Sunshine , อาทิตย์สิ้นแสง ชีวิตสิ้นสูญ


...อย่าคาดหวังพล็อตใหม่ๆจากหนังเรื่องนี้ เพราะ ถ้าอ่านเรื่องย่อ Sunshine แทบจะกลายเป็นหนังไซไฟสูตรสำเร็จเหมือนแกะมาม่าออกจากซอง จะยี่ห้อไหนก็ซ้ำๆจำเจเหมือนกัน ถ้าไม่เชื่อ ลองนึกดูให้ดี จำไม่ได้หรือว่าเราเคยเห็นพล็อตแบบนี้มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น

...การกู้โลกและเหล่าวีรบุรุษกู้ชาติ จาก

Armageddon ที่รวมพลไประเบิดแกนกลางของดาวหาง

The core ที่รวมตัวไประเบิดแกนกลางโลก

Sunshine ของเราก็รวมทัพ ไประเบิดแกนกลางของดวงอาทิตย์

...การผจญกับลูกเรือลึกลับบนยานอวกาศอย่าง

คอมขัดขืน ใน 2001

ผีลืมหลุม ใน Event horizon

นักบินผู้ไม่ได้รับเชิญคนที่ 5 ใน Sunshine

... ดังนั้น แม้งวดนี้ ดวงอาทิตย์จะดับ ผมก็ไม่คิดสนใจจะไปดู หากมิใช่บังเอิญว่า หนังเรื่องนี้เป็นผลงานของ แดนนี่ บอยล์

แดนนี่ บอยล์ เป็น ใคร ?

เขาคือ ผู้กำกับที่คนดูชาวไทยส่วนใหญ่รู้จักเขาพร้อมๆกับพ่อหนุ่มลีโอ ใน The beach ถ้าพลิกสารบัญประวัติผลงานของเขา เราจะพบความหลากหลายในตัวงาน ชนิดเราจับทางเขาไม่ได้ว่า งานชิ้นต่อไปเขาจะมาไม้ไหน จะเป็นหนังแอคชั่น หรือ หนังดราม่า หรือ หนังสยองขวัญ เพราะผลงานในอดีตไม่เคยซ้ำกันมีตั้งแต่ เรื่องคนติดยา เรื่องซอมบี้ เรื่องคนบนเกาะ เรื่องรัก เรื่องนัวร์ๆ

ที่สำคัญคือ แม้แนวหนังหรือพล็อตที่เขาเลือกทำจะไม่ใหม่ แต่หนังของเขากลับสร้างมิติใหม่ๆให้แนวหนังเดิมๆ เราจะเห็นแนวคิดหรือเทคนิคใหม่ๆในงานของเขาเสมอ ถึงจะกินมาม่า

มาม่าของแดนนี่ บอยล์ ก็แตกต่างจากยี่ห้ออื่นๆทั่วไป

...ถึงจะมีซอมบี้เป็นร้อยเป็นพันตัวมาแล้ว แต่ ซอมบี้ของแดนนี่ บอยล์ ทำให้คนดูไม่มีวันลืมภาพลอนดอนร้าง ความตื่นเต้นเร้าใจในบรรยากาศซอมบี้ยุคใหม่ และ การเคลื่อนไหวที่ไม่ใช่กระยึกกระยือเหมือนซอมบี้รุ่นปู่

...ถึงจะมีคนติดยาในหนังมากี่สิบกี่ร้อยคน แต่ คนติดยาของแดนนี่ บอยล์ มาพร้อมดนตรีประกอบบริทป๊อบสุดเท่ที่ใครได้ฟังก็ต้องรีบหามาไว้ในครอบครอง และงานภาพที่แปลกประหลาด สุดฮิป สุดแนว ชนิดทำให้คนดูไม่มีวันลืม ยวน แม็กเกรเกอร์ ในโถส้วม

...เช่นเดียวกับคู่รักคู่รสในหนังรักโรแมนติกมากี่ร้อยกี่พันคู่ แต่ คู่รักในA Life Less Ordinary ของแดนนี่ บอยล์ ก็เก๋ไก๋เต็มไปด้วยไอเดียลูกเล่นสุดเปรี้ยว ถึงตัวหนังจะล้มเหลวก็ตาม

นับไปนับมา ตอนที่เขียนนี่ ผมก็เพิ่งรู้ว่า ผมเป็นแฟนประจำของแดนนี่ บอยล์อย่างไม่ได้ตั้งใจ เพราะจากจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมรู้จัก แดนนี่ บอยล์คือ shallow grave หนังฟิล์มนัวร์ที่มิตรภาพของเพื่อนร่วมห้องกลุ่มหนึ่งต้องพังย่อยยับเพียงเพราะเงินก้อนเดียว ในรูปแบบม้วนวีดีโอ นับจากนั้น ผมก็ไม่เคยพลาดผลงานของเขาอีกเลยยกเว้น millions ที่ผมทำแผ่นหายไปไหนก็ไม่รู้

... ดังนั้น เมื่อ แดนนี่ บอยล์ มากำกับ หนังไซไฟกู้(นานา)ชาติ จึงน่าสนใจว่า ไอ้ความซ้ำซากเดิมๆที่เราเคยดูนั้น จะมีอะไรใหม่ๆให้เราได้ดู



นักบินอวกาศจำนวน 8 ชีวิต เป็นตัวแทนของมนุษย์โลก รับมอบหมายภารกิจมุ่งตรงไปจุดระเบิดดวงอาทิตย์ที่กำลังดับให้ลุกไหม้ขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อให้โลกที่เราอาศัยมีแสงสว่าง ยานอวกาศของพวกเขามีชื่อว่า Icarus II ชื่อที่มีความหมายเดียวกับ ตัวละครเทพปกรณัมกรีกที่มีปีกสร้างจากขี้ผึ้ง ขณะบินเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ ปีกก็ละลายร่วงหล่นลงมาซี้แหงแก๋ทีทะเลอิคาเรี่ยน

ชื่อมีมากมายให้ตั้งไม่ตั้งดันทะลึ่งมาตั้งชื่อนี้ และ คงเป็นลางร้าย เพราะเมื่อเจ็ดปีก่อน Icarus I ที่ได้รับมอบหมายเดียวกันนี้ก็สูญหายไปก่อนหน้าอย่างไร้ร่องรอย

Icarus II ต้องพบกับเรื่องราวประหลาดๆ เมื่อ ยานได้รับสัญญาณจากอิคารัสวันที่หายสาบสูญไป พวกเขาจึงต้องเลือกว่าจะมุ่งหน้าปฎิบัติภารกิจจุดระเบิดดวงอาทิตย์ต่อไป หรือ จะตัดสินใจเบี่ยงเส้นทางลองตรงไปยัง Icarus I ก่อน เผื่อมีคนรอด หรือ เผื่อมีอุปกรณ์ที่จะช่วยให้ระเบิดได้ผลสองต่อ หรือ มีทางเพิ่มออกซิเจน

ผลของการตัดสินใจการเบี่ยงเป้าหมายทำให้เกิดความผิดพลาด แม้จะแค่ 1.1 เปอร์เซ็นต์ก็ก่อความเสียหาย ร้ายแรงจนต้องสูญเสียลูกเรือไปหนึ่งคน

จาก 8 เหลือ 7


หนึ่งคนตัดสินใจฆ่าตัวตาย เพราะ ความรู้สึกผิดเกาะกุม

จาก 7 จึงเหลือ 6




ผลจากความเสียหายที่เกิดขึ้น สร้างปัญหาใหม่ให้เกิดขึ้น

เรือนต้นไม้ในยานเสียหายย่อยยับ และ ปริมาณออกซิเจนบนยาน มีไม่เพียงพอต่อลูกเรือทุกคนที่จะเดินทางไปกลับ มีนักบินกลุ่มเล็กๆมาประชุมกันเพื่อหาทางที่จะทำให้ออกซิเจนเหลือเพียงพอ นั่นหมายถึงต้องมีคนตายเพิ่มขึ้น การประชุมสิ้นสุดเพียงเท่านั้น

แต่ แค่เท่านี้ เราก็สัมผัสได้ถึง ร่องรอยของความดำมืดในจิตใจของเหล่ามนุษย์เมื่อถึงคราวตกอับ สิ่งที่ซุกซ่อนก็พร้อมออกมาอาละวาด เช่นเดียวกับ ใน Shallow grave ที่เพื่อนยังฆ่ากันได้เพียงเพราะเงิน และ The Beach ที่เข้าราวีกันเพื่อการอยู่รอด

แล้วพวกเขาก็เดินทางไปถึง Icarus I ด้วยความมุ่งหวังว่าอาจจะมีอะไรที่เหลือเก็บไปใช้ที่เป็นประโยชน์

แต่การขึ้นเทียบยาน ทำให้พวกเขาพบกับความจริงที่ชวนประหวั่นพรั่นพรึงที่เกิดขึ้นบนยานลำนั้น และ ทำให้พวกเขาส่วนหนึ่งไม่สามารถเดินทางกลับยานได้ครบทุกคน

หนึ่งคนต้องเสียสละ

จาก 6 เหลือ 5




ระหว่างพยายามกลับเข้ายาน Icarus II ของตัวเอง หนึ่งคนต้องหลุดจากวงโคจรเข้าไปในอวกาศ

จาก 5 เหลือเพียง 4


4 นักบินที่เหลือหมายมั่นว่า จะมีออกซิเจนเพียงพอที่จะพายานไปจุดระเบิดดวงอาทิตย์ แต่คอมพิวเตอร์ประมวลผลบน Icarus II ไม่คิดเช่นนั้น เธอบอกกับพระเอกของเราว่า ออกซิเจนบนยานไม่พอสำหรับลูกเรือ 5 คน

นักบินคนที่ 5 คือใคร ?




... ปีนี้ มีหนังไซไฟเรื่องหนึ่งที่ผมชอบมากๆว่าด้วยเรื่อง มนุษย์คนแรกที่ตั้งครรภ์ขึ้นมาหลังจากไม่มีการถือกำเนิด มนุษย์มานานถึง 18 ปีด้วยผลงานฝีมือกำกับของ อัลฟองซัง คัวรอน ใน Children of men ที่จัดได้ว่าเป็นหนังไซไฟที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ Gattaca หนังมีพล็อตที่แข็งแรงและการถ่ายภาพที่น่าทึ่ง พร้อมจุดเซอร์ไพรส์ที่มาอย่างรุนแรงไม่ทันตั้งตัว น่าเสียดายที่หนังมุ่งตรงไปเป็นแผ่นเรียบร้อยแล้ว โอกาสอันดีที่จะได้ดูหนังไซไฟในโรงใหญ่กลับมาอีกครั้งใน Sunshine

Sunshine มีจุดอ่อนอยู่ที่พล็อตเรื่อง ที่ไม่เพียงจะไม่แปลกใหม่แล้ว ยังไม่ค่อยมีอะไรให้น่าพูดถึงนัก บทหนังของ อเล็กซ์ การ์แลนด์ น่าสนใจแต่ขาดความลึกซึ้ง รายละเอียดของบทที่หนังพูดถึง สภาวะจิตใจภายใต้ภาวะกดดันของตัวละคร เช่น ความเห็นแก่ตัว ความกลัว ความรู้สึกผิด และ ความเสียสละ ยังไม่แข็งแรงพอ ไม่ทำให้เราเข้าถึงลึกๆ เมื่อเทียบกับงานชิ้นเก่าๆของเขาอย่าง The beach และ Shallow grave

...ทั้งที่มีหลายตอนที่หนังจุดประเด็นชวนให้ขบคิด ตั้งแต่ตอนที่ ลูกเรือคนหนึ่งรู้ว่าออกซิเจนไม่พอ แล้วประชุมกลุ่มเล็ก และตอน เมื่อถึงคราวต้องตัดสินใจในประเด็นทางมนุษยธรรม ที่ต้องเลือกว่าเราจะยอม ฆ่าคนหนึ่งคน เพื่อ ช่วยคนทั้งโลกหรือไม่ โดยคนที่ถูกฆ่าไม่ได้ทำผิดอะไรเลยแม้แต่น้อย

คุณค่าของคน สามารถวัดได้หรือไม่ ว่า ใคร มีค่า มากกว่า ใคร

หมอ สำคัญกว่า วิศวกร ?

ครู สำคัญกว่า นักดนตรี ?

ตำรวจ สำคัญกว่า ชาวประมง ?

ฯลฯ


จากคำถามที่ตั้งขึ้นมา เราก็จะเห็น มุมอ่อนแอในจิตใจของมนุษย์ยามคับขัน เช่น ความเห็นแก่ตัว ความกลัวตาย ความขลาดเขลา ความรู้สึกผิด ฯลฯ ความรู้สึกเหล่านี้เอง ที่เป็นเสมือนปีกของ Icarus ที่พาให้ลูกเรือของยานลำนี้ไปไม่ถึง ดวงอาทิตย์ ก็ต้องเสียชีวิตลงเสียก่อน

... น่าเสียดายที่พอจุดประเด็นขึ้นมา สุดท้ายเนื้อหาทั้งหลายหรือประเด็นทั้งปวงนั้น ก็ถูกโยนออกนอกกาแล็กซี่ไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเปิดตัว ลูกเรือคนที่ 5 หนังก็แทบทิ้งทุกอย่างในส่วนเนื้อหา และ เดินหน้าไปในรูปแบบหนังสยองขวัญที่มีตัวละครผู้บ้าพลังชิงชังมนุษย์ วิ่งไล่ฆ่าคนประมาณฆาตกรโรคจิต (คิดขำๆสมน้ำหน้า ซิเลี่ยน เมอร์พี่ ที่ได้ เจอคนแบบตัวเองบนท้องฟ้า เหมือนที่ทำกับนางเอกใน RedEye)

แถมเมื่อหนัง เลือก พาไปจบลงในจุดเดียวกับหนังแนวไซไฟกู้ชาติทั่วๆไปตามสูตรฮอลลีวูด ก็กลับไม่ทำให้เรารู้สึกอิ่มเอมหรือขนลุกได้เท่าที่ควร เหตุผลส่วนหนึ่งก็เพราะหนังไม่ปูเรื่องราวใดๆของโลกมากนัก จนเราไม่รู้สึกอินกับภาวะโลกมืด เรารู้แค่จากปากคำสนทนาของเหล่าลูกเรือว่า โลกในตอนนั้นกลายเป็นยุคน้ำแข็งและไร้ซึ่งแสงสว่างมานานโข อีกทั้ง แบ็คกราวด์ปูมหลังของตัวละครก็แทบจะไม่ถูกพูดถึง จนเราไม่มีความผูกพันกับตัวละครคนไหนเป็นพิเศษ

ซึ่งถ้าหนังจะจบในเชิงปรัชญาหรือมุ่งเน้นความกดดันสติแตกของตัวละครก็คงไม่เป็นไร แต่ การเลือกพาคนดูมาสู่บทสรุปเช่นนี้ การจบในทิศทางนี้มันทำให้ตอนจบไม่ค่อยอิ่มในทิศทางหนังที่พามาเท่าไหร่นัก

....แม้พล็อตเรื่องจะอ่อนแอ แม้โครงเรื่องจะน้ำเน่า แต่ สุดท้ายแล้ว ผลรวมที่ออกมา Sunshine คือ หนังไซไฟน้ำดี

เพราะ พระเอกตัวจริงของหนังที่ทำให้คนดูไม่ทันสะดุดหรือเบื่อหน่ายกับตัวบทที่ตื้นเขินซ้ำซาก คือ ตัวผู้กำกับแดนนี่ บอยล์ ที่ยังคงใส่ความเป็นตัวเองลงไปได้เหมือนหนังเรื่องก่อนๆ ความเป็นตัวเองของแดนนี่บอยล์ คือ “ความไม่เหมือนใคร” นั่นคือ แม้พล็อตจะเก่าหรือน้ำเน่า แต่เขาก็สามารถสร้างความแปลกใหม่ในประสบการณ์ดูหนังแก่คนดู ชนิดที่ผมเองก็นั่งลุ้นจนหยดสุดท้ายชนิดหายใจไม่เต็มอิ่มในหลายๆฉาก

...คนดูจะถูกดึงเข้าไปอยู่ในเรื่องราวด้วยความหลงใหลจากงานโปรดักชั่นในหนังไม่ว่าจะเป็นในตัวยานหรือในอวกาศ ทำออกมาได้อย่างน่าเชื่อถือ จนคนดูจะรู้สึกหลงใหลเหมือนตัวละครในเรื่องที่ลุ่มหลงอยู่กับดวงอาทิตย์ และ ทำให้ พระอาทิตย์ในหนังก็ยังเป็นพระเอกอีกคนที่เด่นจนแสบตา หนังไม่โฉ่งฉ่างโผงผาง แต่ค่อยๆขยับพาคนดูไปสำรวจอวกาศพร้อมๆกันเหมือนกับหนังสารคดี

จนเมื่อหนังเริ่มจับสัญญาณลึกลับของ Icarus I ตัวหนังก็ค่อยๆกดดันคนดูเข้าสู่บรรยากาศที่ไม่น่าไว้วางใจ เราทั้งอยากรู้และทั้งหวาดหวั่นว่าบนยาน Icarus I เกิดอะไรขึ้น หนังเพิ่มสถานการณ์บีบคั้นมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อถึงช่วงเวลาหลังจากขึ้นยาน Icarus I หนังก็เบนเข็มเข้าสู่ความเป็นหนังสยองขวัญเต็มตัว

...ฉากเด็ดฉากหนึ่งของหนังที่ผมชอบ นอกจากฉากโชว์พระอาทิตย์ คือ ตอนที่ตัวละครเหยียบยาน Icarus I คนดูต้องสังเกตให้ดี กับเทคนิกภาพที่ Fight club เคยใช้มาแล้วตอนโชว์ แบรดพิทท์น้อย ให้เห็นแว่บๆตัดเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่ใน Sunshine จะเป็น ....

และจากจุดนี้เอง เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนจากความเป็นหนังไซไฟเต็มตัว เข้าสู่ ความเป็นหนัง horror –scifi และ ช่วงเวลาหลังจากนั้น หนังก็ไม่ให้ความอึดอัดกดดันตั้งอยู่บนความเนิบนิ่งอีกต่อไป เพราะ หนังช่วงท้ายขับเคลื่อนได้ด้วยความตื่นเต้น และ งานถ่ายภาพที่หลอนและกดดันเป็นอย่างยิ่ง ทั้งเทคนิกการแช่ภาพ การทำเบลอ และ แสดงภาพที่บิดเบี้ยว



ในบรรดาแปดนักบิน ซิเลี่ยน เมอฟี่ น่าจะเรียกได้ว่าเป็นพระเอกของเรื่องเต็มตัว แล้วก็พาพวกกลุ่มนักแสดงทีมจากฮอลลีวูด โรส เบิร์น คริส อีแวน ทั้งหลายเหล่านี้ เล่นได้เสมอเนื้อเสมอตัว ทีมจากเอเชียก็ไม่มีมีอะไรให้พูดถึงนักเพราะมิเชล โหย่ว ก็มาแบบไม่ต้องใช้ฝีมืออะไรมากมาย คนที่เล่นได้ดูมีมิติมากที่สุดของกรุ๊ปทัวร์ชุดนี้น่าจะเป็นฮิโรยูกิ ซานาดะ พอจะกล่าวสรุปได้ว่าการรวมทีมนักแสดงนานาชาติไม่ทำให้คนดูต้องผิดหวัง แต่อดเสียดายฝีไม้ลายมือของพวกเขาไมได้ เพราะขนาดบทแต่ละคนยังไม่มีความตื้นลึกหนาบาง พวกเขายังเค้นอารมณ์ได้ดีขนาดนี้ ถ้ามีการปูพื้นหลังหรือทำให้เรารู้จักกับพวกเขามากกว่านี้ คงจะทำให้หนังดูมีอะไรมากไปกว่าความน่าทึ่งและตื่นเต้นจากฝีมือของแดนนี่ บอยล์

สิ่งที่ชอบ

1.แดนนี่ บอยล์ ... พระเอกตัวจริงของหนัง

2.งานสร้างและพระอาทิตย์ ... พระรองของหนังเลยทีเดียว

3.การถ่ายภาพในหนัง...หลอน ตื่นเต้น อึดอัด กดดัน ดีเลยทีเดียว

4.เทคนิคที่หนังใช้ .. หลอน ตื่นเต้น อึดอัด กดดัน ดีเลยทีเดียว

สิ่งที่ไม่ชอบ

1.บทหนัง โดยเฉพาะ หลังเปิดตัวนักบินอวกาศคนที่ 5 ... ผิดหวัง เพราะ ผมหวังไว้มากกว่านี้ด้วยฝีมือของอเล็กซ์ การ์แลนด์และด้วยตัวบทตอนต้น ที่ดูเหมือนจะมีอะไรๆมากไปกว่า หนังไซไฟกู้ชาติ แต่สุดท้ายก็เป็นแค่การเล่าแค่เปลือกๆเท่านั้น ยิ่งเปิดตัวนักบินคนที่ 5 ผมก็เลิกหวังดูแค่เอามันจนหนังจบ

สรุป ... งานด้านภาพและการกำกับของแดนนี่ บอยล์ ยอดเยี่ยมเพียงพอที่จะทำให้เรามองข้ามจุดอ่อนของตัวบท เพราะคนดูจะนั่งลุ้น(ถ้าไม่หลับช่วงสิบนาทีแรกเสียก่อน)ด้วยความตื่นเต้นปนอยากรู้อยากเห็น ถือได้ว่า ห้ามพลาดทีเดียวสำหรับแฟนหนังไซไฟ ยิ่งคนที่ชอบความกดดันชนิดต้องลุ้นหนังเรื่องนี้มีให้ และ แฟนๆของแดนนี่ บอยล์ ก็อย่าหมางเมินงานชิ้นนี้เพราะกลัวว่าจะเป็นผลงานในกลุ่มผลงานมือตกของเขา เพราะนี่ถึงจะไม่ใช่งานในกลุ่มมาสเตอร์พีซ แต่ก็คืองานในระดับใกล้เคียงกับ 28 Days Later เลยทีเดียว

ป.ล. หลายความเห็นเชียร์ให้ดูหนังเรื่องนี้ในโรงระบบดิจิตอล แต่ผมเองกลับเสนอตรงข้ามว่าดูโรงธรรมดาก็พอ ด้วยคิดว่า นอกจากอยากเห็นพระอาทิตย์ชัดๆ กับ ภาพในอวกาศชัดๆ ก็ไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ แถมตัวเองก็ไม่ได้รู้สึก อื้อหือ โอ้โห ตอนดูโรงดิจิตอลมากนัก ไม่เหมือนกับ 300 ที่ควรเลือกดิจิตอลถ้าเลือกได้

ป.ล.2 จบหนังเรื่องนี้หากรู้สึกยังไม่อิ่มนักกับบทที่ยังอ่อนความเข้มข้น ผมขอแนะนำ หนังดราม่าไซไฟที่ผมชื่นชมจนออกนอกหน้า Children of men หนังที่ผมดูจบเกิดเสียงในใจให้คำจำกัดความ 3 คำเหมือนตอนดู Lives of other จบเมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา

"สุดยอด สุดยอด และ สุดยอดดดดด"




ขอฝาก"หนังสือรัก"ไว้กับผู้อ่านด้วยเน้อ กับ พ็อกเก็ตบุ้คเล่มแรก ที ไม่ใช่ หนังสือวิจารณ์หนัง แต่คือการหยิบยกความรักและความสัมพันธ์ในภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวเองและคนรอบข้าง ได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม



(วางขายตามร้านหนังสือทั่วไป หาไม่เจอถามจากพนักงานขายได้เลยจ้า)






ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก >> หน้าสารบัญ

ชวนคลิก ชวนคุยกับเจ้าของ Blog ที่ --> หน้าแรก

รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง





ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป



Create Date : 09 เมษายน 2550
Last Update : 10 เมษายน 2550 0:25:07 น.
Counter : 8266 Pageviews.

25 comments
สวัสดีปีใหม่ Rain_sk
(1 ม.ค. 2567 21:38:33 น.)
๏ ... รามคำแหง แรงคำหาม ... ๏ นกโก๊ก
(2 ม.ค. 2567 14:22:51 น.)
The Last Thing on My Mind - Tom Paxton ... ความหมาย tuk-tuk@korat
(1 ม.ค. 2567 14:50:49 น.)
สวัสดีปีใหม่ Rain_sk
(1 ม.ค. 2567 21:38:33 น.)
  
Sunshine

เห็นด้วยกับ Review ครับ

ข้อเสียอีกอย่าง คือ ขาดวิทยาศาตร์ หรือ เทคโนโลยีเท่ห์ๆ หนังไม่ปูพื้นว่า สร้างยาน และระเบิดมายากลำบากยังไง มนุษยชาติร่วมแรงร่วมใจกันขนาดไหน
คนเก่งๆ ถูกรวบรวมมายังไง

NASA และ สถานี Houston บนภาคพื้นดินนั้น เป็นอะไรที่เจ๋งมากๆ ในหนัง Sci-Fi อวกาศ แต่เรื่องนี้ไม่พูดถึงเลย

หากทำหนัง Sci-Fi ก็ควรใส่ Science และ Technology เข้ามาให้มากกว่านี้ คอหนัง Sci-Fi ชื่นชอบตรงนี้กันทุกคน โม้มาได้เลย เราอยากดู

เรื่องนี้ ผมว่าเป็น Sci-Fi เกือบดี ครับ แต่ไม่ถือว่าสอบผ่าน
แถมในด้าน Drama และ Horror ก็ไม่ผ่านเหมือนกัน

Plot เรื่องดีๆ แบบนี้ ถ้าเขียนเป็นหนังสือ เพิ่มเติมส่วนที่ขาดไป ทั้งเรื่อง Science เรื่องปูพื้นฐานตัวละคร เรื่องวิกฤติของโลก เรื่องความร่วมแรงร่วมใจ ความหวังของมวลมนุษย์ ก็น่าจะเป็นหนังสือที่ดีอีกเรื่องหนึ่ง

หากใครจะลอก ID4 ,Armagedon บ้าง แล้วทำออกเจ๋ง ผมจะชื่นชมด้วยซ้ำ

ปล. ข้างบน คุณเขียนชื่อ Event Horizon ผิดเป็น Evan Horizon ครับ
โดย: Shrink IP: 125.25.76.93 วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:2:25:44 น.
  
^
^
ขอบคุณคร้าบ เข้าไปแก้เรียบร้อยแล้น
โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:2:41:00 น.
  
เห็นหนังตัวอย่างไปนิดหน่อย คิดว่ามันคงเหมือนหนังแนวนี้เรื่องอื่นๆ เลยคิดว่า ไม่ต้องดูหรอก รู้บทสรุปของเรื่องแล้ว 555


โดย: หัวใจสีชมพู วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:9:47:47 น.
  
ไปดูมาแล้ว
แต่ผมไม่เคลียร์ กับสถานะของลูกเรือคนที่ 5
เขายังเป็นมนุษย์อยู่? หรือเป็นผี? หรือเป็นอะไร?
เขาเข้ามาในยานIcarus2 ได้ไง?
ที่เนื้อแขนเขาถูกฉีกออก แสดงว่าแดนนี่ ต้องการสื่อว่าเขาเป็นมนุษย์(ที่เสียสติ)ใช่หรือไม่?
ขอบคุณล่วงหน้าสําหรับคําตอบครับ

โดย: Tristan Ludlow IP: 58.9.195.10 วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:10:29:17 น.
  
จาก Teaser แรกที่ผมโหลดมาดูจากในเนท ทำให้ผมรู้สึกตื่นตามากๆ คิดว่าเรื่องนี้ห้ามพลาดแน่ๆครับ แต่พอได้ไปดูจริงๆแล้ว กลับเฉยๆมากกว่าครับ อาจจะเพราะคาดหวังมากไปด้วย เลยไม่ประทับใจเท่าไหร่ แต่ฉากนึงที่ผมชอบคือ ฉากที่กัปตันกะพระเอก ออกไปซ่อมยานข้างนอกครับ ภาพสวยดีแล้วก็ตื่นเต้นใช้ได้ครับ นอกนั้นเฉยๆ ไม่เร้าใจเท่าไหร่ครับ
โดย: Woodyhanks IP: 203.146.244.49 วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:10:30:42 น.
  
เห็นด้วยกับพี่ผมฯ เกือบทุกอย่างครับ
โดยเฉพาะฉากเหยียบยานอิคารัส 1
ผมหลอนมากๆ ไอ้ตอนที่ตัดแว้บๆอะ

เสียอย่างก็ตรงที่พอรู้แล้วว่าไอ้แว้บๆคืออะไร
มันทำให้เดานักบินคนที่ 5 ได้ง่ายมากๆ



***คุยกับคุณ Tristan Ludlow*** (และสปอยล์เด็ดๆ)

ตัวละครนักบินคนที่ 5 นั้นเป็นกัปตันของยาน 1
ผู้ที่เกิดความเชื่อว่า พระอาทิตย์ดับและมนุษยชาติสิ้นสูญนี้คือลิขิตของพระเจ้า คนตัวเล็กๆอย่างเราจึงไม่ควรฝ่าฝืน
เขาจึงทำให้ระบบหล่อเย็นในอิคารัส 1 เจ๊งจนทำภารกิจไม่สำเร็จ และคนอื่นตายจนเหลือแต่ตัวเขาเอง
ส่วนเหตุผลของการมีความเชื่อเช่นนั้น ไม่อาจทราบได้ว่าเป็นเพราะพื้นฐานทางความเชื่อลัทธิศาสนาดั้งเดิมหรือเปล่า
หรือว่าเกิดปัญหาใดๆขึ้นมากับระบบอะไรซักอย่าง ทำให้เขาเกิดนิมิตขึ้นมา (ซะงั้น 55+)
โดย: nanoguy วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:10:49:38 น.
  
กำลังจะไปดูเลยต้องแวะเข้ามาอ่านก่อน
วิจารณ์ได้น่าสนใจมากค่ะ

โดย: หอมกร วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:11:27:57 น.
  
กำลังจะไปดูวันนี้ครับ
ชอบที่คุณเขียนครับ :)
โดย: angel of music IP: 203.156.6.22 วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:13:20:29 น.
  
อืมมม เห็นด้วยคุณ ผมฯ เหมือนกันครับ ชอบเกือบทั้งเรื่องยกเว้นตอนนักบินคนที่ 5 โผล่มาแหละ มันเปลี่ยนจากหนังไซไฟ & ไซโค กลายเป็นหนังของเวส คราเวน ได้ไงก้อไม่รู้ แต่โดยรวมแล้วสอบผ่านนะครับ มันให้ความรู้สึกเหมือนดู 28 Days Later (หนังซอมบี้ที่ดีสุดในความคิดผม) นิดๆ ตรงเรื่องความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ มันน่ากลัวกว่าดวงอาทิตย์ซะอีก...
โดย: ผู้ก่อการร้ายทางความคิด IP: 203.148.162.148 วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:19:37:59 น.
  
เรื่องนี้ดีมากครับ คีนู แสดงได้เยี่ยมมากครับ
โดย: HIcarus IP: 203.107.229.140 วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:21:47:41 น.
  
ผิดหวังครับ นับว่าเสียดายเงิน น่าจะมาอ่าน review ก่อน ถ้าชอบหนัง sci-fi ตัวจิง ข้ามหนังนี้ไปเถอะ หรือรอไปโหลดในเวปบิตดีกว่า แรกๆก็ลุ้นดีอยู่แต่หลังๆนี่... เป็นแนวหลอนๆไปซะงั้น ผมชอบอามาเกดอน กับ เดอะร์คอร์มากกว่า เสมอต้นเสมอปลายเรื่อง sci-fi ผมว่าคงแล้วแต่คนชอบ แนวหนังอ่ะนะ สรุปแล้ว ตายหมด แต่ช่วยโลกได้ ก็ยังโอเค แต่ไม่แฮ้ปปี้เอ็นดิ้งเท่าไร
โดย: nquantum IP: 124.120.182.70 วันที่: 11 เมษายน 2550 เวลา:1:57:14 น.
  
เฉย ๆ กับหนังเรื่องนี้ ไม่ทำให้เรารู้สึกผูกพันกับตัวละครเท่าไหร่ ตอนลงจอดที่ยาน Icarus I เป็นต้นมา ตกใจนึกว่าเรื่องจะไปคล้ายกับ event horizon ที่มีผีโผล่ เพราะดูเรื่องนั้นแล้วกลัวมาก
โดย: ท่าเรือรามา IP: 202.44.72.3 วันที่: 11 เมษายน 2550 เวลา:18:01:01 น.
  
ยางม่ายล่ายลูเลยฮะ ไอ่ที่จริงก็อยากดูอยู่นะ แต่อ่าน review คุณ ผมฯ แล้ว ก็รอแผ่นดีก่าเนอะ
โดย: วันนี้อยากสวย IP: 124.157.210.252 วันที่: 12 เมษายน 2550 เวลา:21:53:12 น.
  
ไปรอดูแต่รอบไม่รอเรา..เลยอด
ยังไงก็คงดู เพราะเป็นคนบ้าไซไฟ...
และน่าจะดูในโรง บรรยากาศคงต่างไปถ้าดูในแผ่น
โดย: หมีบางกอก (Bkkbear ) วันที่: 14 เมษายน 2550 เวลา:12:36:18 น.
  
ผมชอบบรรยากาศหลาย ๆ อย่างของหนังเรื่องนี้มาก เลยนะ ทั้งเพลงประกอบ ทั้งความรู้สึกของความเป็นอวกาศ ถ้าใครถามผม ๆ ก็ยังจะแนะนำให้ไปดูกันให้ได้อยู่ดี
โดย: Killy IP: 125.25.51.138 วันที่: 15 เมษายน 2550 เวลา:1:06:45 น.
  
เสียดายน่ะนี่ที่ไม่ได้มาอ่านอันนี้ของคุณซะก่อนไปดู Sunshine เมื่อคืน ดูกันอยู่สองคนกับสามี แทบหลับไปเลยช่วงแรก

คือ จริงๆ หนังดูน่าสนใจ แอบคาดหวัวก่อนดูว่าจะดีกว่านี้ แต่ผิดหวังเล็กๆ ค่ะ เพราะตามที่ จขกท.พูดนี่แหละค่ะ เหมือนมาตายตอนจบอ่ะ คนดูพอเดาทางหนังได้ มันเลย..แป๋วอ่ะค่ะ
โดย: n_nacha IP: 203.41.12.164 วันที่: 16 เมษายน 2550 เวลา:12:53:06 น.
  
ดูเพราะ Boyle เหมือนกันครับ
โดย: Porr IP: 58.8.10.49 วันที่: 16 เมษายน 2550 เวลา:22:50:35 น.
  
\\(O*v*O)//

ผมเห็นหลายเม้นท์เขียนทำนองว่า "ดีนะที่ได้มาอ่านก่อน จะได้ไม่ไปดู"

อ่านแล้วงงเต้กอ่ะครับ เพราะผมเข้าใจว่า จขบ แกเขียนว่าหนังเรื่องนี้ ถึงจะไม่สุดยอด แต่มันก็ OK ออกจะน่าดูไม่ใช่เหรอครับ

สำหรับผม หนังเรื่องนี้อาจไม่ถึงกับเป็นหนังในดวงใจ แต่ผมชอบอ่ะครับ

ใครไม่ชอบรบกวนลองอ่าน Chapter 2 ดูนะครับ เผื่อจะโดนผมหลอกให้ชอบตาม ...5...5...5...

ส่วน Chapter 1 กับ Chapter 3 เหอๆ สาระโหรงเหรงครับ เน้นบันเทิงมากกว่า ผู้ปกครองควรพิจารณาครับ





Chapter 1 *** ก่อนเข้าโรง ***



ตอนแรกเดินผ่านหน้าโรงหนังเห็น poster หนังเรื่องนี้

แฟน : ดูมั้ย

ผม : ไม่อ่ะ ท่าจะเป็นหนังไซไฟ ห่วยๆ บ้า hero สละชีพทีละคน ตอนจบทำสำเร็จแต่ตายหมด ไม่ก็รอดมา 2 คือ พระเอกกับนางเอก

แฟน (ทำหน้างง) : ยังไม่ได้ดูเลย ดันเจือกพูดได้เป็นฉากๆ

ผม : ก็ดูกี่เรื่องๆ มันเป็นอย่างงี้ง่ะ



ผมกับแฟนเลยสรุปว่าตกลงวันนี้จะดู "แฝด"

ด้วยความที่เป็นแฟนกันมานานเล้ว ไม่ได้เพิ่งจีบกัน ผมเลยให้แฟนต่อคิวซื้อตั๋ว ส่วนตัวเองไปฉี่ ..5..5..5..

ฉี่เสร็จเดินผ่าน poster หนังที่ติดหน้าห้องน้ำ เลยแอบอู้ (กลัวว่าแฟนจะให้ยืนต่อคิวแทน) แวะเข้าไปดูชื่อดาราซะหน่อย

เหมือนได้รับ sign จากพระเจ้า ตาดันเหลือบไปเห็นชื่อผู้กำกับซะงั้น

พระจ๊อดเจ้า !!! นี่มันหนังของ "แดนนี่ บอยล์" นี่หว่า



ว่าแล้วก็รีบวิ่งปรู๊ด ตรงไปยังที่ขายตั๋ว เห็นแฟนกำลังอยู่ที่ช่องขายตั๋วพอดี เลยรีบแหกปากตะโกนไปว่า

ผม : เฮ้ย !!! เปลี่ยนๆ จะดู Sunshine อ่ะ

แฟน (ทำหน้าฉุนๆ) : ไหนบอกหนังห่วย ไม่ดูไง

ผม : มันหนัง แดนนี่ บอยล์

แฟน (ทำหน้างงๆ) : ใคร ???

ผม (สั้นๆ คำเดียว) : 28 Days Later

แฟน (หันกลับไปที่ช่องขายตั๋ว) : พี่คะ เปลี่ยนเป็นดู Sunshine ค่ะ

5..5..5..

เหอๆ ผู้หญิงอะไร ติดใจผู้กำกับหนังซอมบี้





Chapter 2 *** ออกจากโรง ***



สิ่งที่ไม่ชอบสุดๆ : Plot มาตรฐาน

ไม่รู้ทำไม เรื่องนี้กลายเป็นหนังหักมุมสำหรับผมไปซะงั้น

คือดันหลอกตัวเองตลอดเรื่องอะครับ ว่าน่าจะมีอะไรแปลกๆ โผล่มามั่ง

อย่างตอนนักบินคนที่ 5 โผล่มา ผมก็นึกว่าจะมีอะไรคล้ายๆ กับ Event Horizon (หนังที่ผมชอบ poster ที่สุด) แต่ก็ดันกลายเป็นไม่มีไรไปซะได้

สุดท้าย เดินออกจากโรงแบบงงๆ + ผิดหวังเล็กๆ ครับ ว่าทำไมมันถึงได้กลายเป็นหนัง plot มาตรฐานไปซะทั้งเรื่อง



สิ่งที่เกลียดสุดๆ : Sub-Title สีขาว ในฉากที่พื้นหลังเป็นพระอาทิตย์

ไม่ใช่แค่ไม่ชอบครับ ย้ำว่าเกลียดครับ เกลียดมากๆ ถึงเกลียดที่สุดครับ

ดูหนังไม่รู้เรื่องเพราะหนังมัน Art เกินไป หรือบทมันซับซ้อนเกินไปนี่ยังพอทนครับ

แต่ดูไม่รู้เรื่องเพราะอ่าน Sub-Title ไม่เห็นนี่โคตรหงุดหงิดครับ

คนชอบดูหนังในประเทศนี้ ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษไปซะทุกคนนะครับ ผมดูหนังมาเป็นพันๆ เรื่อง ยังฟังภาษาอังกฤษไม่ออกซักคำ

รบกวน จขบ ด้วยนะครับ ช่วยบอกโรงหนังทั่วประเทศไทย ให้ใช้ Sub-Title ที่มีตัวหนังสือ "สีขาวขอบดำ" หรือ "สีดำขอบขาว" ทีได้ปะครับ



สิ่งที่ชอบ : เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ แดนนี่ บอยล์ (หรือส่วนหนึ่งอาจมาจากฝีมือ อเล็กซ์ การ์แลนด์) โปรยไว้ในหนัง

ถึงเรื่องนี้ Plot จะแย่ แต่เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยนี่ต้องบอกว่าได้มาตรฐานโรงงานผลิตหนัง ยี่ห้อ แดนนี่ บอยล์ ครับ

ต้องบอกว่าไม่รู้กี่ฉากต่อกี่ฉาก ที่ถ้าไม่ใช่อีตานี่เป็นคนทำเนี่ย รับรองว่าเรื่องนี้ผมได้หลับคาโรงแน่ๆ

ขอเอาฉากชอบๆ มา present ซัก 2-3 ฉากนะครับ (Spoil Alert 1000%)



1. โหวดเป็น

เอาฉากโหวดเป็นก่อน คือ ฉากที่จะโหวดว่าควรจะไปช่วย Icarus I กันดีมั้ย

ผมชอบมากๆ อ่ะครับ กับสิ่งที่อีตาหมอโล้นล่ำบึ๊กขวัญใจคนพันธุ์ Y นั่นพูดว่า

"นี่ไม่ใช่ประชาธิปไตย เราเป็นนักวิทยาศาสตร์ เราต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ตัดสินใจ"

เหอๆ โลกที่พัฒนาไปจนถึงขั้นที่ส่งยานไปดวงอาทิตย์ได้แล้ว ยังเถียงกันเรื่อง Democracy กับ Aristocracy อยู่เลย นี่มันปัญหาโลกแตกจริงๆ


ที่ตลกกว่านั้น คือ หลังจากผู้เชี่ยวชาญใช้เทคโนโลยีขั้นสูงตัดสินแล้ว เจือกได้คำตอบว่า 50:50

นั่นหมายความว่าโยนหัวก้อยเอาดีกว่าอ่ะ ..5..5..5..


จาก "การตัดสินใจโดยเสียงส่วนใหญ่" ไปสู่ "การโยนภาระให้ผู้เชี่ยวชาญ" สุดท้าย "ผู้เชี่ยวชาญกลับตัดสินใจโดยใช้สามัญสำนึก"

5...5...5... ขำอ่ะครับ


คำถามผมคือว่า แล้วในเมื่ออีตานักฟิสิกส์นั่นมันก็รู้อยู่แก่ใจ รวมทั้งในเมื่อไอ้เพื่อนที่ไปเฝ้ารอผลอยู่หน้าห้องมันก็รับรู้เช่นกันว่า

อีตานักฟิสิกส์ไม่ได้ใช้เทคนิคทางวิทยาศาสตร์ตัดสิน แต่ดันใช้สามัญสำนึกในการตัดสินใจ

แล้วทำไมไม่มีใครสักคน ที่จะคิดได้ว่า ควรหวนกลับมาใช้สามัญสำนึกของคน 8 คนในการตัดสินมากกว่าสามัญสำนึกของคนๆ เดียว

อย่าบอกว่าบทหนังมันพลาดนะครับ ใครพูดงี้ผมขอถามหน่อยว่า ตอนอยู่ในโรง ใครตั้งคำถามเหมือนผมมั่ง ยกมือให้เห็นหน่อยดิ๊

มนุษย์เราเวลาไปตามตรรกะอะไร มักเผลอหลุด และหาทางกลับไปที่จุดเริ่มต้นไม่ถูกเสมอ

มนุษย์เราเวลาโยนภาระให้ใครตัดสินใจแล้ว มักไม่ค่อย take responsibility กลับมาเป็นของตัวเอง



2. โหวดตาย

คราวนี้มาถึงฉากโหวดตายมั่ง คือ ฉากที่ 4 คนล้อมวงเล่นรัมมี่ เอ้ย !!! ล้อมวงโหวดกันว่าควรจะฆ่าเฮียตี๋ดีมั้ย

ฉากนี้ฉากเดียว ใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที แดนนี่ บอยล์ ทำออกมามีคุณค่าและคุ้มตังค์กว่านั่งดูหนังหักมุมห่วยๆ ทั้งเรื่อง

ฉากนี้ แดนนี่ บอยล์ หักอารมณ์ผมไม่รู้กี่ที จนผมคิดว่าอีตานี่มันต้องชอบกินกล้วยหักมุก


ก่อนอื่น ถ้าใครลืมสังเกต ไอ้หล่อหัวเกรียนเป็นคนเสนอว่า โหวดตายครั้งนี้ ไม่ใช่โหวดเอาเสียงส่วนใหญ่ แต่ต้องใช้ฉันทามติ

เหอๆ ทีเรื่องว่าจะไปช่วยคนมั้ยนี่ ยอมรับได้กับการโยนความรับผิดชอบให้คนๆ เดียวตัดสินใจ ที่เรื่องว่าจะฆ่าคนมั้ย เจือกทำมาเป็นขอฉันทามติ

คนหนอคน ถ้ายังไม่ชัวร์ว่าจะออกมาร้ายหรือดี กรูโยนให้เมิงตัดสินใจ พลาดขึ้นมากรูก็ด่า แต่ถ้าชัวร์ว่าเป็นเรื่องเลวๆ นี่ พวกเมิงทุกตัวต้องมาร่วมรับผิดชอบกับกรู


ไอ้หล่อหัวเกรียน กับ ป้าเหี่ยว มิเชล โย่ ไม่มีปัญหา ทั้งคู่แสดงเจตนาว่าอยากฆ่าเฮียตี๋

ต่อมาพระเอกของเรา ผู้เคยตัดสินใจให้เบี่ยงภารกิจไปช่วยลูกเรือในยาน Icarus I ก็ตีไพ่ "ตาย" ตามมาเป็นขาที่ 3 ว่าให้ฆ่าเพื่อน

(ไม่เป็นไร บางคนอาจเถียงได้ว่า จริงๆ แล้ว อีตานี่มันคงอยากไปเอาลูกระเบิดอีกลูกมากกว่าไปช่วยคน)


สถานการณ์มากดดันตรงที่ น้องหนูผู้นุ่มนวลน่ารัก หน้าตานางเอ๊กนางเอกของเรา ดันตัดสินใจโหวดไม่ให้ฆ่า

เป็นอันว่า ตรรกะของฉันทามติพังทลาย


ถึงตรงนี้ในใจไอ้หล่อหัวเกรียนคงคิดว่า

"กำ... อีนี่หนิ กรูอุตส่าห์จะแชร์ความผิดให้เมิง เมิงเจือกไม่รับซะงั้น ได้ๆ งั้นกรูฆ่ามันเอง"

เหอๆ แล้วถ้าเป็นอย่างงี้ มันจะต้องมานั่งตั้งวงรัมมี่ครบ 4 ขา กันทำไมฟระ


สิ่งที่ผมชอบต่อมาคือ พอไอ้หล่อหัวเกรียนจะเดินไปฆ่าเฮียตี๋ ยัยน้องหนูนี่ดันบอกว่า "อย่าให้เค้าทรมานนะ"

อย่าหาว่าผมจิตใจหยาบช้าเลยนะครับ ฉากนี้ ไม่รู้ใครรู้สึกไง แต่ผมขำอ่ะครับ

ไม่รู้ในใจไอ้หล่อหัวเกรียนมันคิดไง แต่ผมคิดว่า

"อีนี่จะดัดจริตไปถึงไหนฟระ ทำเป็นไม่โหวด ทำเป็นสงสาร แต่พอเค้าจะฆ่าจริงๆ เอ็งก็นั่งมองเฉยๆ"


สุดท้ายสิ่งที่อยู่ในใจทั้ง 4 คน ก็ไม่ต่างอะไรกันเลยครับ คือ

"ไอ้ตี๋ มันพะงาบๆ มันไร้ประโยชน์ มันทำผิดพลาด มันทำเพื่อนตาย มันเคยแสดงเจตนาฆ่าตัวตาย ถ้ามีใครซักคนสมควรตาย จึงเป็นมัน"

สุดท้ายสิ่งที่อยู่ในใจมนุษย์ทุกคนในโลก ก็คือ

"กรูมีมนุษยธรรม กรูชอบช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ แต่ถ้าให้กรูเลือกว่าใครซักคนต้องตาย คนๆ นั้นต้องไม่ใช่กรู"


แดนนี่ บอยล์ ยังเล่นไม่เลิกครับ

นั่นคือฉากต่อมา พอไอ้หล่อหัวเกรียนเดินไปจะฆ่าเฮียตี๋

เฮียตี๋ แกเล่นหายไปจากเตียงซะงั้น


เหอๆ กดดันโครตๆ

ในหัวผมเริ่มคิด เฮียตี๋มันรู้ตัวป่าววะ ทีนี้ใครจะตายวะ


ยังคิดไม่ทันจบ แดนนี่ บอยล์ ก็ชิงเฉลยซะ

เฮียตี๋แกนั่งจมกองซอสมะเขือเทศ เด้ดสมอเร่ ไปเรียบร้อยแล้วอ่ะ


เหอๆ ทั้ง 4 คนมันคงคิดว่า

"กำ... กรูไม่น่าเผยสันดานดิบและด้านมืดในจิตใจออกมาในวงรัมมี่เลย"


ผมเข้าใจว่าประเด็นนี้จะจบแล้ว แต่ยัง...

อีตา แดนนี่ บอยล์ นี่เป็นพวกจิกไม่เลิกครับ

เพราะฉากต่อมาพี่แกเล่นเฉลยว่า สุดท้าย ด้านมืดที่ทุกคนเผยออกมาในวงรัมมี่ และความตายของเฮียตี๋ ไม่ได้ช่วยอะไรเลย

เพราะนักบินคนที่ 5 เจือกโผล่มาแย่งอากาศหายใจ


5...5...5... ตลกร้ายจริงๆ ชอบๆ เนียนโคดๆ

หลังจากฉากสั้นๆ ฉากนี้ผ่านไป ผมไม่รู้จะพูดไง บอกได้คำเดียวว่า

"ไอ้ แดนนี่ บอยล์ เอ็งทำแสบมาก ข้าจะจองล้างจองผลาญ ตามดูหนังที่เอ็งสร้างตลอดไป"



3. ประกายความหวังน้อยๆ ในความพินาศย่อยยับ (ต้นอ่อนแห่งชีวิตในกองขี้เถ้า)

ไม่รู้ใครรู้สึกอะไรกับฉากนี้บ้างรึเปล่า แต่ผมโคตรชอบอ่ะครับ

จริงๆ มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการดำเนินเรื่องเลย

แต่มันทำให้เห็นว่า แดนนี่ บอยล์ ละเอียดอ่อนเพียงพอที่จะโปรยแง่มุมดีๆ ไว้ในเรื่องเต็มไปหมด


ฉากนี้คือฉากที่ "ป้าเหี่ยว" มิเชล โย่ คุ้ยกองขี้เถ้า เจอ "ต้นอ่อน"

ต้นอ่อน ซึ่งเราอาจคิดต่อไปได้ว่า ถ้ามันได้รับการขยายพันธุ์ มันอาจสามารถผลิตออกซิเจนไว้ให้เพียงพอกับการหายใจในการเดินทางขากลับสู่โลก

มันช่วยจุดประกายความหวังน้อยๆ ในความพินาศย่อยยับ

มันคือ "ต้นอ่อนแห่งชีวิต"


ทันทีที่เห็นฉากนี้ ภาพประทับใจในหนังของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก หลายๆ ฉาก และหลายๆ เรื่อง ได้เดินขบวนพาเหรดกันเข้ามาในหัวผม

พาลให้ผมอยากวิ่งไปถาม แดนนี่ บอยล์ ว่า "เฮ้ย !!! ไอ้แดนนี่ เอ็งเป็น ยิว โรแมนติกนิยม ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ"

5...5...5...


แต่เปล่าครับ ฉากต่อมา แดนนี่ บอยล์ รีบปฏิเสธผมทันที ด้วยการ "เสียบจึ้กเข้าให้"

ถึงต้นอ่อนยังอยู่ แต่คนรดน้ำตาย ความหวังก็พลันต้องสูญสลายไปด้วย

ดีนะเนี่ยที่อีตาแดนนี่ มันไม่เหยียบย่ำหัวใจผม ด้วยการให้ไอ้บร้านั่นเหยียบต้นอ่อนให้ป่นปี้คาตรีนไปด้วย


เวลานั้น ภาพประทับใจในหัวผม จากฉากในหนังของ สปีลเบิร์ก ก็พลันสูญสลายไปทันที

และถูกแทนที่ด้วย ฉาก "น้องหนูเล่นว่าว" อันลือลั่น ในหนังเรื่อง All About Lily Chu Chu ของ ชุนจิ อิวาอิ

เหอๆ ฉากอุบาทว์ สร้างความหวังให้ตัวละครกับคนดู ให้รู้สึกว่าพบทางออกจากปัญหา ให้ดูเหมือนว่าจะได้รับการปลดปล่อยจากความกดดัน

แล้วกระชากมันลงนรกซะงั้น (ผู้กำกับ สะจายยยยยยยยยยยยยย........)


ฉากนี้เล่นเอาผมเปลี่ยนใจอยากวิ่งไปตบกะโหลกอีตา แดนนี่ บอยล์ แล้วถามมานว่า

"ไอ้แดนนี่ เอ็งทำงี้ได้ไงวะ เอ็งเจือกมาจุดประกายความหวังให้ข้าทามมาย..."

5...5...5... ชอบๆๆๆ เอาอีก เอาอีก





Chapter 3 *** ป่วน blog ***



โทดทีที่มาใช้พื้นที่ blog เพ้อเจ้อซะยาวเลยนะครับ

คือ ไม่รู้เป็นไรอ่ะครับ ผมรู้สึกว่า เล่นกระทู้ในห้องเฉลิมไทย แล้วมันไม่ค่อยหนุกเลยอ่ะครับ

จะให้ไปเปิด blog เอง ก็กลัวไม่มีคนเข้าไปอ่านอ่ะครับ

...5...5...5...



แค่จะมาบอก จขบ ว่า หลังจากที่ผมเคยเข้าไปป่วนตอน "ศึกมหาประลัยวัยทอง" แล้วเนี่ย

เรื่องนี้ จขบ เม้นท์ ได้ตรงใจผมมั่กๆ อ่ะครับ

โดยเฉพาะการอ้างอิงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากหนังเรื่องอื่นอ่ะครับ โดนใจผมทุกเรื่องเลยครับ

ทำเอาผมเริ่มอยากดู Children of men แล้วอ่ะดิครับ

เพราะ Gattaca นี่อยู่บนหิ้งบูชาบ้านผมเหมือนกันครับ

จะบอกว่าหลังจากดูเรื่อง Gattaca จบ ผมก็ตามดูตัวประกอบที่เล่นเป็น มอนโรว์ ตัวจริง มันมาเกือบทุกเรื่อง

ผมว่าหน้าตามันก็เหมือนเดิม ทำไมพอตอนหลังมันได้เล่นเป็นพระเอกหน่อย อยู่ๆ มันก็กลายเป็นผู้ชายที่เซ็กซี่ที่สุดในโลกไปได้ซะงั้น

ผมเลยสงสัยว่า ตกลงคนเรานี่ "ความหล่อทำให้ดัง" หรือ "ความดังทำให้หล่อ" กันแน่อ่ะครับ

...5...5...5...



แต่เอ่อ !!! ผมติดใจและไม่เห็นด้วยตรงนี้นิดนึงอ่ะครับ

(5..5..5.. จขบ เริ่มคิดว่า ไอ้บร้านี่มันไม่เห็นด้วยกะกรูอีกแล้ว)



คืองี้ครับ จขบ รู้ได้ไงอ่ะครับว่า

ไอ้แว้บๆ ที่ เดวิด ฟินเชอร์ แอบเอามาใส่ไว้ตอนฉากระเบิดตึกใน Fight Club นั่นมันเป็น "แบรดพิทท์ จูเนียร์"



คือ ดูจากสีและขนาดแล้ว ผมว่ามันเป็น "เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน จูเนียร์" นะครับ

5...5...5...

\\(O*v*O)//
โดย: ผมอยากแอบเข้าข้างหลังคุณ (I Love หมอหญิงซินปี) IP: 202.57.183.151 วันที่: 17 เมษายน 2550 เวลา:9:41:38 น.
  
ไปดูมาแล้ว
ไม่ได้คาคหวังอะไร เลยดูเพลิน แต่ในความธรรมดาก็ยังมีความไม่ธรรมดาอยู่นั่นแล

ขำคุณข้างบน ตลกดี
โดย: ohแม่เจ้า IP: 58.8.44.243 วันที่: 17 เมษายน 2550 เวลา:23:46:21 น.
  
เรื่องนี้ผมก็ว่าจะดู รออยู่ในเวตติ้งลิสต์ เลยได้แต่อ่านแค่สแกนผ่านๆ ก่อน ... เด๋วถ้าได้ดู ไว้จะมาเขียนเพิ่มเติมนะครับผม
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 18 เมษายน 2550 เวลา:13:59:06 น.
  
ตามมาขำคุณ I Loveหมอชิต
โดย: redm@chine IP: 202.44.210.31 วันที่: 19 เมษายน 2550 เวลา:11:48:26 น.
  
แวะมาทักทายค่ะ
โดย: Shallow Grave วันที่: 16 มิถุนายน 2550 เวลา:13:33:18 น.
  
เช่าดูแน่นอนค่ะ

ตอนมันเข้าโรง ไปดูไม่ทัน ซิกๆ
โดย: กิ๊ก IP: 58.136.62.28 วันที่: 28 สิงหาคม 2550 เวลา:23:43:32 น.
  
Children of Men นี่สุดๆครับ บรรยายไม่ถูก ต้องไปดูถึงรู้
โดย: YoiChi IP: 58.8.44.80 วันที่: 28 กันยายน 2550 เวลา:20:25:52 น.
  
9/10 คะแนน

การเข้าไปดูเรื่องนี้ เพราะต้องการดูเอฟเฟค และฉากต่างๆ ของเรื่องซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในอวกาศ

สำหรับเนื้อเรื่อง ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมาก การที่ดูจบแล้วนั้น มันเป็นอะไรที่ "ดีเกินคาดมากๆ" มีหลายฉากที่เราลุ้นจนตัวโก่งไปกับตัวละครว่าเค้าจะรอดหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นหนังยังแฝงแนว Horror ไว้ด้วย ทำให้ครึ่งหลังของหนังเรื่องนี้ เป็นอะไรที่มันหยดและลุ้นระทึก สุดๆ

การที่ได้ดูในโรง จะได้อรรถรสในการชม มากกว่าดูแผ่นหลายเท่าเลยครับ

สุดยอด....

โดย: นักวิจารณ์สมัครเล่น IP: 125.24.181.222 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2550 เวลา:15:03:40 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Aorta.BlogGang.com

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]

บทความทั้งหมด