Don't tell , แผลในใจแค่"ลืม"คงไม่พอ


ข้อมูล:หนังมีความยาว 120 นาที , หนังได้รับเรท R, เป็นตัวแทนประเทศอิตาลีในการเข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม , ใน IMDB.com ให้คะแนนเรื่องนี้ 6.8/10 ส่วนใน //www.rottentomatoes.com ให้เรื่องนี้ Rotten ด้วยคะแนน 29%

...หากอดีตเราเคยมีประสบการณ์ชีวิตที่เจ็บปวด มีฝันร้ายที่ไม่อยากจดจำ เมื่อมีใครมาบอกให้เรา ลืมๆมันไปซะ บางครั้งบางเรื่อง เราก็ลืมมันได้จริงๆ แต่บางเรื่อง แค่คำว่า ลืมๆมันไป ไม่เพียงพอ เพราะมันไม่ใช่แค่รอยดินสอที่เขียนขึ้นบนกระดาษ แต่มันคือ บาดแผลในใจที่ต้องอาศัยการเยียวยา

ตามธรรมชาติแล้ว เวลาที่เรามีแผลเกิดขึ้นตามเนื้อตัว เช่น หกล้มได้แผลถลอก หากเป็นแผลเล็กๆ การปล่อยทิ้งไว้ มันก็อาจจะเยียวยาตัวเองหายไปได้ แต่หากเป็นแผลลึกและใหญ่ แล้วไม่ได้รักษา มันก็จะอักเสบและกลัดหนองตามมา ถึงเราอาจมองไม่เห็นแผล มันก็ไม่ได้แปลว่าหายแล้ว มันแค่เน่าอักเสบอยู่ข้างใน และ แสดงออกด้วยอาการอื่นๆ เช่น มีไข้ หรือ ชีพจรเต้นเร็ว

บาดแผลในใจก็ไม่ต่างกัน การปล่อยทิ้งไว้ หรือ การพยายามลืม หากเป็นแผลเล็กๆมันก็คงผ่านไปได้ แต่หากแผลนั้นทำร้ายใจให้ลึกและสาหัส แล้วแกล้งทำเป็นลืมมันไป หากดูเพียงแค่ผิวเผินภายนอก เราก็จะพบว่า เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เหมือนกับ ครอบครัวที่ดูปกติดี คู่รักที่ดูรักกันดี คนๆหนึ่งที่ดูสบายใจดี แต่แท้จริงแล้ว มันมีการอักเสบอยู่ภายใน และ แสดงออกมาทางอาการอื่นๆ

...หากแผลภายนอกที่อักเสบกลัดหนอง เรามองไม่เห็นแผล แต่แสดงออกมาด้วยอาการไข้ คนที่มีแผลอักเสบกลัดหนองในใจ มองภายนอกอาจดูปกติดี แต่ ไข้ของแผลทางกายเมื่อเป็นแผลทางใจ มันอาจแสดงออกด้วย อาการฝันร้าย , อารมณ์แปรปรวน , มีปัญหาในความสัมพันธ์กับคนอื่น ฯลฯ โดยไม่มีสาเหตุ

...Sabina (Giovanna Mezzogiorno) ประกอบอาชีพเป็นนักพากษ์ มีคนรักเป็นตัวเป็นตนอาศัยอยู่ร่วมกัน วันหนึ่งเธอตื่นขึ้นด้วยฝันร้าย และ เกิดความกลัวโดยไม่มีสาเหตุ ภาพในความฝันวนเวียนจนเธอตัดสินใจที่จะเดินทางไปหา Daniele พี่ชายเธอที่อเมริกา เพื่อค้นหาว่า ภาพวัยเด็กของเธอในฝันมันมีความหมายว่าอะไร

การเดินทางไปพบกับพี่ชายสำหรับ Sabina มันก็เหมือนกับการเอากุญแจไปไขประตูที่ซ่อนความจริงมานานนับสิบปี



ความจริงที่ว่า ครอบครัวของเธอที่คนภายนอกมองว่า สมบูรณ์แบบงดงามนั้นไม่ใช่อย่างที่คิด

ความจริงที่ว่า เธอมีชีวิตอยู่อย่างไม่มีความเจ็บปวดมายาวนานแท้จริงแล้วมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น


...มันคือ ความจริงที่เธอเคยรับรู้แต่หลีกหนีและเก็บซ่อนมันไว้ และ ความจริงที่เธอไม่เคยรับรู้มาก่อนของ Daniele



+++ Spoiler alert : ข้อเขียนถัดจากนี้ มีการเปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์ +++




ความจริงที่ว่า ทั้ง Sabina และ Daniele ถูกทารุณกรรมทางเพศในวัยเด็กจากคนในครอบครัว



...ในสังคมทุกวันนี้ มีเด็กสาวจำนวนมากที่ถูกทารุณกรรมทางเพศ(childhood sexual sbuse) และ ในจำนวนนั้น มันเกิดขึ้นภายในครอบครัว ผู้กระทำ(abuser)มาจากสมาชิกภายในบ้านตัวเอง ที่น่าเศร้าใจ คือ ในจำนวนนั้น เหยื่อหลายคนที่ไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ที่น่าเศร้าใจยิ่งกว่า คือ ความจริงที่ว่าคนในครอบครัวคนอื่นๆ ไม่เพียงไม่ยื่นมือเข้าช่วย แต่ยังรู้เห็นปล่อยให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมความคิดว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ มันคือเรื่องภายในครอบครัว ไม่ควรจะบอกออกไปให้สังคมรับรู้


... และนั่นคือความจริงอันแสนเจ็บปวดของ Sabina ที่เธอประสบพบเจอในวัยเด็ก เธอเป็นเหยื่อตัณหาของพ่อตัวเอง และ มันเจ็บปวดยิ่งกว่า เมื่อ แม่ ซึ่งเป็นคนในบ้านเดียวกัน ก็รู้เห็นแต่กลับไม่ได้มีท่าทีปกป้องตัวเธอเลย แม่เธอกลับบอกว่า มันเป็นเรื่องธรรมดา มันคือเรื่องภายในครอบครัว พี่ชายของเธอก็ไม่สามารถจะช่วยเธอได้ เขาเองก็เป็นเหยื่ออีกคนหนึ่งของสังคมที่โหดร้ายเลวทราม

คนที่ประสบกับเหตุการณ์รุนแรงกระทบจิตใจในวัยเด็กเช่นเธอ บางคนต้องบำบัดรักษาอาการของโรคหวาดผวาตกใจกลัว (Post traumatic stress disorder) บางคนเติบโตขึ้นมาอย่างมีปัญหาบุคลิกภาพ (Borderline personality disorder) ฯลฯ สุดแล้วแต่ว่า แต่ละคนมีวิธีการปรับตัวอย่างไร

Daniele เป็น เด็กผู้ชายที่คิดว่าตัวเองว่านอนสอนง่าย เพียงเพื่อให้ได้เป็นลูกรักของพ่อ จนนำไปสู่การถูกกระทำทารุณกรรมทางเพศ บวกกับการรู้เห็นปล่อยให้น้องสาวก็ถูกกระทำโดยที่ตัวเองช่วยอะไรไม่ได้ มันจึงเป็นความรู้สึกผิด(guilt)ที่เกิดขึ้นที่ไม่สามารถปกป้องเธอได้ เขาจดจำประสบการณ์และความรู้สึกเหล่านั้นติดตัวมาตลอด ผลพวงที่ติดตัวเขามาจนโต คือ เมื่อเขามีลูกชาย เขาไม่กล้าที่จะสัมผัสหรือแตะต้องตัวลูกชายคนแรกได้

นั่นก็เป็นเพราะ ความกลัวที่เกิดขึ้นกับตัวเองในวัยเด็กถ่ายโอนมาสู่ตัวเองในวัยผู้ใหญ่ เป็นความรู้สึกที่เรียกว่า ความรังเกียจ “การสัมผัสของพ่อที่มีต่อลูกชาย “ บวกกับความกลัวว่าตัวเองจะมีบางอย่างในตัวพ่อแล้วทำร้ายลูก ทางออกของเขาคือ การตัดสินใจไปบำบัดรักษา

Sabina ไม่เหมือนพี่ชาย เธอลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นไปในวัยเด็ก แต่ การที่เธอลืมไม่ได้หมายความว่าเธอผ่านพ้นมันมาโดยดี

บางคนทำตัวไม่มีปัญหา ไม่ใช่ว่า เขาไม่มีปัญหาจริงๆ แต่ เป็นเพราะ ความกลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ทรมาน(suffer) จึง พยายามที่จะหนีไปให้ไกลห่างจาก ความเจ็บปวด(pain) แล้วใช้ชีวิตเสมือนว่า มันไม่มีอะไร

สิ่งเหล่านี้คือลักษณะของ Sabina ที่เพื่อนเธอบรรยายถึงตัวเธอ เธอเป็นคนที่พยายามจะหลีกหนีในการเผชิญกับความเจ็บปวด เพื่อจะได้ไม่ต้องรู้สึกเจ็บและทนทุกข์ทรมาน การหนี(avoidance)และทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น(denial) ก็เป็นวิธีการที่ Sabina ผ่านช่วงเวลาในวัยเด็กมา เธอกดเก็บ(repress) ความทรงจำและความรู้สึกที่เจ็บปวด นั้นไว้ในจิตใต้สำนึก เสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ความจริงและความเจ็บปวด เหล่านั้น จึงเหมือนกับถูกปิดตาย ไม่มีใครพูดถึงมันอีกเลยรวมทั้งตัวเธอ

...จนวันหนึ่งแผลที่ปล่อยทิ้งไว้ทำเป็นไม่สนใจ มันก็เริ่มอักเสบกลัดหนอง

หากแผลที่กลัดหนองภายในร่างกายแสดงออกมาด้วยอาการไข้ แผลที่กลัดหนองในใจของ Sabina ก็แสดงออกมาทางความฝันและปัญหาสัมพันธภาพในปัจจุบัน

ในยามหลับ .. ตามทฤษฎีสิ่งที่ถูกกดเก็บไว้ในจิตใต้สำนึกจะสามารถปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระมาโลดแล่นในความฝัน เธอจึงสามารถเห็นภาพพ่อของเธอ และ กางเกงนอนที่เน้นเฉพาะส่วนเป้ากางเกงเดินตรงเข้ามาหาที่เตียง มันคือสัญลักษณ์ของการคุกคามทางเพศของพ่อ

ในยามตื่น ..จิตใจของเธอก็จัดการเก็บกดความจริงที่เธอไม่อยากจดจำเหล่านั้นฝังไว้ในจิตใต้สำนึกตามเดิม เธอจึงจำอะไรไม่ได้ แผลซึ่งซุกซ่อนเอาไว้ มันก็แสดงออกมาเป็น ความกลัวโดยไม่มีสาเหตุ ความหวาดระแวงโดยไม่มีสาเหตุ อันมีปัจจัยกระตุ้น(precipitating factor)มาจาก เรื่องราวของ Maria เพื่อนเธอที่ สามีวัยกลางคนไปมีชู้กับเด็กสาวอายุน้อย

เหตุการณ์นี้ มันเป็นปัจจัยกระตุ้นภาพความทรงจำในวัยเด็กของ Sabina ให้ผุดขึ้นมา เธอโยง พ่อ เข้ากับ สามีเพื่อน ดังที่เธอเปรยขึ้นมาว่า ผู้ชายทุกคนก็น่าจะชอบเด็กผู้หญิงอายุน้อยๆเหมือนกันหมด เหมือนที่พ่อของเธอทำกับเธอ เหมือนที่สามีของเพื่อนไปมีเมียเด็ก และ ก็พาลคิดว่า Franco คนรักของเธอก็คงเป็นเหมือนสองคนนั้น มันทำให้เธอหวาดระแวงโวยวายกับเขาโดยไม่มีสาเหตุ และ หลังจากนั้น เธอเองก็กลัวการสัมผัสและการร่วมรักกับ Franco เพราะภายในจิตใต้สำนึก Franco = พ่อของเธอ


... เมื่อแผลที่มันเริ่มเปิดขึ้น ความรู้สึกจากที่ถูกเก็บไว้ในจิตใต้สำนึกผุดโผล่มามากขึ้น วิธีที่เธอใช้อย่างเดิมๆ คือ การหลีกหนีและการกดเก็บลืมเลือน(repression) มันก็ไม่สามารถใช้รักษาสมดุลชีวิตเธอต่อไปได้อีก ทางเดียวที่เธอจะจัดการมันคือ การเผชิญหน้าความเจ็บปวด ยอมรับความจริงที่เคยเกิดขึ้น ยอมรับให้แผลที่ปล่อยทิ้งไว้มานานได้รับการบำบัดรักษา

เพราะ บาดแผลบางอย่างดูเหมือนไม่อาจเยียวยา แต่ก็ใช่ว่า มันจะเป็นแผลเป็นที่ติดตัวเราไปชั่วชีวิต เราไม่จำเป็นต้องแบกรับความรู้สึกที่เลวร้ายในอดีตให้มากระทบปัจจุบัน เราสามารถเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันโดยให้ บาดแผลเหล่านั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิตในอดีต ไม่ใช่ให้ บาดแผลเหล่านั้นเป็นตราบาปหรือมีค่าเท่ากับตัวเราในปัจจุบัน

…หนังเรื่องนี้มีชื่อเรื่องภาษาอิตาลีว่า "La bestia nel cuore" ตรงกับความหมายภาษาอังกฤษคือ "The beast in the heart" ชื่อนี้ดูจะเหมาะกว่าชื่อภาษาอังกฤษ (Don’t tell) ที่ใช้อยู่ เพราะมันมีความหมายแทนที่เนื้อหาได้ดีทีเดียว

The beast = สัตว์ร้ายที่อาศัยอยู่ในใจพ่อของเธอ คือ id (แรงขับทางเพศ) ที่อยู่เหนือการควบคุมของ superego (ศีลธรรม) ครอบงำคนเป็นพ่อให้ทำลายชีวิตลูกให้แหลกราญ

The beast = พ่อที่มีชีวิตอยู่เป็นความทรงจำเลวร้ายอาศัยซ่อนภายในใจของ Sabina คอยหลอกหลอนทั้งยามตื่นและยามหลับ


... สังเกตว่า หนังอิตาลีหลายเรื่องแล้ว ที่เล่นกับการวิเคราะห์สภาพความรู้สึกนึกคิดและจิตใจของตัวละครได้ดี ราวกับว่า คนเขียนบทมีที่ปรึกษาหรือมีตำราจิตวิทยาเล่มโตอยู่ข้างกาย เหมือนกับ หนังล่ารางวัลปีก่อนของอิตาลี เรื่อง Don’t move ที่ก็มีแง่มุมจิตวิทยาทำให้เรานั่งศึกษาวิเคราะห์ตัวละครอย่างเพลิดเพลิน

เรื่องนี้ก็เช่นกัน หนังสามารถอธิบาย ความเป็นตัวนางเอก ได้อย่างมีเหตุมีผล การค่อยๆเข้าใกล้ความจริงของตัวเธอ เมื่อมันเปิดเผยออกมา ก็สามารถทำให้เราเข้าใจเธอได้มากขึ้น ว่าเพราะอะไรเธอจึงเป็นเช่นนี้

แม้แต่รายละเอียดน้อยๆ เช่น การกำหนดอาชีพของนางเอกให้เป็น นักพากษ์ มันก็มีความหมาย การประกอบอาชีพนักพากษ์ที่เราต้องใช้เสียงมากกว่า 1 เสียง มันซ้อนทับกับภาพลักษณ์ของพ่อที่เธอเคยรับรู้แต่กดเก็บไว้มานาน ตรงกับที่ตอนหนึ่ง เมื่อพี่ชายเล่าถึงพ่อที่มีเสียงมากกว่า 1 เสียงเวลาพูดกับลูก บางทีสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นอาการของเธออาจไม่ใช่เรื่องสามีคบเด็กสาวที่ Maria มาเล่า แต่มันมาจากอาชีพของเธอที่ไปกระตุ้นปมขัดแย้งบางอย่างในใจ

...หนังหยิบปัญหาด้านมืดของสังคม (incest / sexual abuse / pedophilia) มาเล่าเรื่องได้อย่างมีชั้นเชิง ปัญหาครอบครัวที่ฉาบเคลือบด้วยภาพครอบครัวอบอุ่นสวยงาม แท้จริงแล้วไม่มีใครรู้ได้ว่าความจริงมันฟอนเฟะเพียงใด น่าชมคนเขียนบทอีกจุดก็ตรงการนำเสนอปัญหาเหล่านี้ไม่ทำให้มันน่าเบื่อหรือเคร่งเครียด

นอกจากนี้หนังยังใส่ใจที่จะให้รายละเอียดความรู้สึกนึกคิดของตัวละครที่เหลือ ผ่านซับพล็อตอื่นๆ อย่าง Emilia และ Maria สองสาวที่คนหนึ่งนำแสงสว่างของโลกมาให้อีกคน และ อีกคนก็นำแสงสว่างภายในจิตใจมาให้อีกคน ต่างฝ่ายต่างพาอีกฝ่ายให้หลุดออกมาจากโลกมืด เช่นเดียวกับ ตัวนางเอกเองที่ก็พยายามจะต่อสู้ดิ้นรนให้หลุดพ้นจากสัตว์ร้ายที่แอบอาศัยในซอกมืดของจิตใจมาตั้งแต่เด็ก

สิ่งที่ชอบ

1.Giovanna Mezzogiorno … เป็นตัวเอกที่ประคองหนังทั้งเรื่องไว้ในมือได้อย่างไม่มีข้อให้ต้องตำหนิ ผมหลงเสน่ห์เธอมาตั้งแต่ Facing window มาถึงเรื่องนี้เธอก็ยังมีเสน่ห์ภายใต้ดวงตาชวนค้นหานี้อยู่

2.บทภาพยนตร์ ... แสดงให้เห็นถึงการบ้านที่ทำมาเป็นอย่างดี พฤติกรรมหรือสิ่งที่ตัวละครแสดงออกมา มีที่มาที่ไปและอธิบายได้ตามทฤษฎีอย่างมีเหตุผล การเปรียบเปรยข้อคิดหรือชีวิตของตัวละครก็ทำออกมาได้ดีผ่านไดอะล็อกที่เฉียบคม

สรุป ...เหมาะสมดีแล้ว กับการที่หนังได้เป็นตัวแทนประเทศอิตาลีเข้าชิงชัยและเป็นหนึ่งในห้าเรื่องสุดท้ายที่เข้าชิงรางวัลออสการ์ เป็นหนังยุโรปที่ดูง่าย ไม่ได้เนิบเนือยจนช่วงง่วงนอน มีการแสดงที่เข้าตาและบทภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยม เหมาะเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาด้านจิตวิทยา หนังมีแง่คิดมุมมองและบริบทให้ตีความอย่างสนุกสนาน


ป.ล. ... รบกวนเวลาเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่อ่าน Blog นี้แวะไปลงชื่อกันนิดนึงครับ >> ++ คนอ่าน Blog นี้ ช่วยรายงานตัวด้วยคร้าบ (1) ++

ป.ล.2 ... ยังอาสาเป็นหน้าม้ามาเชียร์ต่อ หนังยังไม่ออกจากโรง >> Always: Sunset on Third Street , บางสิ่งที่ไม่อาจเห็นได้ด้วยตา แต่สัมผัสได้ด้วยใจ



ติดตามบทความใหม่ๆ หรือ เริ่มต้นอ่าน Blog นี้มีข้อสงสัย + แวะเวียนมาพูดคุยถาม-ตอบ คลิกไปคุยกันที่ --> หน้าแรก


รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง



ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป


Create Date : 19 มิถุนายน 2549
Last Update : 20 มิถุนายน 2549 12:57:32 น.
Counter : 3496 Pageviews.

13 comments
พบเจอภาพอะไร? ส่วนหนึ่งของภาพน่าสนใจจึงตัดมาใช้ คุกกี้คามุอิ
(1 ม.ค. 2567 03:56:23 น.)
อุ้มสีมาทำบุญ ๙ วัด ในวันขึ้นปีใหม่ที่จ.อุบลราชธานี อุ้มสี
(3 ม.ค. 2567 19:10:02 น.)
BUDDY คู่หู คู่ฮา multiple
(3 ม.ค. 2567 04:49:04 น.)
สวัสดีปีใหม่ Rain_sk
(1 ม.ค. 2567 21:38:33 น.)
  
โอ้..อยากดูอย่างแรง

เผลออ่านประเด็นสำคัญของเรื่องไปแล้วเรียบโร้ย


ไม่เป็นไร ถ้าว่างยังไงก็จะไปดู
โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 19 มิถุนายน 2549 เวลา:10:34:27 น.
  
ดอนท์เทลนะ ว่าผมก็อ่านจบแล้วเหมือนกัน...
โดย: ดำรงเฮฮา วันที่: 19 มิถุนายน 2549 เวลา:11:29:30 น.
  
รับเรื่องนี้ไว้พิจารณาครับ ขอบคุณครับ
โดย: ตี๋น้อย (Zantha ) วันที่: 19 มิถุนายน 2549 เวลา:11:38:52 น.
  
ผมกลับไม่ค่อยชอบส่วนซับพล็อตของหนังเรื่องนี้เท่าไหร่ครับ ออกจะเป็นส่วนเกินสำหรับผม
เพราะมันไม่ค่อยเกี่วข้องกับเรื่องหลักของSabinaเท่าไหร่ครับ

แต่ยังไงในบรรดาหนังต่างประเทศออสการ์ ผมก็ชอบเรื่องนี้มากกว่า Tsotsi ที่ได้รางวัลไปล่ะครับ อันดับหนึ่งในใจก็ยังคงเป็นSophie Schollเหมือนเดิม
โดย: nanoguy (nanoguy ) วันที่: 19 มิถุนายน 2549 เวลา:14:28:10 น.
  
+ อืม ... ซับพล็อตที่เติมเข้ามา ผมว่าอาจเป็นการทำให้เรื่องมันดูมีประเด็นอื่นๆ มากขึ้นมั้งครับ และอาจทำให้เนื้อเรื่องดูแน่นขึ้นอีกนิดนึง เพราะความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นแบบ ญ-ญ ไม่ใช่ ญ-ช แบบทั่วๆ ไป ... ซึ่งหนังยุโรป แล้วเป็น ไซโค-ดราม่าแบบนี้ ถ้าเป็นคอหนังฮอลลีวู้ดหรือคอแอ๊คชั่น เผลอหลุดไปดูเข้า คงหลับคาโรงกระมัง เหอะๆ ... เรื่องนี้ ผมชอบ น้อยกว่า Paradise now อยู่ดี และคงมากกว่า Tsotsi นิดหน่อย ... รอดู Sophie Scholl อยู่ครับเนี่ย จะได้ครบทั้ง 5 เรื่องซะที
+ อยากพูดถึงประเด็นเกี่ยวกับ อาชญากรรมทางเพศ และการลวนลามทางเพศ (Sexual harrasment) ที่ทำให้แต่ละคนโตขึ้นมามีความชอบที่แตกต่างกันไป จนบางคนถึงขั้นที่คนทั่วไปเรียกว่า 'วิตถาร' แต่เนื่องจากอยู่ในสังคมก็ต้องเก็บกดเอาไว้ ... ถ้าไม่ไปยุ่งกับคนอื่นก็ดีไป แต่บางเคส อย่างเช่น พวก Lolicon ปล้ำเด็ก, พวก Exhibi. ชอบโชว์ธารกำนัล พวกนี้คงลำบากหน่อย เพราะยังไงก็ต้องยุ่งกับคนอื่น ... แต่ถ้าเป็นอย่าง ซาดิสม์ ถ้าหาคู่ที่เป็นมาโซคิสม์ให้เจอ (แบบในเรื่อง Secretary) ก็นับว่าโชคดีไป
ผมว่าที่คนเราเป็นกันได้ขนาดนี้ เกือบทั้งนั้นเกิดจากสภาพภายในครอบครัวในวัยเด็กทั้งนั้นแหละครับ (แม้แต่ผู้ชายบางคนที่เป็น Homophobia ผมวิเคราะห์ว่าตอนเด็กๆ เค้าอาจเคยถูกผู้ชายด้วยกันลวนลามมาก่อนก็ได้ แต่จิตใจรับไม่ได้ ก็เลยกลายเป็นเกลียดขยะแขยงไป) ... เด็กที่โดนผู้ใหญ่กระทำมาก่อน พอโตขึ้นเค้าก็ย่อมมีจิตใจที่ผิดเพี้ยน แล้วก็ไปทำกับเด็กในรุ่นต่อๆ ไปได้อีก ... คิดแล้วก็น่าสะเทือนใจจัง แต่ก็คงทำอะไรไม่ได้มาก เพราะเรื่องบางเรื่อง มันก็เป็น "เรื่องของครอบครัว" เหมือนที่เกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้แหละ ... แต่บ้านเราก็เคยมีเหมือนกันนะ ที่แม่ทนไม่ได้ แจ้งตำรวจให้จับพ่อเลี้ยง หรือ แม้กระทั่งพ่อแท้ๆ ที่ข่มขืนลูกสาว ... ยังดี บ้านเรายังไม่มีกรณีอาจารย์หญิงกับเด็กนักเรียนชายเหมือนเมืองนอก .......... ตกลงนี่เรามาถึง 'กลียุค' ตามพุทธทำนายกันจริงๆ แล้วเหรอครับเนี่ย? ยังไงก็ดูแลคนที่คุณรักไว้ให้ดีที่สุดก็แล้วกัน ความพลั้งเผลอและประมาทเพียงนิดเดียว อาจก่อให้เกิดความเสียใจที่ไม่อาจเรียกอะไรกลับมาแก้ไขได้อีก (เหมือนกรณีเด็กนักเรียนมัธยมที่จะกลับบ้านแถวดอนเมืองเมื่อไม่กี่วันมานี้ น่าสงสารเธอเป็นที่สุด)
โดย: บลูยอชท์ (บลูยอชท์ ) วันที่: 19 มิถุนายน 2549 เวลา:23:16:50 น.
  
ถึงคุณบลูยอชท์ครับ
กรณีอาจารย์หญิงกับนักเรียนชายนี่ก็มีมาแล้วเคสนึง.. ที่เถียงกันไปเถียงกันมาว่าใครข่มขืนใครไงครับ
โดย: nanoguy IP: 161.200.255.161 วันที่: 20 มิถุนายน 2549 เวลา:13:54:01 น.
  
อืม ... จำได้รางๆ อ่ะคับเคสนี้ รู้สึกจะเป็นเมื่อ 3-4 ปีก่อนนี้เอง ... สุดท้ายรู้สึกว่าจะเป็นเด็กที่เป็นฝ่ายเข้าไปปล้ำอาจารย์นะคับ ถ้าจำไม่ผิด เฮ่อออ ... สังคมหนอสังคม ... ตราบใดที่ตัวบทกฎหมายไทยยังอ่อนปวกเปียกแบบนี้ กรณีสลดใจเหล่านี้ก็คงยังมีให้เห็นมาเรื่อยๆ แหละครับ อยู่ที่ว่าใครจะซวยตอนไหนเท่านั้นเอง ... เพราะฉะนั้น ผู้มีความเสี่ยง (โดยเฉพาะผู้หญิง ที่บ้านอยู่ไกลๆ) ก็ต้องหาวิธีป้องกันตัวเองให้รัดกุมที่สุด ถ้าเสี่ยงมาก อาจต้องพกสเปรย์พริกไทยหรือเครื่องช็อตอันเล็กๆ ติดกระเป๋าไว้ด้วยซ้ำไปอ่ะ
โดย: บลูยอชท์ IP: 202.69.140.233 วันที่: 20 มิถุนายน 2549 เวลา:22:27:06 น.
  
ชอบค่ะ เป็นหนังดราม่าชวนคิดที่ดีอีกเรื่องนึงเลยค่ะ

โดย: octavio IP: 124.120.10.22 วันที่: 21 มิถุนายน 2549 เวลา:1:07:57 น.
  
บลูยอชท์ + nanoguy ... ประเด็นครูสาว + ลูกศิษย์หนุ่ม ที่คุยกัน เพิ่งมีหนังเกาหลีออกแผ่นมาเองครับ เรื่อง Green Chair (จำได้เพราะเนื้อหาและตัวหนังวาบหวิวน่าดูชม) / ชอบเรื่อง secretary ครับ
โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" วันที่: 21 มิถุนายน 2549 เวลา:15:37:47 น.
  
เป็นหนังแนวจิตวิทยาที่ทำได้สมจริง เนียน และ ดูสนุก
มีประเด็นที่อยากกล่าวถึงดังนี้ (SPOILER !!!)
บาดแผล เรื่องนี้เต็มไปด้วยบาดแผล
:บาดแผลฝังใจวัยเด็ก บาดแผลหลบซ่อน บาดแผลเกิดใหม่(เพื่อนนางเอก)
ความสัมพันธ์
: ในเรื่องนี้หลายคู่มีความสัมพันธ์ซ้อนทับกันอยู่ เช่น
คู่พ่อกับนางเอก/พี่ ที่เป็นทั้งพ่อ(กลางวัน) น่าเคารพ และเป็น sexual abuser(กลางคืน) น่ากลัวน่าขยะแขยง
คู่เพื่อนสาว ที่เป็นทั้งเพื่อนสาว และคู่รัก
คู่พี่กับลูกชายพี่ ที่ซ้อนระหว่างบทบาทพ่อที่ตัวเองกำลังเป็น กับ บทบาทพ่อที่ทำกับตัวเองในอดีต
คู่พระเอกและนางเอก ที่ซ้อนระหว่าง บทบาทคู่รักที่อยากใกล้ชิด กับ ภาพพ่อของตัวเองในอดีตที่อยากห่างไกล
ซึ่งความสัมพันธ์ที่ทับซ้อน เหล่านี้นำมาซึ่งความขัดแย้งในใจตัวเอง และลุกลามไปขัดแย้งกับคู่ได้

ดังนั้นสิ่งเหล่านี้ อาจเกิดขึ้นอยู่ทุกวันในชีวิต ทั้งที่โดยรู้ตัว และ อีกหลายๆๆๆครั้งไม่รู้ตัว

ปล.ขอบอกว่าชอบสิ่งเดียวกับคุณผมอยู่ข้างหลังคุณชอบทุกประการเลยโดยเฉพาะGiovanna Mezzogiorno ชอบเธอมากๆๆๆและติดใจเธอมานานแล้ว และเมื่อดูเรื่องนี้ชอบและหลงเสน่ห์เธอมากยิ่งๆๆๆขึ้นไปอีก
โดย: Don't know IP: 58.9.161.84 วันที่: 21 มิถุนายน 2549 เวลา:20:13:10 น.
  
น่าดูจังค่ะ ชอบหนังประมาณนี้อยู่แล้ว ไม่รู้จะอยู่โรงอีกนานมั้ยหว่า ช่วงนี้ไม่ว่างเลยจริงๆ
สิ่งเดียวที่ได้ทำนอกเหนือจากการอ่านหนังสือเรียนก็คือดูบอลโลกค่ะ
โดย: azzurrini วันที่: 22 มิถุนายน 2549 เวลา:12:54:30 น.
  
อ่านะ ... เหอะๆ คุณ จขบ. นี่ตาไวใช่เล่นเลยนะคับ เรื่องที่ว่าเหมือนผมเห็นโปสเตอร์อยู่แว้บๆ ใน Movies time ฉบับก่อนๆ จำชื่อเรื่องไม่ได้หรอก แต่คุ้นๆ ว่าน่าจะเป็นเรื่อง Green chair ที่ว่านี่แหละครับ / Secreatary ผมได้ยินแต่กิตติศัพท์ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ดูเลยอ่ะคับ อยากดูหลายๆ ... แล้วก็อยากลองดู Crash อีกเรื่องนึงที่ไม่ใช่อันที่เพิ่งได้ออสการ์ ที่เดวิด โครเนนเบิร์กกำกับ เพราะผมว่าทั้ง 2 เรื่องมีธีมเกี่ยวกับ 'การบิดเบี้ยวของเซ็กส์' หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า เซ็กส์วิตถาร ที่ชัดเจนเหลือเกิน ... อยากรู้ว่าดูแล้ว จะรู้สึกยังไง จะรับได้หรือรับไม่ได้อ่ะคับ หุๆ เพราะผมว่าผมก็ได้ดูหนังอะไรแปลกๆ มาเยอะพอสมควรแล้วเหมือนกันอ่า เลยอยากลองดูอ้ายที่แปลกขึ้นไปอีกง่ะ
โดย: บลูยอชท์ IP: 202.69.140.233 วันที่: 22 มิถุนายน 2549 เวลา:22:07:09 น.
  
ขออนุญาติคุณผมอยู่ข้างหลังคุณ นอกเรื่องนะคะ เห็นคุณ azzurrini บอกว่าดูบอลโลกด้วย
แหะๆ อยากทราบว่าคุณเชียร์ทีมไหน ในฟุตบอลโลกคะ
สำหรับตัวเอง ชอบทีมชาติอิตาลี และ เยอรมันค่ะ
โดย: Don't slow IP: 202.28.181.9 วันที่: 23 มิถุนายน 2549 เวลา:7:17:57 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Aorta.BlogGang.com

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]

บทความทั้งหมด