หนังที่ดัดแปลงจากชีวิตจริงมาเป็นเรื่องราวของตัวละครชื่อ Emily Rose นักศึกษามหาวิทยาลัยวัย 19 ปี ที่เสียชีวิตไม่นาน หลังทุกข์ทรมานจากการเห็นผีสิงคนรอบตัว เห็นวัตถุเคลื่อนไหวได้เอง ได้กลิ่นผิดปกติ ร่างกายเหมือนถูกควบคุมและพูดออกมาโดยไม่รู้ตัวด้วยภาษาโบราณ มีอาการเกร็งกระตุกของกล้ามเนื้อทั่วตัว
แพทย์ ... เชื่อว่าอาการของเธอ เป็นอาการของโรคลมชักชนิด Temporal lobe epilepsy โรคลมชักกลุ่มนี้มีความผิดปกติของคลื่นสมองในบริเวณสมองส่วน Temporal ทำให้อาการไม่ได้ออกมาในรูปแบบการชักเกร็งกระตุก แต่สามารถแสดงออกมาในรูปแบบของการเหม่อลอยไม่รู้ตัว พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง รวมไปถึง อาการทางจิต เช่น หูแว่ว ประสาทหลอน ซึ่งสอดคล้องไปกับอาการที่เหมือนกับเห็นผีหรือวิญญาณได้ ด้วยเหตุนี้การตายของเธอจึงทำให้มีการฟ้องบาทหลวงที่ทำพิธีไล่ผีโดยไม่พาเธอไปรักษาตามวิถีแพทย์ เพราะเชื่อว่าหากเธอรับการักษาเช่นกินยาต่อเนื่อง เธออาจต้องไม่เสียชีวิตเช่นนี้
พระ... เชื่อว่าอาการของเธอ เป็นอาการของการถูกผีสิง การกินยาไม่สามารถช่วยอะไรเธอได้ หลวงพ่อมัวร์ ถูกเชิญมาเพื่อทำพิธีไล่ผี และ ปฏิเสธการพาเธอไปรักษาที่โรงพยาบาล เขาเชื่อว่าเธอถูกปีศาจเข้าสิงโดยดูจาก ลักษณะอาการที่เธอแสดงออกว่ามีผีปีศาจอยู่ในตัว , การเปล่งเสียงที่แตกต่างมากกว่า 1 เสียง , การพูดจาภาษาโบราณที่คนสมัยนี้ไม่พูดกัน , การที่กินยาแล้วไม่ดีขึ้น ฯลฯ เขาทุ่มเททุกวิถีทางในการทำพิธีไล่ผีออกจากร่างเธอเพื่อช่วยชีวิตเธอ
ทนาย ... เชื่อว่าอาการของเธอ จะเป็นทางผ่านที่พาให้ตัวเองก้าวหน้าและโด่งดังมากขึ้น Erin Bruner ทนายความสาวที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อความก้าวหน้าทางวิชาชีพ จึงอาสารับว่าความให้กับ หลวงพ่อมัวร์ เพื่อเจรจาให้เขารับสารภาพ ก่อนที่จะพบว่า เรื่องราวใกล้ตัวของเธอเริ่มมีเหตุการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์ตามมา
...การต่อสู้ของ 2 ฟากฝั่งระหว่าง
ความเชื่อทางศาสนาที่นำทีมโดยหลวงพ่อมัวร์กับ Erin Bruner และ
ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ที่นำทีมโดยอัยการ เกิดขึ้นเป็นการต่อสู้บนชั้นศาล สลับกับการเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นของ Emily Rose ทำให้ The Exorcism of Emily Rose ไม่ใช่หนังผีเข้าพันธุ์แท้เหมือน The Exorcist แต่มันคือการตัดต่อพันธุกรรมหนังตระกูลผีเข้า ให้ออกมาเป็นส่วนผสมของหนัง Courtroom Drama กับ หนังผี เป็นรูปแบบหนังผีพันธุ์ผสมที่เราไม่ค่อยได้เห็นกัน เรื่องราวในหนังเล่าสลับกัน 2 เหตุการณ์ระหว่างการต่อสู้ในศาล และ การต่อสู้ของ Emily Rose
ในส่วนของการต่อสู้ในชั้นศาล เป็นเสมือนการต่อสู้ของความเชื่อสองฟากฝั่ง ในส่วนนี้การที่หนังได้นักแสดง 3 คน ที่เล่นได้พอฟัดพอเหวี่ยงกันระหว่าง Tom Wilkinson ในบทหลวงพ่อมัวร์ที่เชื่อหมดใจว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องราวของผีปีศาจ และ Campbell Scott ในบทอัยการที่ดูกะเอาอีกฝ่ายให้ตายคาศาล ทั้งสองคนเป็นตัวแทนของความเชื่อคนละฝั่งที่สู้กันได้เข้มข้น และ ยืนหยัดในสิ่งที่ตัวเองเป็นไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ต้นจนจบ ตรงข้ามกับ Laura Linney ในบททนายของหลวงพ่อมัวร์ ที่เริ่มต้นหวังเพียงใช้คดีนี้เป็นบันไดไต่เต้าไปสู่ความสำเร็จ แต่คดีนี้ค่อยๆเปลี่ยนแปลงทั้งความเชื่อ และ ความคิดในตัวเธอ จากคนที่เหมือนกับไม้หลักปักเลนพร้อมจะโอนเอนตามลมที่พัดมา จากคนที่ไม่เคยมีความเชื่อและศรัทธาในเรื่องใด แม้แต่กับวิชาชีพตัวเองที่เธอเองไม่ได้ทำงานเพื่อความถูกต้องแต่ทำเพื่อความสำเร็จ คดีนี้ทำให้เธอเริ่มที่จะปักหลักในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ปักหลักที่จะยืนหยัดในสิ่งที่ตัวเองศรัทธาไม่ได้เคลื่อนไหวไปตามกระแสลม
ในการต่อสู้ของ Emily Rose ที่เธอต้องเอาชนะอาการทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้นในตัว หากอาการนั้นคือ ผีเข้า สิ่งที่เธอต่อสู้ก็คือการต่อสู้กับปีศาจร้ายที่มาสิงสู่ในตัวเอง การต่อสู้ที่เธอแทบจะไม่มีสิทธิทัดทาน เพราะเธอเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งของทางศาสนาที่ให้เป็นตัวยืนยันการคงอยู่ของปีศาจ เธอมีสิทธิเลือกเพียงจะอยู่กับร่างนี้ต่อไปหรือจะทิ้งร่างนี้ไว้ให้กับปีศาจร้าย และ หากอาการนั้นคือ โรคลมชัก สิ่งที่เธอต้องสู้ก็คืออาการของโรคที่มันทรมานตัวเธอทั้งการหดเกร็งของกล้ามเนื้อที่ควบคุมไม่ได้ ทั้งอาการประสาทหลอนทางเสียง ทางภาพ และ ทางสัมผัส นักแสดงที่มารับบท Emily Rose เธอทำให้เราเชื่อโดยไม่สงสัยด้วยสีหน้าผวาดผวาสุดชีวิต บวกกับการออกแบบท่าทางผีเข้าของตัวละครทำออกมาได้น่ากลัวติดตา

ฉากที่เธอนอนหงิกหงายที่พื้นคงทำใครหลายคนผวาและจำไปนาน ไม่ว่ามันจะเป็นผีที่มาเข้าร่างหรือจะเป็นอาการของโรคลมชักที่ไม่ได้รับการรักษา เราเองคงจินตนาการได้ว่าถ้าเราเป็นเธอเราจะทุกข์ทรมานแสนสาหัสเพียงใด
... ทางฝั่งศาสนาอาจบอกว่าการคงอยู่ของเธอเพื่อให้มวลมนุษย์ได้รับรู้ว่า ปีศาจ ยังมีอยู่ในโลกใบนี้ แต่คนเรากลับลุ่มหลงกับกิเลสรอบกายจนลืมที่จะกลัวการกระทำผิด การยืนยันการมีอยู่จริงของกรณีผีเข้า Emily Rose ก็จะเป็น การทำให้คนกลับมาสนใจในศาสนามากยิ่งขึ้น และ ทางฝั่งวิทยาศาสตร์ก็ต้องการยืนยันความจำเป็นในการรักษาและต้องการให้คนที่มีอาการเหล่านี้ได้มารับการรักษามากกว่าจะไปทำพิธีส่วนตัว การนำสองฝ่ายนี้มาต่อสู้กันถือว่าเป็นประเด็นที่หมิ่นเหม่ เพราะหากหนังโอนเอียงไปทาง ความเชื่อของศาสนาว่าถูกต้อง ก็จะทำให้สังคมส่วนใหญ่ที่ผู้ป่วยมีอาการทางจิตไม่มาเข้ารับการรักษา เพราะเชื่อว่ามันไม่ใช่อาการเจ็บป่วย แต่ หากโอนเอียงไปทางความเชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่าถูกต้อง ก็จะกลายเป็นว่า พิธีกรรมทางศาสนาก็จะไม่มีความหมายใดๆอีกต่อไป เป็นข้อดีสำหรับเรื่องนี้ที่หนังเล่าเรื่องได้อย่างไม่โอนเอียงฝั่งใดมากจนเกินไปและทิ้งให้คนดูเป็นคนตัดสินใจเอง
... ในวัฒนธรรมของแต่ละถิ่นก็จะมีความเชื่อเฉพาะตัว บางแห่งเชื่อเรื่องผีเข้า บางแห่งเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ เมื่อมีคนเจ็บป่วยเกิดขึ้น ก็อาจจะถูกเข้าใจว่าเป็นเรื่องของทางไสยศาสตร์หรือทางวัฒนธรรมท้องถิ่น และ ส่งผลให้ผู้ป่วยจริงๆจำนวนหนึ่งไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม หากดึงดันต่อต้านความเชื่อ ก็อาจทำให้ญาติที่เป็นคนในท้องถิ่นไม่ให้ความร่วมมือในการยอมให้ผู้ป่วยมารักษา ดังนั้นหากต่างฝ่ายต่างมัวแต่จะเอาชนะกัน คนที่สูญเสียก็คือตัวคนไข้หรือคนประสบเคราะห์เอง เช่นเดียวกับในเรื่องที่ไม่ว่าจะผลการต่อสู้จะลงเอยเช่นไร สุดท้าย คนสูญเสียที่สุดก็คือ Emily Rose และ ครอบครัวของเธอ ซึ่งหากในตอนนั้นมีการจับมือกันทั้งทางศาสนาและทางการแพทย์ ก็อาจจะมีทางออกที่ดีกว่านี้สำหรับเธอ
คำพูดของตัวละครที่บอกว่า ความจริงเรื่องผีเข้า ความจริงเรื่องลมชัก ล้วนเป็นความจริงที่ไม่อาจพิสูจน์ได้ชัดเจนว่าอะไรเป็นสาเหตุการตายของเธอ แต่สิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ได้คือ ความรักและความเมตตาที่หลวงพ่อมีต่อ Emily Rose อย่างหมดใจ เป็นความจริงที่คนดูอย่างเราๆก็เหมือนลูกขุนที่นั่งอยู่ในหนัง คือ เราเองก็ไม่อาจแน่ใจไม่ว่าจะเป็นเรื่องผี หรือ เรื่องลมชัก ทั้งที่สองเรื่องนี้สามารถวัดได้ สามารถมีหลักฐานมายืนยันได้ แต่สิ่งเดียวที่เราเชื่อเหมือนกับตัวละครในเรื่องบอก คือ ความรักและความเมตตา ที่เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วไม่ต้องพิสูจน์เราก็รับรู้ได้ถ้วนทั่วกัน
สิ่งที่ชอบ
1. ผีเข้า(ศาล) ... หนังผีหลายเรื่องที่พยายามหาทางออกให้กับตัวเอง เช่น ผสมผสานให้เป็นผีดราม่า ซึ่งมันก็เริ่มเดินซ้ำรอยกันจนคอหนังผีเริ่มจะเอียน ในเรื่องนี้มีการพยายามฉีกรูปแบบหนังผีด้วยการผสมผสานเรื่องราวขึ้นโรงขึ้นศาล กลายเป็น Courtroom Drama + Horror ถือว่าน่าสนใจมาก และหนังก็ทำออกมาได้ดีทั้งสองส่วน ส่วนผีเข้าหนังทำได้น่าหวาดผวาและหลอน ส่วนขึ้นศาลหนังก็ทำออกมาได้เข้มข้นและหนักแน่น บวกกับการเล่าเรื่องที่ทำอย่างเป็นกลางไม่โอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง กลายเป็นการต่อสู้ของความเชื่อระหว่างฝั่งศาสนาและวิทยาศาสตร์ได้อย่างชวนติดตาม
2.ความหนักแน่นตลอดเรื่อง ... บรรยากาศตลอดเรื่องที่มีทั้งการแสดงที่หนักแน่น การเล่าเรื่องที่ไม่วอกแวก และ บรรยากาศที่จริงจัง ทำให้หนังเรื่องนี้มีดีมากกว่าการเป็นหนังผีทั่วๆไป
สิ่งที่ไม่ชอบ
1.ความหนักแน่นที่ลดลง ... ความตึงเครียดที่มีมาตลอดทั้งเรื่องกลับจบลงอย่างแผ่วปลาย ไม่ได้ผิดหวังที่ผลลัพธ์ในการคลี่คลายคดี แต่หนังไม่สามารถทำให้ไคลแมกซ์ตอนท้ายให้เข้มข้นหนักแน่นเหมือนช่วงเวลาก่อนหน้านั้น เป็นการจบลงอย่างหงอยๆ
สรุป ... เป็นหนังผีรูปแบบใหม่ ที่ไม่ได้น่ากลัวแบบผีหลอก แต่เป็นความตึงเครียดกดดันจากอาการผีเข้า ทำให้ตื่นเต้นระหว่างดูเป็นช่วงๆ มีฉากให้ตกใจเป็นพักๆ ไม่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบหนังประเภทขึ้นโรงขึ้นศาล เพราะหนังมีฉากพูดจาว่าความกันมากพอสมควร
ความเห็นของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป
ติดตามบทความใหม่ๆ หรือ บทความน่าสนใจ หรือ เริ่มต้นอ่านBlogนี้มีข้อสงสัย คลิกไปเริ่มต้นที่ --> หน้าแรก
รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง
จะเข้ามาอ่านบอ่ยๆนะคะ