเลย ก่อนที่จะได้รับการพัฒนาจนกลายมาเป็นเมืองท่องเที่ยวอีกครั้ง

       ทัศนียภาพของชายหาดของสีหนุวิลล์มีชายหาดกว้าง หาดทรายขาวน้ำทะเลสีเขียวใส บริเวณนี้มีชายหาดหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น หาดสุขา (Sokha) หาด Occheuteal หาด Serendipity หาด Independence หาดหิน Paradise เป็นต้น ชายหาดเหล่านี้มีโรงแรมที่พักให้เลือกทั้งแบบเกสต์เฮาส์และรีสอร์ทหรู และสามารถเดินเล่นชมบรรยากาศชายหาด รวมถึงทำกิจกรรมทางน้ำ เช่น ดำน้ำ ตกปลา พายเรือคายัค และล่องเรือได้เช่นกัน

สวยงามไม่เป็นรองใคร “ทะเลอาเซียน” กับสุดยอดทะเลระดับโลก
หาดทรายขาวสะอาดที่เกาะโบราเคย์ ฟิลิปปินส์ (ภาพ : //www.travelandstories.com)
ฟิลิปปินส์ : โบราเคย์

       ฟิลิปปินส์ประเทศที่เป็นหมู่เกาะ ประกอบด้วยเกาะจำนวนทั้งสิ้น 7,107 เกาะ ในมหาสมุทรแปซิฟิก มีหมู่เกาะและทะเลสวยๆ จำนวนนับไม่ถ้วน และเกาะโบราเคย์ หรือโบราไคย์ (Boracay Island) เป็นเกาะของฟิลิปปินส์ที่เลือกมานำเสนอ เกาะแห่งนี้เป็นเกาะขนาดเล็ก อยู่ห่างจากกรุงมะนิลา เมืองหลวงของฟิลิปปินส์ไปทางทิศใต้ประมาณ 315 ก.ม. แต่ขึ้นชื่อว่ามีชายหาดที่สวยงามและเป็นส่วนตัว โดยได้รับการโหวตให้เป็น 1 ใน 10 เกาะยอดนิยมในเอเชียโดยเว็บไซต์ทริปแอดไวเซอร์ และได้รับรางวัลด้านการท่องเที่ยวอีกหลายรางวัล

       ตัวเกาะโบราเคย์ประกอบด้วยหาดต่างๆ ที่มีทรายขาวสะอาดทอดยาวเรียงรายไปตามชายฝั่งของเกาะ ไม่ว่าจะเป็นหาดไวท์บีช (White Beach) ชายหาดที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับ 1 ของเกาะโบราเคย์ มีทรายขาวละเอียดราวผงแป้งทอดตัวยาวประมาณ 4 กม. และหาดไวท์บีช ยังเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของเกาะ โดยจะมีทั้งโรงแรมและรีสอร์ทต่างๆ มากมาย และส่วนของร้านค้าร้านอาหารอีกด้วย

       นอกจากนั้นภายในเกาะยังมีถ้ำที่สวยงามรวมไปถึงป่าเขตร้อนอันอุดมสมบูรณ์ซึ่งเป็นแหล่งอาศัยของเหล่าสัตว์ท้องถิ่นเป็นจำนวนมาก นักท่องเที่ยวสามารถทำกิจกรรมบนเกาะได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเล่นน้ำ ดำน้ำ ขี่เจ็ทสกี ปีนเขา เดินป่า ปั่นจักรยานเสือภูเขา และการขี่ม้า เป็นต้น

สวยงามไม่เป็นรองใคร “ทะเลอาเซียน” กับสุดยอดทะเลระดับโลก
เกาะบูนาเคน แหล่งดำน้ำลึกยอดนิยมในอินโดนีเซีย (ภาพ : //www.bubblews.com)
อินโดนีเซีย - บูนาเคน

       แม้เกาะที่มีชื่อเสียงที่สุดของอินโดนีเซียที่หลายๆ คนมักนึกถึงจะเป็นเกาะบาหลี แต่นักท่องเที่ยวที่ไปเยือนบาหลีก็มักจะมุ่งเน้นที่การไปเที่ยวชมวัฒนธรรมและโบราณสถานต่างๆ เสียมากกว่า แต่หากต้องการเที่ยวทะเลสวยๆ ของอินโดนีเซียแล้วละก็ ขอแนะนำ “เกาะบูนาเคน” (Bunaken) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานทางทะเลบูนาเคน ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะสุลาเวสี

       นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาที่เกาะบูนาเคนส่วนใหญ่มักตั้งใจมาดำน้ำลึกชมโลกใต้ทะเล โดยแหล่งดำน้ำจะมีลักษณะเป็นหน้าผาลาดชันลงไปในทะเล (Wall Dive) มีสัตว์ทะเลที่น่าสนใจอย่าง ฉลามครีบขาว กระเบนราหู ฉลามหัวค้อน และปลาชนิดต่างๆ มากมายกว่า 70 สายพันธุ์ และช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการไปดำน้ำที่บูนาเคนก็คือ ช่วงเดือนเมษายน และเดือนพฤศจิกายน

       สำหรับในประเทศ “บรูไน” ประเทศเล็กๆ บนเกาะบอร์เนียว แม้จะมีพื้นที่ติดทะเลแต่ก็ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเลที่โดดเด่นนัก แต่จะมีชื่อเสียงในเรื่องของการขุดเจาะน้ำมันดิบในทะเลเสียมากกว่า โดยชายหาดที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเที่ยวในบรูไนก็เช่น หาดตูตง ที่อยู่ระหว่างกรุงบันดาร์เสรีเบกาวันและเมืองซีเรีย เช่นเดียวกับ “สิงคโปร์” ที่แม้ภูมิประเทศจะเป็นเกาะ แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นในเรื่องของแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล และชายหาดตากอากาศส่วนใหญ่บนเกาะสิงคโปร์ก็มักเป็นชายหาดเทียม ที่นำทรายมาถมเพื่อสร้างเป็นแห่งพักผ่อนหย่อนใจของนักท่องเที่ยวเสียมากกว่า ส่วนที่ “ลาว” นั้น เป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่ไม่มีพื้นที่ติดทะเล

       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *




 

Create Date : 17 มีนาคม 2557   
Last Update : 17 มีนาคม 2557 21:42:56 น.   
Counter : 2293 Pageviews.  

เดินทอดน่อง ท่อง “มารีน่าเบย์” สัมผัสเสน่ห์ไฮไลท์สิงคโปร์

เดินทอดน่อง ท่อง “มารีน่าเบย์” สัมผัสเสน่ห์ไฮไลท์สิงคโปร์
ความสวยงามอลังการของ “ซูเปอร์ทรี โกรฟ” ภายใน Gardens by the Bay
       เมื่อโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนเรามากขึ้น การออกเดินทางท่องเที่ยวสำหรับขาเที่ยวอย่าง “ตะลอนเที่ยว” ก็แสนจะง่ายดาย แค่มีคอมพิวเตอร์สักเครื่อง หรือมีมือถือสมาร์ทโฟนสักเครื่อง แค่นี้ก็คลิกหาข้อมูลท่องเที่ยวและจองแพกเกจท่องเที่ยวได้แบบง่ายดาย แสนจะสบาย เพียงแค่ปลายนิ้วคลิก

       เหมือนที่ในทริปนี้ เมื่อเรามีเวลาว่างเว้นจากการทำงานไม่กี่วัน แต่อยากไปชาร์ตแบตเพิ่มพลังให้กับตัวเอง ด้วยการขอไปเที่ยวต่างประเทศสักทริป เราก็แค่คลิกเข้าไปที่เว็บไซด์นี้ www.expedia.co.th ก็มีแพกเกจท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ให้เลือกเที่ยวได้ตามอำเภอใจ แสนสะดวกสบายและง่ายดาย แถมราคาแพกเกจก็สบายกระเป๋า เหมาะกับมนุษย์เงินเดือนน้อยอย่างเรา ที่ชอบเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ

       และหลังจากที่เลือกจุดมุ่งหมายและจองแพกเกจราคาประหยัดที่รวมทั้งค่าตั๋วเครื่องบินและโรงแรมที่พักได้แล้ว เราก็เหินฟ้าโบกมือลากรุงเทพ มายังประเทศเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง คือ “สิงคโปร์” ที่แม้ว่าจะเป็นประเทศที่มีพื้นที่น้อยนิดเป็นเพียงแค่เกาะเล็กๆ แต่กลับมากมีไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวอันน่าสนใจ ให้ได้มาพักผ่อนคลายเครียดกันแบบสบายๆ

เดินทอดน่อง ท่อง “มารีน่าเบย์” สัมผัสเสน่ห์ไฮไลท์สิงคโปร์
ภายใน Flower Dome จัดตกแต่งอย่างงดงามด้วยดอกไม้นานาพันธุ์
       โดยในทริปนี้เราเลือกที่จะขอเที่ยวเกาะสิงคโปร์ แบบชิลล์ ชิลล์ ด้วยการอาศัยแรงจากสองขาน้อยๆ ของเรานี่แหละเดินเที่ยวสิงคโปร์ในส่วนที่เรียกว่า “มารีน่าเบย์” (Marina Bay) ที่เมื่ออดีตเป็นเพียงอ่าวเล็กๆ เชื่อมต่อกับทะเล ตั้งอยู่ทางตะวันออกของตัวเมืองสิงคโปร์ ซึ่งได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง มีการถมทะเลเพิ่มพื้นที่ สร้างภูมิทัศน์ให้สวยงาม และมีสิ่งก่อสร้างมากมาย ทำให้ทุกวันนี้มารีน่าเบย์ กลายเป็นอ่าวที่ถือว่าเป็นหัวใจของสิงคโปร์ก็ว่าได้ เพราะเป็นศูนย์กลางของแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของสิงคโปร์ มีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ อันโดดเด่น ที่ชวนให้มาสัมผัสกับเสน่ห์ของสิงคโปร์เมืองท่องเที่ยวที่มีสีสัน ผ่านจากสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ มากหลายที่ตั้งอยู่เรียงรายรอบมารีน่าเบย์แห่งนี้

       เอาล่ะเมื่อสองขาน้อยๆ ของ “ตะลอนเที่ยว” พร้อมที่จะออกเดินทางกันแล้ว ก็ขอตะลุยเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์รอบๆ มารีน่าเบย์กันเลย ขอเปิดฉากเที่ยวกันที่นี่ “Gardens by the Bay” (การ์เด้นส์ บาย เดอะ เบย์) ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นโอเอซิสใจกลางประเทศสิงคโปร์ ที่นี่เป็นสวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่ริมมารีน่าเบย์ มีพื้นที่ 101 เฮคเตอร์ ได้รวบรวมพรรณไม้จากทั่วทุกมุมโลกมาจัดแสดงไว้ได้อย่างยิ่งใหญ่

เดินทอดน่อง ท่อง “มารีน่าเบย์” สัมผัสเสน่ห์ไฮไลท์สิงคโปร์
บรรยากาศภายใน Cloud Forest มีน้ำตกจำลองขนาดใหญ่
“การ์เด้นส์ บาย เดอะ เบย์” ได้รับการออกแบบและจัดสรรพื้นที่ออกเป็น 3 สวนด้วยกัน คือมีสวนเบย์ เซาท์ (Bay South) สวนเบย์ อีสต์ (Bay East) และสวนเบย์ เซ็นทรัล (Bay Central) ซึ่งถ้าใครมีแรงเดินมากก็สามารถเดินชมสวนกันได้แบบชิลล์ ชิลล์ แต่ถ้าใครแรงเดินน้อย ก็มีรถให้บริการแต่ต้องเสียเงินเพิ่ม ซึ่งรถจะพาทัวร์ชมรอบๆ ว่าภายในการ์เด้น บาย เดอะ เบย์มีสิ่งที่น่าสนใจอะไรบ้าง

       เราขอออมแรงขาไว้ก่อน จึงขอเลือกที่จะนั่งรถพาทัวร์ชมทัศนียภาพรอบๆ ภายในสวนที่แม้ว่าถ้ามาในช่วงกลางวันจะร้อนไปสักหน่อย แต่ก็ทำให้ได้เห็นถึงความสวยงามของพรรณไม้นานาพันธุ์ที่ถูกจัดสรร ตกแต่งไว้ได้อย่างงดงาม มีงานประติมากรรมรูปปั้นเด็กลอยตัวขนาดใหญ่ ที่ดูเก๋ไก๋ว่าเด็กน้อยลอยตัวอยู่อย่างโดดเด่นเป็นสง่าอยู่บนเนินหญ้าได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

เดินทอดน่อง ท่อง “มารีน่าเบย์” สัมผัสเสน่ห์ไฮไลท์สิงคโปร์
ประติมากรรมรูปเด็กลอยตัวตั้งโดดเด่นอยู่ภายในสวน
       หลังจากรถพาชมอาณาบริเวณต่างๆ โดยรอบแล้วรถก็จะพามาส่งยังจุดไฮไลท์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก นั่น คือ เรือนต้นไม้ (Conservatory Complex) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ส่วนให้ได้เข้าไปชมกัน เราขอเข้าไปชมส่วนแรกกันก่อน คือ Flower Dome (ฟลาวเวอร์ โดม) เป็นโดมเรือนกระจกติดแอร์ขนาดใหญ่ ที่ภายในมีการจัดแสดงพรรณไม้จากเขตร้อนชื้นแถบเมดิเตอร์เรเนียน และพื้นที่กึ่งแห้งแล้งในเขตร้อน

       ภายในฟลาวเวอร์ โดมนี้มีแอร์เย็นฉ่ำ ทำให้เราเดินชมดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ที่ดูแปลกตา และงดงามอย่างเพลิดเพลิน ได้เห็นการจัดสวนดอกไม้สวยๆ ตามชื่อชาติต่างๆ อาทิ สวนเมดิเตอร์เรเนียน สวนอเมริกาใต้ สวนแอฟริกาใต้ เรียกว่าได้ถ่ายรูปดอกไม้กันสนุกสนาน เบิกบานใจกันไปเลย

เดินทอดน่อง ท่อง “มารีน่าเบย์” สัมผัสเสน่ห์ไฮไลท์สิงคโปร์
เส้นทางเดินบนซูเปอร์ทรี โกรฟ
       จากนั้นออกมาชมส่วนที่ 2 คือ Cloud Forest (คลาวด์ ฟอร์เรสต์) ที่เมื่อก้าวเท้าเข้าไปด้านในแล้ว ก็ได้พบกับความน่าตะลึงใจของน้ำตกขนาดใหญ่สูง 35 ม. ที่ตั้งอยู่ภายในโดม ตัวน้ำตกปล่อยสายน้ำเย็นๆ ตกลงมาสู่เบื้องล่างเป็นละอองน้ำ สร้างบรรยากาศสดชื่นและเย็นชุ่มฉ่ำเสียจริง

       และเมื่อเดินผ่านน้ำตกอ้อมมาทางด้านหลัง ก็จะได้พบกับส่วนจัดแสดงพันธุ์พืชและพันธุ์ไม้ในเขตป่าดิบชื้นอันหลากหลาย ที่ถูกจัดสรรอยู่ภายในภูเขาที่ถูกจำลองขึ้นมา การชมจะมีลิฟท์พาขึ้นไปยังด้านบนสุดของภูเขาจำลอง แล้วเราก็ค่อยๆ เดินชมพันธุ์ไม้นานาพรรณไปตามทางเดินลอยฟ้าที่จัดทำไว้ มีพันธุ์ไม้แปลกๆ สวยๆ หลายหลากสายพันธุ์ ให้ได้ชมแบบเต็มอิ่ม

เดินทอดน่อง ท่อง “มารีน่าเบย์” สัมผัสเสน่ห์ไฮไลท์สิงคโปร์
สีสันความสวยงามยามค่ำคืนของซูเปอร์ทรี โกรฟ
       หลังจากได้ชมพันธุ์ไม้และดอกไม้ที่สวยงามแล้ว เราก็ไม่พลาดอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ต้องไปชมให้ได้ คือ Supertree Grove (ซูเปอร์ทรี โกรฟ) หรือต้นไม้ยักษ์ ที่ตั้งตระหง่านโดดเด่นแปลกตาอยู่ภายในสวน มีถึง 18 ต้น และแต่ละต้นมีขนาดความสูงแตกต่างกันไปตั้งแต่ 25-50 ม. หรือมีความสูงประมาณเท่ากับตึก 9-16 ชั้น

       ต้นไม้ยักษ์เหล่านี้ถูกออกแบบขึ้นมาเป็นพิเศษให้เป็นสวนแนวตั้งขนาดใหญ่ มีพวกไม้เลื้อยเขตร้อน พืชอิงอาศัย และเฟิร์นเมืองร้อนประดับประดาพันเกี่ยวอยู่ตามลำต้น และต้นไม้ยักษ์เหล่านี้ยังมีทางเดินให้นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปเดินเล่นชมวิวมุมสูงบนทางเดินลอยฟ้าที่มีความยาว 128 ม. เชื่อมต่อระหว่างต้นไม้ 2 ต้น ซึ่งถ้าใครไม่กลัวความสูงเดินขึ้นไปก็จะได้ชมวิวสิงคโปร์ในมุมสูงที่สวยงาม และต้นไม้ยักษ์นี้ในเวลากลางคืนจะงดงามไปอีกแบบ เพราะว่ามีแสงไฟหลากสีสันประดับปะดาไว้ แถมยังมีการแสดง แสง สี เสียง “Rhythm with Nature” ประกอบดนตรีให้ได้ดูกันได้ด้วย

เดินทอดน่อง ท่อง “มารีน่าเบย์” สัมผัสเสน่ห์ไฮไลท์สิงคโปร์
มารีนา เบย์ แซนด์ส อีกหนึ่งไฮไลท์สถาปัตยกรรมของสิงคโปร์
       เราใช้เวลาเดินชมดอกไม้และต้นไม้นานาพันธุ์ ได้สูดอากาศอันบริสุทธิ์จนชื่นฉ่ำปอดแล้ว ก็เดินข้ามจากการ์เด้นส์ บาย เดอะ เบย์ ไปเที่ยวต่อกันที่ “Marina Bay Sands” (มารีน่า เบย์ แซนด์ส) เป็นรีสอร์ทหรูที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ ประกอบไปด้วยอาคารโรงแรม 3 หลังติดกัน และมีสถาปัตยกรรมรูปร่างคล้ายเรือขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนอาคารทั้ง 3 หลัง สร้างความโดดเด่นเป็นสง่าเห็นได้แต่ไกล จนเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของสิงคโปร์

“มารีน่า เบย์ แซนด์ส” แห่งนี้ใช่ว่าจะเป็นเพียงแค่โรงแรมที่มีที่พักหรูหราอันทันสมัยชวนให้มาพักผ่อนเท่านั้น แต่ว่าภายในอาคารอันโออ่านี้ยังมีส่วนของ มารีน่า เบย์ แซนด์ส คาสิโน ที่เต็มไปด้วยเกมการพนันทุกรูปแบบ ถ้าหากใครอยากลองเสี่ยงโชคก็สามารถเข้าไปลองลุ้นกันได้ (แต่บอกไว้ก่อนนะว่าการพนันไม่ทำให้ใครรวย)

เดินทอดน่อง ท่อง “มารีน่าเบย์” สัมผัสเสน่ห์ไฮไลท์สิงคโปร์
ภายในมารีน่า เบย์ แซนด์ส มีร้านค้าให้เดินชอปปิ้งมากมาย
       แต่ถ้าใครเป็นนักชอปปิ้งตัวยง ที่นี่ก็มีร้านค้าแบรนด์เนมจำนวนมาก ให้ขาชอปทั้งหลายได้เพลิดเพลินกับการจับจ่ายใช้สอย รวมถึงยังมีภัตตาคาร ร้านอาหารเลิศรสให้เหล่านักชิมได้เลือกชิมกันอย่างเต็มอิ่ม และภายในพื้นที่ก็ยังมีส่วนของศูนย์ประชุม ศูนย์แสดงสินค้าแซนด์ส พิพิธภัณฑ์ และแหล่งรวมความบันเทิงอีกมากมาย เรียกว่ามาที่นี่ได้ทั้งชอบ ชม และชิมกันอย่างสนุกสนาน

เดินทอดน่อง ท่อง “มารีน่าเบย์” สัมผัสเสน่ห์ไฮไลท์สิงคโปร์
The Helix Bridge หรือสะพานรูปเกลียว
       เพลิดเพลินที่มารีน่า เบย์ แซนด์สกันสักพัก เราออกเดินเท้ากันต่อ โดยเดินมาที่ “The Helix Bridge” (สะพานเฮลิกซ์) หรือสะพานรูปเกลียว เป็นสะพานคนเดินที่ออกแบบได้เก๋ไก๋แปลกตาไม่เหมือนใคร โครงหลังคาทำจากสแตนเลสสร้างบิดโค้งเป็นเกลียว เป็นการออกแบบก่อสร้างร่วมกันของสถาปนิกออสเตรเลียและสิงคโปร์ ตัวสะพานมีทางเดินทอดยาว 280 ม. รูปแบบการก่อสร้างเป็นลักษณะการจำลองแบบมาจาก DNA ของมนุษย์ยามกลางวันเดินบนสะพานนี้อาจจะร้อนสักนิด เพราะไม่มีหลังคากันแดด แต่ถ้ามาเดินยามค่ำคืนก็จะได้เห็นสีสันของสะพานที่สวยงามไปด้วยแสงไฟหลากสีสัน

เดินทอดน่อง ท่อง “มารีน่าเบย์” สัมผัสเสน่ห์ไฮไลท์สิงคโปร์
นั่ง Singapore Flyer ชมทิวทัศน์สิงคโปร์ในมุมสูง
       เราเดินไปตามทางเดินของสะพานเฮลิกซ์ เพื่อเชื่อมไปสู่ “Singapore Flyer” (สิงคโปร์ฟลายเออร์) หรือชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์ ที่มีความสูงที่สุดในโลก มีความสูงถึง 165 ม. เทียบเท่ากับอาคาร 42 ชั้น เหตุที่เราเลือกมาเที่ยวและขึ้นสิงคโปร์ฟลายเออร์ก็เพราะว่า นอกจากอยากจะขึ้นมาชม ทัศนียภาพของเกาะสิงคโปร์ในมุมสูงแบบพาโนรามาแบบ 360 องศาแล้ว ก็เพื่อความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตด้วย

       เพราะว่าสิงคโปร์ฟลายเออร์ มีแคปซูลทั้งหมดจำนวน 28 แคปซูล แต่ละแคปซูลบรรจุนักท่องเที่ยวได้ 28 คน ซึ่งเลข 28 เป็นเลขทางฮวงจุ้ยที่คนจีนมองว่าเลข 8 คือเลขแห่งความเจริญรุ่งเรือง เลข 28 ก็หมายถึงเป็นการทวีคูณความเจริญรุ่งเรือง ฉะนั้นถ้าได้มีโอกาสขึ้นสิงคโปร์ฟลายเออร์ ก็จะทำให้มีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตเป็นสองเท่า

เดินทอดน่อง ท่อง “มารีน่าเบย์” สัมผัสเสน่ห์ไฮไลท์สิงคโปร์
วิวสิงคโปร์เมื่อมองออกมาจากแคปซูล Singapore Flyer
       เชื่อไม่เชื่อไม่รู้แต่ว่าเราก็รีบตีตั๋วและเข้าไปในแคปซูลทันที ภายในแคปซูลมีที่นั่งตรงกลาง แอร์เย็นสบาย กระจกแคปซูลใสแจ๋ว ทำให้ได้เห็นวิวอย่างชัดเจน แคปซูลจะค่อยๆ เคลื่อนตัวไปแบบช้าๆ สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ทำให้เราได้ชมวิวสิงคโปร์ในมุมสูงแบบเต็มตา ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะได้ชมทัศนียภาพของเกาะสิงคโปร์ที่งดงาม

เดินทอดน่อง ท่อง “มารีน่าเบย์” สัมผัสเสน่ห์ไฮไลท์สิงคโปร์
Singapore Flyer ชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์
       พอแคปซูลเคลื่อนตัวไปจนถึงจุดสูงสุดของตัวชิงช้า จะมีเสียงบอกถึงจุดสูงสุดแล้ว มีความเชื่อว่าให้อธิษฐานขอพร 1 ข้อแล้วจะสมหวัง พอได้ฟังดังนั้นเราหรือจะรอช้ารีบขอพรให้ตัวเองทันที (จริงไม่จริงไม่รู้ขอไว้ก่อน) ซึ่งเราใช้เวลาอยู่บนชิงช้าสวรรค์นี้นานประมาณ 30 นาที ก็ครบรอบพอดีที่จะต้องลงจากชิงช้ากัน

เดินทอดน่อง ท่อง “มารีน่าเบย์” สัมผัสเสน่ห์ไฮไลท์สิงคโปร์
โรงละคร Esplanade ตึกหนามทุเรียนดูเก๋ไก๋
       พอลงจากชิงช้าแล้ว เราออกเดินเท้ากันอีกครั้ง ระหว่างทางที่เดินไปก็ผ่าน “Esplanade” (โรงละครเอสพลานาด) หรือตึกหนามทุเรียนที่ดูแปลกตาดีไม่น้อย ตึกนี้คือโรงละครและเป็นศูนย์แสดงศิลปะที่ได้รับความนิยมของสิงคโปร์ ภายในโรงละครนี้ จะมีห้องแสดงขนาดใหญ่ 2 ห้อง และมีสตูดิโอขนาดเล็ก 2 ห้อง แต่ราไม่ได้เข้าไปชมโรงละครแห่งนี้หรอกนะ แค่เดินผ่านและถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกเท่านั้น

เดินทอดน่อง ท่อง “มารีน่าเบย์” สัมผัสเสน่ห์ไฮไลท์สิงคโปร์
เมอร์ไลอ้อน รูปปั้นสิงโตทะเลพ่นน้ำ สัญลักษณ์ของสิงคโปร์
       เพราะว่าเรามีจุดมุ่งหมายหลัก ที่จะต้องเดินไปให้ถึงยังสัญลักษณ์ของประเทศสิงคโปร์กันให้ได้ เพราะไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึงสิงคโปร์ สถานที่แห่งนั้นคือ “Merlion” (เมอร์ไลอ้อน) เป็นสถานที่ไฮไลท์ที่นักท่องเที่ยวทุกคน ต้องมาถ่ายรูปคู่กับเมอร์ไลอ้อน หรือสิงโตทะเลพ่นน้ำ โดยรูปปั้นเมอร์ไลอ้อนนี้มีหัวเป็นสิงโต มีตัวเป็นปลา ยืนอยู่บนยอดคลื่น มีความสูง 8.6 ม. มีน้ำหนัก 70 ตัน ทำจากวัสดุจำพวกซีเมนต์ สร้างขึ้นโดยช่างฝีมือชาวสิงคโปร์นามว่า ลิมนังเซ็ง (เสียชีวิตแล้ว) และบริเวณใกล้กันยังมีเมอร์ไลอ้อนตัวน้อยซึ่งเป็นตัวลูกตั้งอยู่ด้วย มีความสูง 2 ม. หนัก 3 ตัน สร้างขึ้นโดยลิมนังเซ็งเช่นกัน

เดินทอดน่อง ท่อง “มารีน่าเบย์” สัมผัสเสน่ห์ไฮไลท์สิงคโปร์
เมอร์ไลอ้อนตัวลูกตั้งอยู่ใกล้กับเมอร์ไลอ้อนตัวแม่
       มาที่เมอร์ไลอ้อนทั้งที นอกจากจะมาถ่ายรูปคู่แล้ว ยังมีความเชื่อที่ว่า ให้เปิดกระเป๋าแล้วทำท่าเหมือนให้น้ำพุที่พุ่งออกมาจากปากของเจ้าสิงโตทะเลนี้เทลงมาในกระเป๋าของเรา แล้วจะทำให้เงินทองเต็มกระเป๋า มีโชค มีลาภ รับทรัพย์รวยๆ งานนี้เราก็ไม่พลาดอีกเช่นเคย รีบอ้ากระเป๋าให้กว้างที่สุด เพื่อให้น้ำพุพุ่งเข้าใส่กระเป๋าแบบเต็มๆ จะได้รวยแบบเต็มที่

       “ตะลอนเที่ยว” ใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดอยู่ที่เมอร์ไลอ้อนแห่งนี้ ได้นั่งพักเท้าให้หายเหนื่อย หลังจากที่ได้เดินเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์สำคัญๆ ของมารีน่าเบย์มาทั้งวัน และก็ขอนั่งชื่นชม สัมผัสเสน่ห์ความงดงามของมารีน่าเบย์แบบเต็มอิ่มจนสุขใจ ซึ่งบอกได้เลยว่าไม่ผิดหวังจริงๆ ที่ในทริปนี้ได้จองแพกเกจท่องเที่ยวราคาประหยัดมาด้วยตัวเอง

       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *




 

Create Date : 04 มีนาคม 2557   
Last Update : 4 มีนาคม 2557 21:58:29 น.   
Counter : 1926 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  

karnoi
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 57 คน [?]




เลขเด็ด เลขดัง กาน้อย






ติดตามข้อมูลของเว็บทาง twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด







Online Users


[Add karnoi's blog to your web]