The Terminal, น่ารัก นุ่มนวล และสนุกกว่าที่คิด

....เมื่อวานนี้กับที่นั่งG7 สกาล่า รอบ18.45น. ตอนซื้อตั๋วกังวลมากว่าจะกลับไปดู The starไม่ทัน(ผมเองก็แฟนthe star คนนึงเหมือนกัน )
ความรู้สึกก่อนดู-- ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก อารมณ์อยากดูหนัง+เบื่อๆ ตอนซื้อตั๋วยังคิดเลยว่าอารมณ์แบบนี้ดูหนังactionน่าจะดีกว่า

ความรู้สึกหลังดูจบ --
......เรื่องราวของคนที่ต้องมาติดอยู่ในสนามบินโดยไม่มีกำหนด เพียงเพราะความผิดพลาดในเรื่องของระบบและเรื่องของระหว่างประเทศ เรื่องของการใช้ชีวิตอยู่แต่ในสนามบินนี้ไม่น่าจะมีอะไรที่จะใช้เวลาได้2ชม.เลย แต่ผมกลับพบว่า2ชั่วโมงกว่าของหนังเรื่องนี้สามารถ สร้างรอยยิ้ม ความอิ่มเอม และความอบอุ่นกับความรู้สึกของคนดูได้อย่างเต็มที่ ซึ่งทั้งนี้มันมาจากการลงตัวของบทที่มีสถานการณ์ให้เนื้อเรื่องเดินไปได้เรื่อยๆโดยมีจุดหมาย กับ การแสดงที่ยอดเยี่ยมของนักแสดงทุกคน และ การกำกับที่ยอดเยี่ยมทั้งภาพ(ฉากสนามบินที่ดูแล้วต้องทึ่ง/การเล่นมุมกล้องกับคนคนเดียว) เสียง(ทั้งดนตรีประกอบและเพลง เพราะและเข้ากับบรรยากาศของหนังได้ดี) ถ้าเทียบกับงานเบาๆก่อนหน้านี้คือ catch me if you can ผมชอบเรื่องนี้มากกว่ามากๆเลยทีเดียว และผมมีความสุขกับการติดสนามบินของทอม แฮงค์มากกว่าตอนที่เค้าติดเกาะ

ถัดจากนี้คือ Spoiler


สิ่งที่ชอบ
1.การแสดงของทุกคน....Tom Hanks นี่ไม่ต้องพูดถึง ผมว่าเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่เค้าเล่นได้ดีมาก เริ่มจากคนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ที่อยู่ในภาวะที่คาดไม่ถึง แต่การแสดงของเค้าทำให้คนดูรู้สึกไปได้ถึงแม้ว่าจะฟังเค้าพูดไม่รู้เรื่อง(เช่นฉากที่เจรจากับเจ้าหน้าที่ตอนแรกเรื่องจะเข้าnew york หรือฉากที่รู้ว่าประเทศตัวเองเกิดอะไรขึ้น) จนตัวละครเริ่มปรับตัวไปเรื่อยๆเราก็ผูกพันกับเค้าไปแล้วเหมือนว่าเราเป็นเพื่อนคนนึงของเค้าไปด้วย /ตัวละครที่เหลือ ก็เล่นกันได้น่ารักน่าชัง และสมจริง ไม่ดูโดดออกไป โดยเฉพาะบทของคู่ปรับของเค้า คือ สแตนลี่ ทุชชี่ ที่ถ้าoveractingไปอีกนิดก็คงจะหลุดจากโทนของเรื่องไปเลย / ซีต้าโจนส์ ..เรื่องนี้สวยธรรมชาติมากกก 39แล้วหรือเนี่ย / อีกคนหนึ่งที่ผมชอบมากเป็นพิเศษคือ ลุงถูพื้นคนอินเดีย ฉากหลังๆนี่ทั้งฮา(เป็นบริกร+นักแสดงกล)ทั้งซื้ง(ขวางเครื่องบิน)

2.มุข.....ผมคิดว่าหนังเรื่องเป็นหนังฝรั่งเรื่องหนึ่งมีมุขน่ารักๆ ค่อนข้างมากทีเดียวถ้าเทียบกับหนังฝรั่งทั่วไป และมุขที่ออกมาก็ค่อนข้างได้ผล ที่ผมชอบมาก เช่น มุขกล้องที่หลอกให้พระเอกของเราออกจากสนามบินและกล้องก็คอยหมุนตามจับดู จนพระเอกไปซ่อนอยู่ใต้กล้อง กับ ตอนพระเอกถูกกักตัวแล้วมองผ่านกล้อง เห็นทางทีวีแล้วตัวละครทุชชี่มองไปที่ทีวีพอดี

3.เรื่องของพระเอกกับนางเอก ถึงแม้ว่าหนังจะไม่ได้เน้นตรงจุดนี้มากนัก แต่ความโรแมนติกที่เกิดขึ้นก็ไม่ดูขัดเขิน + ประเด็นชีวิตคือการรอคอยที่พระเอกพูดกับนางเอกก็ทำผมน้ำตาซึมได้อีกแล้วเหมือนกัน Life is waiting เราทุกคนก็อยู่กับการรอคอยเหมือนๆกัน/ กับคนคนหนึ่งที่พูดกันคนละภาษา ดูแล้วไม่น่าจะเข้าใจภาษาอังกฤษได้ดี แต่กลับเข้าใจนางเอกได้ดีกว่าที่คิด /และ ก็ดีที่ให้ทั้งคู่ลงเอยแบบในหนัง ไม่ได้พยายามที่จะhappy endingจนเกินไปเพราะการลงเอยแบบนี้ทำให้รู้สึกดูแล้วสมจริงกว่าและรู้สึกดีด้วย

สิ่งที่ไม่ชอบ
1.ช่วงจบ...ผมรู้สึกมานานแล้วว่าspielbergทำได้หนังได้ดีตลอดเกือบทั้งเรื่อง แต่มักจะหมดพลังหรือมาตกม้าตายตอนจบ ที่เห็นได้ชัดคือ A.I.(จบตอนจมใต้น้ำก็น่าจะดีแล้ว มามีet อีกทำไมน้า) หรือ Catch me if you can เรื่องนึ้ก็เช่นกันพอหนังมาถึงช่วงจบแล้ว ผมกลับไม่รู้สึกดีเท่าช่วงที่ผ่านมา คือรู้สึกว่ามันน่าจะทำได้ดีกว่านี้ (แต่ให้ทำเองก็ทำไม่ได้หรอกนะครับ )

....ความรู้สึกของหนังเรื่องนี้คล้ายกับความรู้สึกตอนที่ได้ดู Matchstick men คือก่อนดูไม่หวังอะไรมาก แต่ตอนหนังจบ คือ รู้สึกอบอุ่น น่ารัก และมีความสุขที่ได้ดูหนัง เหมือนกับได้รดน้ำให้ชีวิตได้สดใสขึ้นอีกวัน

........ไม่อยากให้พลาดกันนะครับกับหนังเรื่องนี้ อย่าพลาดเพียงเพราะดูเนื้อเรื่องแล้วไม่น่ามีอะไรมาก เพราะคุณอาจจะพลาดหนังที่ดีมากๆอีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

5/9/2004

Create Date : 25 มกราคม 2548 Last Update : 28 มกราคม 2548 21:44:09 น. Counter : 3336 Pageviews.		12 comments
Share Tweet

	สวัสดีปีใหม่ Rain_sk (1 ม.ค. 2567 21:38:33 น.)		๏ ... รามคำแหง แรงคำหาม ... ๏ นกโก๊ก (2 ม.ค. 2567 14:22:51 น.)
	ทนายอ้วนจัดดอกไม้ - จัดดอกไม้ง่ายๆ – แจกันสวัสดีปีใหม่ 2567 - กุหลาบพวงสีชมพู - ขาว ทนายอ้วน (2 ม.ค. 2567 15:16:32 น.)		สวัสดีปีใหม่ Rain_sk (1 ม.ค. 2567 21:38:33 น.)