ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 2 , จะสนไปทำไมกับเรื่องอิสรภาพที่ไกลตัว ![]() อ่านบทความในภาคที่แล้วก่อนได้ที่ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค1 , ไทยจะสิ้นชาติไม่ใช่เพราะใคร หากมิใช่เพราะไทยด้วยกัน //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&month=01-2007&date=22&group=1&blog=1 ....ในขณะที่เรานั่งแช่แอร์กินขนม จิ๊จ๊ะกับเพื่อนทางเว็บแคม พลิกตัวไปแอบเปิดแคมฟรอกลุ้นหวิว หรือ นอนเชียร์ลิเวอร์พูลให้ถล่มบาเซโลน่า เราไม่ทันรู้ตัวหรอกว่า โอกาสเหล่านี้ของเรา มีที่มาอย่างไร บรรพบุรุษของเราต้องต่อสู้เลือดตาแทบกระเด็นเพียงใด จึงจะทำให้เรามีกินมีอยู่เช่นทุกวันนี้ ...หากในอดีต พวกเขาเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ชาวบ้านบางระจัน หรือ สมเด็จพระนเรศวร ฯลฯ คิดว่า "อยู่เป็นทาสของเขาก็พอถูไถไม่เห็นจะลำบากอะไรมาก" "อยู่เป็นเชลยของเขาก็แค่โดนดูถูกแต่มันก็พอมีพอกิน จะ ต่อสู้ ไปทำไมให้เปลืองเหงื่อเปลืองเลือด" ทุกวันนี้ เราอาจจะยังไม่มีแม้แต่เพลงชาติให้ร้องตอนแปดโมงเช้า หรือ เราอาจต้องร้องเพลงชาติของประเทศอื่นตอนนักบอลเราอยู่ในสนาม ...ไม่แปลกอะไร ที่ ผมหรือใครหลายๆคนไม่ค่อยได้กลับมาหวนคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้ เพราะ เราเคยชินกับชีวิตสำเร็จรูป เราหมกมุ่นกับวันข้างหน้า เรามัวแต่ห่วงว่าตัวเราจะรวยหรือจน จะได้เลื่อนขั้นหรือถูกเลย์ออฟ เราสนใจแต่ตัวเองจนลืมหันมานึกถึง ประเทศชาติบ้านเมือง แถมหลายคนยังพาลคิดไปถึงกับว่า "จะสนไปทำไมกับเรื่องอิสรภาพที่ไกลตัว" เข้าใจว่า ตอนเสียอิสรภาพที่ผ่านๆมาทุกครั้งในอดีต คนในชาติส่วนใหญ่ก็คงคิดเช่นนี้ คิดแต่เรื่องของตัวเอง ว่าเราจะอยู่จะกินอย่างไร ใครจะใหญ่ใครจะครองเมือง เรามองแต่ภาพเล็กๆคือภาพตัวเอง พวกพ้องของตัวเอง แต่ไม่เคยมองเห็นภาพของขวานด้ามใหญ่บนแผนที่ ...ภาคแรกของตำนานสมเด็จพระนเรศวร ชี้ให้เห็นว่า ความพินาศฉิบหายวายป่วงของชาตินั้น สุดท้ายแล้ว ต้นเหตุใหญ่สุดล้วนเกิดขึ้นจากความแตกแยกของคนในชาติด้วยกัน ภาคสองนี้ เราจะได้เห็นว่า หากเราสูญเสียอิสรภาพไปแล้วนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยกว่าจะได้คืนมา บรรพบุรุษของเราต้องแลกอะไรไปบ้างเพื่อทวงเอกราชกลับคืน แล้ว มันก็ชวนให้ได้ฉุกคิดว่า แล้วทุกวันนี้หรือที่ผ่านมา เราเคยทำอะไรเพื่อชาติไทยบ้างแล้วหรือยัง เราคือส่วนหนึ่งที่นั่งดูประเทศไทยค่อยๆสูญสิ้นความเป็นไทยด้วยการเห็นคนโกงกินก็นิ่งเฉย หรือ แอบเอาใต้โต๊ะโกงกินภาษีประชน หรือ วันๆทำงานมุ่งแต่ผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง หรือ เอาระเบิดมาบึ้มใส่คนไทยด้วยกัน ฯลฯ เราเป็นหนึ่งในนั้นหรือเปล่า หนึ่งในคนไทยที่ไม่เคยคิดไม่เคยทำอะไรเพื่อชาติเราเอง ...ความขัดตาขัดใจจาก หนังภาคหนึ่ง คือ หนังมีจุดสะดุดเล็กๆน้อยๆมากไปหน่อย จนทำให้ หนังฟอร์มยักษ์เรื่องนี้เป็นได้แค่ หนังพีเรียดที่ถ่ายทอดประวัติศาสตร์ที่คนไทยภาคภูมิใจ ตัวหนังนั้นสอบผ่านได้คะแนนดีแต่ยังไปได้ไม่ถึงระดับยอดเยี่ยม หลังจากจบภาคที่แล้ว ผมสงสัยว่า ภาคสองที่ฉายกระชั้นกันแบบนี้ ท่านมุ้ยจะกลบจุดอ่อนจากของเดิมได้ทันหรือไม่ จะมีการปรับปรุงอะไรที่ต่างไปจากภาคแรก แล้วผมก็พบว่า ไม่มีอีกแล้ว ... ความไม่เป็นธรรมชาติในหนังภาคแรก เช่น บทสนทนาโต้ตอบกันเร็วๆเหมือนคนท่องบทต่อๆกันทีละคน , ฉากแสดงอารมณ์หลุดยุค อย่าง ท่าแอ๊บแบ๊วของพระสุพรรณกัลยา หรือ ฉากแอคชั่นตลกๆ อย่าง พระองค์ดำเวอร์ชั่นกระโดดเตะจาพนม ไม่มีอีกแล้ว... แสงวูบขาวเปลี่ยนฉากให้ชวนรำคาญ(ถ้าสังเกตไม่ผิดเหมือนจะมีโผล่มาตอนเดียว) ไม่มีอีกแล้ว... ปัญหาอายุที่เหลื่อมล้ำขัดความเป็นจริงในภาคแรก ไม่มีอีกแล้ว... เพลงฝรั่งตอนจบให้ต้องสงสัยว่าที่เราดูจบไปเป็นหนังไทยหรือลอร์ด ออฟ เดอะ ริง ...หนังภาคสอง ลบ จุดสะดุดในหลายๆอย่างของภาคแรกออกไปมาก ส่งผลให้เกิดสิ่งที่ดีกว่าชัดเจน คือ การเล่าเรื่องที่ราบรื่นมากขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ เรื่องราวในภาคนี้ ดำเนินเรื่องตั้งต้นที่การเสียชีวิตของบุเรงนอง ต่อด้วยจุดสำคัญนั่นคือ การประกาศอิสรภาพของสมเด็จพระนเรศวร แล้วไปสิ้นสุดที่ฉากรบริมแม่น้ำสะโตง ซึ่งคนดูหลายคนคุ้นตาจากโปสเตอร์ที่เห็นพระองค์ทรงประทับปืนยาวเล็งมาแต่ไกล ก่อนที่เราคนดูจะต้องรอลุ้นการปิดฉากตำนานหนังเรื่องนี้ ในอีก สิบเดือนข้างหน้า สำหรับคนไม่ดูภาคแรกมาก่อนก็สามารถดูต่อเนื่องในภาคนี้ได้อย่างไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่า อาจจะไม่อินหรือรู้สึกตะขิดตะขวงใน ความสัมพันธ์ของตัวละคร เช่น ระหว่าง พระยาราชมนู กับ สมเด็จพระนเรศวร ทำไมถึงดูสนิทกันจัง หรือ สมเด็จพระนเรศวร และ มณีจันทร์ ทำไมรักกันแล้วแค่เจอหน้ากัน หรือ บทมหาเถรคันฉ่องที่คนดูอาจสงสัยว่าทำไมในภาคนี้จึงดูสลักสำคัญมากนักแถมยังมาช่วยคนไทยซะงั้น ![]() ![]() ...ภาคสองเริ่มต้นแบบไม่รีรออ้อยอิ่ง หนังกระโดดจากวัยเด็กของตัวละครในภาคแรกมาเป็นวัยผู้ใหญ่เต็มตัว จนอาจทำให้หลายคนนึกเสียดาย ยังอยากเห็นบทบาทน่ารักน่าชังของเด็กๆกลุ่มเดิม กระนั้นก็ตามแม้ว่าภาคนี้ นักแสดงเด็กๆที่น่ารักกับบุเรงนองสุดจ๊าบ หมดบทบาทลง แต่ก็แทนที่ด้วยตัวละครรุ่นผู้ใหญ่ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน อย่าง ![]() ![]() ...บุญทิ้งเวอร์ชั่นผู้ใหญ่ หรือ พระราชมนู อาจจะดูover-actingไปบ้างในตอนแรก แต่เมื่อดูไปเรื่อยๆ กลับกลายเป็นรู้สึกว่า นี่คือ ตัวละครที่ทำให้ หนังภาคสองนี้ มีชีวิตมีเลือดเนื้อมีอารมณ์มากขึ้นอักโข เขาทำให้หนังที่ดูแข็งๆ มีมิติทางอารมณ์หลากหลาย เช่น อารมณ์ขึงขังทั้งตอนรบ อารมณ์หื่น(ไม่)น้อยตอนรัก อารมณ์อาลัยอาวรณ์ตอนจาก ยิ่งมาเข้าคู่กับ เลอขิ่น ที่อาบน้ำได้ดีและมีความเท่เคียงคู่ความเข้มแข็ง ยิ่งทำให้หนังชวนดูมากยิ่งขึ้น ต้องชมคนคัดตัวนักแสดงและตัวนักแสดง ทราย เจริญปุระ เธอมีบุคลิกบวกการแสดงที่สอดร้บกับบทนี้ได้อย่างน่าประทับใจ ไม่ใช่แค่นั้น ภาคสองนี้เราจะยังได้พบกับตัวละครทีน่าประทับใจอีก เช่น บท พระไชยบุรีกับพระศรีถมอรัตน์ จัดได้ว่าเป็นสองตัวละครสมทบที่ขโมยซีนน่าจะเป็น คู่หูคู่เท่คู่ฮา ที่เราพบเสมอในหนังมหากาพย์ใหญ่ๆที่มาช่วยสร้างสีสันและลดความตึงเครียด อย่าง คู่ซีทรีพีโอ กับ อาร์ทูดีทู หรือ กิมลี กับ อารากอร์น และ นางเอกของเรื่อง มณีจันทร์ ที่เล่นดีหรือเปล่าไม่ทันสนใจเพราะ คุณเธองามจับตาจับใจเหลือเกิน ![]() ![]() ![]() คนสำคัญที่สุดในหนังอย่าง พ.ต. วันชนะ สวัสดี สอบผ่านได้ยอดเยี่ยมในบท สมเด็จพระนเรศวร ที่มีรัศมีความเป็นผู้นำ ห้าวหาญเอาจริง อย่างฉากที่ตัดสินใจกลับไปช่วยพระยาราชมนู เท่ระเบิดมาก แต่ในตอนอื่นๆที่ไม่ใช่ฉากรบหรือฉากบัญชาการ เช่น ฉากเข้าพระเข้านาง หรือ ฉากสนทนาพาทีกับคนอื่นๆ ตัวเขายังดูแข็งๆไปนิดทั้งคำพูดและการเคลื่อนไหว ... หนังประวัติศาสตร์เช่นนี้ ย่อมมีตัวละครจำนวนมาก ก่อให้เกิดปัญหาที่ตามมาตั้งแต่เรื่องก่อนๆของท่านมุ้ย ไม่ว่าจะเป็นสุริโยไท หรือ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรภาคแรก คือ พอตัวละครมาก หนังเกลี่ยน้ำหนักให้ความสำคัญตัวละครไม่ดี จน บทบาทของตัวละครดูกลืนๆไปด้วยกัน ไม่มีใครสำคัญกว่าใคร ดูมั่วๆ คนดูจำไม่ได้ว่าบทบาทตัวละครนี้คือใคร ต้องอาศัยจำจากชื่อนักแสดงเอาเอง ช่วงแรกของหนังภาคนี้ก็เกือบๆไปเหมือนกัน ครั้นพอตัวละครมาก หนังก็เข้าทางเดิมนั่นคือ หนังตั้งใจจะให้ความสำคัญกับตัวละครให้ครบมากที่สุด จน การตัดต่อลำดับเรื่องราวของหนังก็ดูสะดุดๆ ไม่ต่อเนื่อง และทำให้ช่วงแรกยาวๆและเบื่อๆนิดหน่อย รู้สึกแปลกใจเหมือนกันว่า เท่าที่เคยดูหนังของท่านมุ้ยเรื่องเก่าๆที่ไม่ใช่หนังฟอร์มยักษ์ ท่านกำกับนักแสดงให้ฉายความสามารถออกมาเต็มศักยภาพและเป็นธรรมชาติ แต่ทั้งสุริโยไท และ สมเด็จพระนเรศวร ฉากที่ขัดความรู้สึกกับไม่เป็นธรรมชาติส่วนใหญ่ เป็นฉากตัวละครมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน พูดคุยสนทนากัน พลอดรักกัน (เช่น เวลาเจอกันของคู่เอกที่ดูแข็งๆก้ๆกังๆขัดๆเขินๆ หรือ คู่รองที่บางตอนก็จูบกันดูดดื่มนัวเนียถึงพริกถึงขิงเกินความจำเป็น) นั่นจึงทำให้รู้สึกว่า ช่วงครึ่งหลังที่เต็มไปด้วยฉากรบ หนังทำได้ราบรื่นดีกว่าช่วงต้นมาก เพราะไม่ต้องใส่ใจกับตัวละครที่ไม่สำคัญ ไม่ต้องมีฉากพูดคุยให้มากความ และการกำกับฉากรบ ฉากสงคราม นั้นหนังก็ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม เนียนต่อเนื่องไม่แพ้หนังฝรั่งมังค่าชนิดที่เรียกว่า ไม่ใช่แค่ทุนมากถึงทำได้ แต่ จังหวะและคิวต่างๆนั้น โกอินเตอได้ไม่อายใคร ขอยกนิ้วให้จริงๆ ![]() ![]() ...ระหว่างดูหนัง แอบเห็นคุณน้าที่นั่งข้างๆปาดน้ำตาป้อยๆมีอารมณ์คล้อยตามหนัง บ่งบอกว่าหนังภาคนี้ดึงอารมณ์คนดูได้ดีและทำให้คนดูมีอารมณ์ร่วมที่หลากหลายกว่าภาคที่แล้ว ส่วนตัวแล้วก็มีแอบน้ำตาซึมตอน ฉากคู่รัก น้องขิ่นพี่ทิ้ง ที่ต้องรบเคียงบ่าเคียงไหล่หรือตอนใกล้ต้องพลัดพราก สองคนนี้เล่นเข้ากันดี ชอบฉากจะตกม้าแล้วคว้าก่อนร่วงไปด้วยกัน เป็นอีกหนึ่งฉากที่นักแสดงใจเด็ดและคิวกำกับก็ทำได้สวยงาม อารมณ์ที่อ่อนที่สุดของหนัง คือ อารมณ์ตรงฉากไคลแมกซ์ ซึ่งภาคที่แล้วนั้นไม่มี ครั้นสุริโยไทก็หาไม่เจอ พอมาภาคนี้ฉากตอนจบ มี ไคลแมกซ์ ให้ชื่นใจ ก็กลายเป็น ไคลแมกซ์แบบเบาๆพาคนดูไปได้ไม่ถึงขีดสุด ทั้งที่มันน่าจะถึงพีคได้มากกว่านี้ หรือ ฉากที่น่าจะสำคัญๆหลายฉากก็ดูวูบวาบมาแล้วก็จบไป อย่าง ฉากลอบสังหารสมเด็จพระนเรศวรที่หนังปูมาเหมือนจะเป็นช่วงเวลาสำคัญ แต่แค่คนป่ากระโดดโฮ่ฮ่าถูกฆ่าตายแล้วจบไปแบบเงียบๆ ทั้งสามเรื่องของท่านมุ้ย หากมิใช่หาฉากไคลแมกซ์ไม่เจอ ก็จะให้ความรู้สึกในฉากไคลแมกซ์ว่า แหม เราอยากจะซึ้ง เราอยากจะฮึกเหิม เราอยากจะสะใจ มากกว่านี้อีกซักนิด แต่หนังปูอารมณ์มาบิวต์น้อยเหลือเกิน การที่ไคลแมกซ์หรือฉากสำคัญไม่ค่อยมีอารมณ์ร่วมเต็มที่นั้น ส่วนตัวแล้วสังเกตว่า ที่ผ่านมา หนังให้ความสำคัญกับการปูอารมณ์คนดูน้อยเกินไป และ ค่อนข้างรวบรัดเพื่อนำไปสู่ฉากสำคัญ ไม่ต้องดูอื่นไกล ตัวอย่างเช่น ฉากพบกันของ มณีจันทร์ กับ สมเด็จพระนเรศวร ที่แม้เราจะรู้ความสัมพันธ์กันมาตั้งแต่ภาคที่แล้ว แต่ การที่หนังให้ทั้งคู่พบกันแล้วโผเข้ารักกันมันเร็วเกินไป ทำให้ถัดจากนั้น เวลาทั้งคู่อยู่ด้วยกัน เราจึงไม่ค่อยคล้อยตามอารมณ์รักใคร่ของทั้งคู่ หรือ ฉากประกาศอิสรภาพที่ตัวฉากนั้นทำได้ยิ่งใหญ่ แต่ก่อนหน้านั้น หนังปูให้เกิดอารมณ์ฮึกเหิมคล้อยตามได้น้อยเกินไป ในฉากไคลแมกซ์สำคัญๆเหล่านั้น หากถามว่าดีหรือไม่ ตอบได้ว่าดี น้ำตาซึมหรือไม่ ก็ใช่ แต่ ความอินนั้นส่วนหนึ่งเพราะเราคนดูคือคนไทย จึงเกิดอารมณ์ร่วมไปกับหนังในหลายๆฉากได้มากยิ่งขึ้น แต่ หากยังจำกันได้ เวลาเราดูหนังฝรั่งที่เล่าเรื่องการต่อสู้เพื่อชนชาติตัวเองเช่น Braveheart ฉากไคลแมกซ์ในหนังนั้น ทำให้เรามีอารมณ์ร่วมฮึกเหิมไปโดยที่ไม่ใช่คนสก็อตแลนด์ หรือ หลายเรื่องๆที่เรารู้สึกฮึกเหิมขนลุกมากกว่านี้ ทั้งที่เราเองก็ไม่ใช่คนประเทศนั้นๆ นั่นแสดงให้เห็นถึง ความสามารถที่ตัวหนังถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้อย่างเต็มศักยภาพ และ นี่คือสิ่งที่หนังไทยเราน่าจะทำสู้ได้เพราะไม่เกี่ยวกับเงินทุนหรือประสบการณ์ ...ปัญหาร่วมอีกจุดของทั้งสุริโยไท และ ตำนานสมเด็จพระนเรศวร คือ การพยายามถ่ายทอดรายละเอียดข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ให้ครบ จนสุริโยไท เข้าใกล้ สารคดี และ ใน ตำนานสมเด็จพระนเรศวร บางครั้งมันก็มากจนล้น กลายเป็นส่วนเกินที่ไม่จำเป็น อย่างในหนังภาคนี้ ฉากบ้านยายตาบอดที่เหมือนจำเป็นต้องมี แต่พอมีแล้วก็รู้สึกเฉยๆ ไม่รู้จะใส่มาเพื่ออะไร เหมือนเป็นส่วนเกิน เข้าใจว่าน่าจะมีความหมาย แต่ หนังไม่สามารถสื่อสารข้อความในตอนนี้ได้ชัดเจน (เดาว่าจะสะท้อนให้เห็นตัวตนของสมเด็จพระนเรศวรและผลของสงครามต่อประชาชน) คำพูดที่ยายต้องการจะบอก เราก็ไม่เห็นผลตามมาว่าเกิดอะไรขึ้น ชนิดถ้าจะตัดฉากนี้ออกน่าจะเป็นผลดีในแง่การกระชับของหนังมากกว่า จุดสะดุดเล็กๆน้อยในหนังยังพอมีอยู่ อย่าง การจัดแสงในบางฉาก ก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะโรงหนังรอบที่ตัวเองดู หรือ เพราะตัวหนังเอง เช่น ฉากหมอกมูกับเลอขิ่นกลางป่า ถ่ายด้านหนึ่งดูเหมือนตอนพลบค่ำแต่พอกล้องเปลี่ยนมุมกลับสว่างจ้าเป็นเหมือนตอนกลางวันซะงั้น ยังมีปัญหาเรื่องเสียง ที่คนดูหลายคนบ่นถึง(อันนี้ไม่ทันสังเกตตั้งใจฟังเพราะมัวแต่ตั้งใจจับจ้อง มณีจันทร์ยิ้ม กับ เลอขิ่นอาบน้ำ) และ ที่ยังคงมีอยู่แต่ลืมพูดไปตอนเขียนถึงภาคแรก คือ นักแสดงสมทบหลายๆคนเวลาพูดเหมือนท่องบทอ่านให้เราฟัง มากกว่าแสดงหนังสวมบทบาทเป็นตัวละครนั้นๆให้เราดู ส่วนตัวแล้วนั่งดูหนังอย่างพึงพอใจ แต่ก็อดเสียดายไม่ได้ตั้งแต่ภาคแรก ที่หนังเสียคะแนนไปกับข้อบกพร่องเล็กๆน้อยๆเยอะเกินไป จริงที่หนังทุกเรื่องย่อมมีข้อบกพร่อง แต่ข้อบกพร่องของสองภาคที่ผ่านมา ลองถามคนที่ไปดูด้วยกันหรืออ่านตามกระทู้ในเว็บบอร์ดก็จะพบว่า มันเป็นข้อบกพร่องที่คนดูส่วนใหญ่ ไม่จำเป็นต้องนักวิจารณ์ชั้นอ๋องก็สามารถมองเห็นและรู้สึกสะดุดในสิ่งเหมือนๆกัน แถมข้อบกพร่องนั้นก็แทบจะเรียกได้ว่า เดินซ้ำรอยเดิมมาตั้งแต่สุริโยไท ที่เสียดายก็เพราะว่า จุดบกพร่องเหล่านั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตที่เกินเยียวยาแบบ บทห่วย หรือ นักแสดงไม่เหมาะ แต่เป็นปัญหาที่น่าจะแก้ไขได้ หากก่อนเอามาฉายในโรงมีทีมช่วยกันดูช่วยกันตรวจ เพราะผลที่ออกมา เหมือนกับ สินค้าดี แต่ทีม QC ไม่เขี้ยวพอ ปล่อยผ่านออกมาเพราะมองแค่ว่า มันใช้ได้แล้ว สิ่งที่ชอบ ![]() 1.พระราชมนู + เลอขิ่น ... เล่นเข้าคู่กันได้ดี และ แสดงได้ดีที่สุดในหนัง 2.พระไชยบุรี+พระศรีถมอรัตน์ ... ฉากเปิดตัวดูขำๆแต่ก็รู้สึกขัดๆกับการเป่ายิงฉุบ แต่ ถัดจากนั้นจนถึงช่วงปลาย ทั้งคู่ เท่มากขอรับ 3.ฉากสงคราม ... ด้วยงบขนาดนี้ นี่คือ ผลงานที่น่าภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่ไม่ชอบ ![]() 1.จุดบกพร่องเล็กๆน้อยๆประปรายที่กล่าวข้างต้น สรุป ... เห็นควรว่าควรเสียตังค์ไปดู อันเนื่องมาจาก สนุกกว่าเดิม ยิ่งใหญ่กว่าเดิม อลังการงานสร้างมากกว่าเดิม ตื่นเต้นมากกว่า หลากรสชาติกว่าเดิม การเล่าเรื่องลื่นไหลมากกว่าเดิม เรียกได้ว่าทุกอย่างในภาคนี้ดีกว่าภาคที่แล้ว และ แน่นอน ดูสนุกว่า สุริโยไท หลายช่วงตัว (แต่ผมเองนั้นดันทะลึ่งชอบภาคที่แล้วมากกว่า ซึ่งเป็นเพราะตัวเองไม่ได้ชอบหนังสงคราม บวก ชอบตัวบทภาคก่อนที่มีอะไรให้ขบคิด มีรายละเอียด มีอะไรที่ดูซับซ้อนมากกว่าภาคนี้ การเขียนบทไม่เป็นสูตรตายตัวแบบพม่าชั่ว-ไทยดี และ ไม่เน้นไปที่การรบเป็นสำคัญ ) ป.ล. วันศุกร์นี้มีโปรแกรมน่าสนใจมากครับ กับ การดู Little miss sunshine ในโรงหนังฟรี หนังตัวเต็งออสการ์อีกเรื่องของปีนี้ที่เล่าถึงครอบครัวหนึ่งซึ่งทีมนักแสดงในหนังได้รับคำชมกันถ้วนหน้า หนังไม่เข้าโรงรอบธรรมดาแน่ๆแล้ว รายละเอียดคลิกอ่านที่ หน้าแรก ความเห็นที่ 20 ได้เลยครับ ป.ล.2 ... อุวะฮะฮะ ลิเวอร์พูล อัด บาร์ซ่า ได้จริงๆด้วย ![]() ![]() ![]() ![]() (วางขายตามร้านหนังสือทั่วไปแว้ว) เดือนแห่งความรัก มอบ"หนังสือรัก"แด่คนที่คุณรัก ฮิ้ววว ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ความเห็นของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป เห็นด้วยกับประเด็น การบิวต์อารมณ์
และยิ่งฉากคุณยายตาบอดนั้น กลับทำให้รู้สึกว่า จริงๆ แล้ว ชาวบ้านไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนจากการที่อโยธยาตกเป็นเมืองขึ้น แต่เดือดร้อนจากพระนเรศวรแทน พอถึงฉากประกาศอิสรภาพ แทนที่จะอารมณ์จะซึ้งสุดๆ ก็เลยเป็นกร่อยๆ ยังไงบอกไม่ถูก โดย: pigletdora
![]() อีกฉากที่มุมกล้องเปลี่ยนแล้วเวลาเปลี่ยนคือตอนมณีจันทร์ไปหาพระนเรศที่วัดของมหาเถร ตอนที่จะพาเชลยศึกโยเดียกลับอโยธยา
ตอนแรกนึกว่าดึกกื่นค่ำมืด พอปรับเปลี่ยนมุมกล้อง อยู่ดีดีมีแสงโผล่มาจากไหนล่ะนั่น โดย: nanoguy (nanoguy
![]() เนเธเธเธนเธกเธฒเนเธฅเนเธง เธเธฑเนเธ 2 เธ เธฒเธ เธ เธฒเธเนเธฃเธ 2 เธฃเธญเธ เธเธฒเธเธเธถเนเธเธเธญเธเธเธตเนเธเธฃเธฐเธชเธธเธเธฃเธฃเธเธเธฑเธฅเธขเธฒ เธเธฃเธเธเธณเธเธดเธเธเธฒเธเธญเนเธขเธเธขเธฒ เนเธเนเธงเนเธเธตเนเธซเธเธชเธฒเธงเธเธตเนเธเธฃเธฒเธฐ เธเธฃเธฐเธญเธเธเนเนเธกเนเธขเธญเธกเธญเธขเธนเนเธเธ
เนเธเนเธเธเธดเธเธญเธทเนเธเธเธตเนเนเธกเนเนเธเนเนเธเนเธเธเธดเธเธญเนเธขเธเธขเธฒ เธ เธฒเธ 2 เนเธกเธทเนเธญเธงเธฑเธเธจเธธเธเธฃเนเธเธตเนเธเนเธฒเธเธกเธฒ เธเธเนเธขเธญเธฐเธกเธฒเธ เธชเธเธธเธเธเธงเนเธฒเธ เธฒเธเนเธฃเธ เธเธเธฅเธนเธเธเธฒเธขเธเธญเธเธนเธฃเธญเธเธชเธญเธเธญเธตเธเธเธฃเธฑเนเธ เธเธฅเธฑเธเธกเธฒเธงเธฒเธเธญเธฒเธงเธธเธเนเธเนเธฃเธทเนเธญเธเนเธเนเนเธเธทเธญเธเธเธธเธเธเธเธดเธ เนเธเธตเธขเธเธเธทเนเธญเธเธฑเธงเธฅเธฐเธเธฃเนเธเนเธซเธกเธ เธเธตเนเธเธเธตเนเนเธเนเธเธงเธดเธเธตเธชเธญเธเธเธฃเธฐเธงเธฑเธเธดเธจเธฒเธชเธเธฃเนเธเธตเนเธเธณเนเธซเนเนเธเนเธเนเธเนเธฒเนเธเนเธเนเธเนเธฒเธข เธงเธฑเธเธญเธฒเธเธดเธเธขเนเธเธตเนเธเธฐเนเธเธเธนเธฃเธญเธเธชเธญเธเธเนเธฐ โดย: เนเธกเธเธเธญ IP: 202.91.23.1 วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:12:26:00 น.
อ่านบทวิจารณ์แล้วก็ พยักหน้าเห็นด้วย
คนที่ดูหนังจบแล้วก็คิดแค่ ตัวละคร ตัวแสดง ฉาก เสื้อผ้า เทคนิค แต่ไม่ค่อยจะนึกถึงคุณค่าของภาพยนตร์ สิ่งที่ต้องการสื่อมันมีมากกว่าภาพที่เห็น ชาติบอบช้ำมาเยอะมาก แต่ก็ยังเป็นชาติ ที่เราได้อาศัยอยู่ แต่จะเหลือเวลาอีกนานเท่าไหร่ที่จะยั้งชาติไว้ได้ บางที "ราชวงค์ใดจะปกครองสยามก็หาสำคัญไม่ เพียงสยามได้ปกครองสยาม" ซึ้งประโยคนี้ แสดงว่าไทยคือไทยจะภาคไหนท้องถิ่นใดก็คือประเทศไทย แค่สถานการณ์ที่เป็นอยู่อาจจะไม่ถึงกับเป็นสงคราม แต่เพื่อนไทยก็ห่วงใยพี่น้องไทยทุกคน ไม่ว่าจะภาคใดศาสนาใด ส่วนตัวแล้วอยากให้คนดูหนัง เพื่อรับสารที่ตรงกัน โดย: kee IP: 203.170.176.30 วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:12:47:52 น.
ไปดูมาแล้วและก็รู้สึกว่าดูสนุกกว่าภาคแรกค่ะ ภาคแรกนั้นรู้สึกขัดใจตอนตัดฉากแต่ละฉากเหมือนกันคือมันเหมือนสะดุดและก็กระโดดๆยังไงไม่รู้ สรุปภาคนี้สนุกกว่า โดยเฉพาะออกพระราชมนูนี่ล่ะ เท่ห์ได้ใจจัง
![]() โดย: ณ มน
![]() ยินดีกับลิเวอร์พูลด้วยนะคะ คุ้มค่ากับการอดนอนเชียร์มั้ยคะ อิอิ
โดยส่วนตัวแล้วชอบภาคที่แล้วมากกว่าเช่นกันเพราะภาคที่แล้วมีอะไรให้คิด ให้น่าติดตามตอนต่อไป แลดูขลังและอลังการ แต่ภาคนี้พอออกจากโรงมีความรู้สึกเหมือนได้ดู ลอร์ดออฟเดอะริง บวก คิงอาร์เธอร์ ยังไงก้อมะรู้ มะค่อยมีความเป็นไทยแบบดั้งเดิม หลงเหลืออยู่แบบในภาคแรกสักเท่าไหร่เลยอะคะ โดย: aorengja IP: 202.147.38.96 วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:14:31:41 น.
+ เห็นด้วยกับคห. บนๆ ว่าดีจังครับ ที่คุณ จขบ. ลากประเด็นออกมาถกต่อในเรื่อง 'ความรักชาติ' ... เพราะขณะนี้ สยามประเทศก็ดูเหมือนว่ากำลังถูกรุกรานจากต่างชาติในรูปแบบใหม่ๆ เช่นสงครามเศรษฐกิจ (การโจมตีค่าเงิน), ภัยก่อการร้าย (ภาคใต้ และการวางระเบิดในกทม.) ... แต่ที่สำคัญก็คือ คนไทยด้วยกัน ยังมีการแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย ทะเลาะเบาะแว้งกันไม่รู้จักจบสิ้น ซึ่งอาจเป็นชนวนให้ชาติพินาศล่มจมได้ ... มิหนำซ้ำ วัฒนธรรมไทย ก็กำลังถูกกลืนกินจากวัฒนธรรมฝรั่ง, เกาหลี, ญี่ปุ่น ฯลฯ ...
ดังนั้น ก็ได้แต่หวังว่า ผู้ชมที่ได้รับชมหนังเรื่องนี้ น่าจะมีความรู้สึกรักและหวงแหนในความเป็นชาติไทย และความเป็นคนไทยมากยิ่งขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนะครับ + จุดสะดุดในภาคแรก ก็อย่างที่คุณ จขบ. ว่าไว้ แต่ผมก็ชอบภาคแรกมากกว่าภาคนี้เหมือนกัน ... คงเป็นเพราะผมชอบดูหนังเด็กมากกว่าหนังสงคราม กระมัง ... ภาคนี้ฉากรบเยอะดี ยิ่งใหญ่อลังการ แอ๊คชั่นมันส์ ... ส่วนภาคที่แล้ว ผมชอบอารมณ์ดราม่าระหว่างเด็กทั้ง 3 คน และกับพระมหาเถรคันฉ่อง ... กับอีกอย่างรู้สึกว่ามันมีประโยคที่พูดแบบจับใจๆ เยอะกว่าอ่ะครับ + ไม่แน่ใจว่าในประวัติศาสตร์ พระสุพรรณกัลยาไม่ยอมกลับไทย ตามเหตุผลที่เป็นอย่างในหนังหรือไม่ ... ซึ่งคิดแล้วออกจะไม่ค่อยเมคเซ้นส์ เพราะในเมื่อพระสวามีบุเรงนอง สวรรคตเสียแล้ว ลูกเลี้ยงอย่างนันทบุเรง ย่อมไม่ปล่อยให้แม่เลี้ยงซึ่งเป็นชาวไทยหอกข้างแคร่ไว้แน่ (และตามประวัติศาสตร์จริงๆ เท่าที่จำได้ก็คือ พระนางและราชบุตรที่เพิ่งประสูติได้ไม่นาน ถูกนันทบุเรงสังหารที่กรุงหงสานั่นเอง) ... ทั้งๆ ที่โอกาสทองมาถึง พระอนุชาเสด็จมารับถึงที่แล้วแท้ๆ ![]() + ฉากโจรนินจา .. เอ๊ย เผ่านาคาลอบสังหารดูตลกๆ และโดดๆ ไปนิด ... ส่วนมณีจันทร์ เป็นนางสนองพระโอษฐ์ แต่กลับต่อสู้เก่งเหลือเกิน (สงสัยแอบไปฝึกกับพระมหาเถร อิๆ) ... ฉากเลิฟซีนพระราชมนูกับเจ้านางเลอขิ่น ดุเดือดไปนิด อันนี้ผู้ปกครองที่จะพาบุตรหลานไปชมควรพิจารณาด้วยครับ ![]() โดย: บลูยอชท์ IP: 202.69.140.130 วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:14:46:45 น.
ลืมแซว ... โห คุณ จขบ. รอดูทีมรักเตะจนจบแมทช์เลยเหรอคับเนี่ย ... คุ้มค่ากับที่ถ่างตารอดูเลยเนอะครับ ชนะบาร์ซ่านอกบ้านได้ ยิ่งใหญ่โคตร ... ส่วนปืนผม ยังต้องรอลุ้นนัดหน้าเหงื่อตกกีบอีกอ่า เฮ่อออ
![]() (แต่ปีนี้ ออกจะเซ็งป้าเวน กับพวกนักเตะจัง ชอบออกมาพูดว่าทีมข้าเก่งยังโง้น เล่นสวยยังงี้ แต่ผลงานกลับไม่ค่อยคงเส้นคงวาตามฝีปากเลย ... ของจริงมันต้องเงียบๆ ก้มตาก้มตาทำทีม แล้วพิสูจน์ด้วยผลการชนะมากกว่าอ่า) โดย: บลอทช์ยู IP: 202.69.140.130 วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:14:53:53 น.
ชอบภาคนี้มากกว่าภาคที่แล้วค่อนข้างมากเลยค่ะ คงต้องยกความดีความชอบให้ไอ้ทิ้งกับแม่นางเลอขิ่นที่เท่ซะ
![]() พระนเรศก็เล่นดี สมชายชาติทหารเชียวค่ะ และแม่นางมณีจันทร์ก็สวยน่ารัก แต่คู่นี้ก็โดนกลบ(ไม่หน่อย)จริงๆแหละ ซึ่งก็คงต้องยอมหลีกให้เค้าล่ะนะ เราว่าทรายเท่มากๆ และยังเป็นคนที่แสดงอารมณ์ได้ smooth และสมจริงที่สุดในเรื่อง ส่วนไอ้บุญทิ้งนี่มีเสน่ห์มากค่ะ อุ อุ ชอบจังเลยผู้ชายผมยาวเนี่ย ![]() เห็นด้วยกับจุดอ่อนเรื่องเดิมๆคืออารมณ์ที่มันดูแปลกๆ ลอยๆ เหมือนดูนิทานน่ะค่ะ ไม่ค่อยเหมือนดูหนังอยู่เลยง่ะ โดย: azzurrini IP: 202.28.181.9 วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:16:36:07 น.
อ่ารรีวิวแล้วก็อยากดูจังเลยค่ะ เพราะหนังที่การันตีชื่อท่านมุ้ยนี่ อย่างน้อยก็ได้ชื่อว่าโกอินเตอร์ขนาดแท้ ส่วนฝีมือ เราต้องไปพิสูจน์กันด้วยตากับตัวเอง
โดย: bunny2teddy (bunny2teddy
![]() มาแอบอ่านหลายทีแล้วค่ะ ขออนุญาตแอดเจ้าของบล็อกไว้ด้วยนะคะ อิอิ
โดยส่วนตัวชอบภาค 1 มากกว่าค่ะ แต่ภาค 2 ก็สนุกเหมือนกัน รออ่าน The Persuit of Happyness อยู่นะคะ โดย: มีนา (Meena_March
![]() เห็นด้วยเรื่องการบิวต์อารมณ์ครับ อยากให้หนังทำได้อย่าง Braveheart, The Lord of the Rings ที่ทำให้รู้สึกขนลุก รู้สึกซึ้ง รู้สึกฮึกเหิมได้มากกว่านี้ บางฉากพยายามรวบรัดเกินไป จนทำให้ไม่ถึงอารมณ์พอ เข้าใจว่าเป็นเพราะหนังยาว เลยต้องตัดออกเยอะ แต่จริงๆ แล้ว น่าจะหาวิธีที่ทำให้หนังกระชับ ได้โดยไม่ต้องตัดฉากที่ช่วยบิวต์อารมณ์เลยนะครับ สรุปแล้วยังมีปัญหาเดิมเหมือนกับสุริโยทัย แต่ดีขึ้นกว่าเก่าอยู่พอสมควร
โดย: AronSun IP: 124.120.239.104 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:1:13:18 น.
^
^ มัวแต่ติ จนลืมชม ฉากรบทำได้ดีมากครับ production อลังการ ตัวละครสำคัญๆ ก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี คัดเลือกตัวแสดงได้ดีด้วยครับ โดย: AronSun IP: 124.120.239.104 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:1:14:56 น.
ชอบหนังเรื่องนี้มาก อาจจะมีจุดขัดอยู่บ้างแต่เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับคุณภาพแล้วเปรียบได้กับไรฝุ่น กับขุนเขา สรุปคือคุ้มค่ามากไม่เสียดายเงินเลยที่ไปดู รอดูภาค 3 อย่างใจจดใจจอ ชอบตัวแสดงทุกคน พวกคุณทำได้เยี่ยมมาก โดยเฉพาะท่านมุ้ย ท่านทำให้เด็กรุ่นหลังอย่างผม เข้าใจประวัติศาสตร์มากขึ้น และรู้สึกรักชาติสยามอย่างเต็มเปี่ยมเลยครับ
***จงภูมิใจในสยามประเทศตราบเท่าพระนเรศทรงกอบกู้เอกราชเพื่อพวกเราชาวสยาม โดย: wit IP: 222.123.21.246 วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:11:53:29 น.
เห็นด้วยกับคุณทุกข้อเลยครับ
โดยเฉพาะลิเวอร์พูลบาซ่า (อ้าวไม่เกี่ยวกะหนังเหรอ) แฮะๆผมไปดูภาคสองโดยไม่ได้ดูภาคหนึ่งมาก่อนทำให้ติดจัดเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครในบางจุด แต่หนังเรื่องนี้สนุกครับ ผมอธิบายได้แค่นี้เอง ![]() โดย: Kato_nd IP: 58.181.237.53 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:15:01:14 น.
ชอบมากๆๆๆเลยอ่ะ ภาค2เนี่ย วันที่ไปดูคนเยอะมาก ในชีวิตนี้ไม่เคยดูหนังใกล้จอขนาดนี้เลย
ไม่เสียดายตังค์เลย อยากดูภาค3เร็วๆจังเลย อืมม...พระราชมนูเท่จิงๆด้วย ![]() โดย: Nunda IP: 210.203.169.82 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:17:24:53 น.
ยังไม่ได้ดูภาค2เลย รอสอบเสร็จก่อน
![]() โดย: bas IP: 58.8.20.128 วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:18:33:58 น.
ขอคุณมากครับ
![]() ต้องไปดูให้ได้ ![]() โดย: สยาม IP: 58.137.45.31 วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:21:52:47 น.
เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะเรื่องประเด็นความรักชาติ
คุณตาเราเป็นมอญทำให้เรามองเห็นภาพเปรียบเทียบว่า ถ้าไม่มีท่านเราอาจเป็นอย่างมอญที่ไม่มีแผ่นดินอยู่ ตอนนั้นอาจจะรวมอยู่กับพม่าจนสิ้นสงครามโลกพอได้เอกราชจากอังกฤษ แล้วก็โดนพม่ากลืนชาติไปเลย ส่วนตัวหนังสนุกมากค่ะ ชอบมากอยากดูอีกรอบ ![]() โดย: tabby girl IP: 202.122.130.31 วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:8:12:25 น.
น่าสงสารมอญ
![]() ![]() ![]() โดย: ริต้า IP: 124.121.90.246 วันที่: 30 มีนาคม 2550 เวลา:10:13:08 น.
ดูแล้วก็รู้สึกภาคภูมิใจนะ เพราะว่า
เราเคยไปฝึกด้านทหารเหมือนกัน ขอโทษที่เราใช้ ![]() เพราะว่าเราชอบอีโมนี้จริงๆ โดย: ฉันอยู่ข้างหลังคุณอีกที IP: 202.28.181.9 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2550 เวลา:15:40:37 น.
บทความทั้งหมด
|
|
เป็น บลฮกเกอร์เพียงไม่กี่คนที่พูดถึงหนังเรื่องนี้ด้วยการหยิบเนื้อหาของหนัง
และ ประเด็นเรื่อง ความรักชาติ มาพูด
ซึ่งเป็น จุดขาย ที่ทางผู้สร้างหนังพยายามบอกว่า มันเป็นหนังเพื่อคนที่รักชาติ
เท่าที่ผมติดตามอ่านมาจากบลอกเกอร์หลายๆคน
ที่ไปดูหนังซีรีย์ชุดนี้มา ตั้งแต่ภาคแรกๆแล้ว
หลายๆคนเอามาอัพบล้อก
แต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงเรื่องเนื้อหาหนังเลย
เห็นพูดกันแต่ ความยิ่งใหญ่ น่าฮือฮาของฉากและเทคนิคเอฟเฟกต์ เสื้อผ้า ตัวดารา
เห็นด้วยครับ
บางที หัดเอาอดีตมาเป็นข้อเตือนใจและสำนึกในคุณูปการของ ผู้คนในอดีต บ้าง
ประเทศชาติก็คงไม่เกิดปัญหาวุ่นวายแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้