.หนังซูเปอร์ฮีโร่ยุคหลังๆ พยายามที่จะใส่ความเป็นมนุษย์และจริงจังในโลกของตัวละครมากขึ้นไม่ว่าจะเป็น X-Men/Hulk/Spiderman และดูเหมือนนักวิจารณ์หรือคนดูก็จะตอบรับในเชิงบวกหากผู้สร้างใส่ความจริงจังและดราม่าเข้าไป การเดินหน้าเข้าสู่โลกของผู้ใหญ่มากขึ้นนี้ทำให้คนดูกลุ่มเด็กก็ลดน้อยถอยลงไปด้วย เช่น Hulkไม่ใช่หนังที่เด็กส่วนใหญ่จะดูแล้วสนุก จนเหมือนกับจะกลายเป็นค่านิยมว่าการที่หนังซูเปอร์ฮีโร่จะเป็นหนังดีได้นั้นต้องเดินตามสูตรข้างต้น เมื่อมาถึงFantastic Fourหนังเลือกที่จะเดินเส้นทางตรงกันข้าม คือ หนังขยับเข้าสู่โลกของเด็กมากขึ้นและพิสูจน์ให้เห็นว่า ความเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ดีไม่ได้หมายถึง มีความเป็นดราม่า มีเนื้อหนัง มีด้านมืด แต่มันอยู่ที่ว่าผู้สร้างเข้าใจสิ่งที่ตัวเองทำมากน้อยแค่ไหน หนังที่สนุกแบบเด็กๆก็สามารถเป็นหนังที่ดีได้และนั่นคือ Fantastic Four
......เมื่อคนห้าคนถูกเปลี่ยนแปลงจากรังสีจากนอกโลกทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางDNAและตามมาด้วยการเปลี่ยนแปลงของร่างกายจนเกิดความสามารถพิเศษที่หลากหลาย ความหลากหลายนั้นทำให้เกิดการตอบสนองที่แตกต่างเช่นกัน บางคนใช้มันเพื่อตอบสนองตัณหาความต้องการของตัวเอง บางคนชอบที่จะมีและอยากที่จะเด่นดัง บางคนยอมรับในขณะที่บางคนรังเกียจ ทุกตัวละครจึงต้องเรียนรู้ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงและต่อสู้เพื่อเอาชนะความชั่วร้าย ในท้ายที่สุดไม่เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายแต่ความคิดจิตใจของพวกเขาก็ได้พัฒนารู้จักตัวเองมากขึ้นเช่นกัน
...
The Thing เป็น คาแรคเตอร์ที่น่าสนใจที่สุดในเรื่อง เป็นตัวอย่างที่ดีเห็นได้ชัดว่าการมีความลึกในบทแม้เพียงน้อยนิดมันก็สามารถสร้างความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด(ถ้านำไปเทียบกับ Invisible Woman) เมื่อชายคนหนึ่งที่เคยมีครอบครัวมีคนรัก ต้องมาเจอกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพร่างกายจนกลายเป็นความสามารถพิเศษ แต่แท้จริงแล้วมันก็เป็น อาการป่วย อย่างหนึ่งตามที่ตัวละครในเรื่องบอก การเปลี่ยนแปลงทางกายวิภาคของเขาทำให้เขาต้องสูญเสียทุกสิ่งที่เคยมีในชีวิต และมันทำให้ชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนแปลงไปในอีกเส้นทาง นั่นคือโลกของFantastic4
......แต่หากลองมองย้อนกลับมาในโลกของความจริง หากเราต้องเจ็บป่วยที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเช่นโรคร้ายที่รูปลักษณ์ตัวเองต้องเปลี่ยนแปลงและตามมาด้วยการสูญเสียสิ่งรอบตัวเช่น The Thing เราจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร หรือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตในรูปแบบอื่นๆเช่น เราอาจมีรูปร่างหน้าตาเปลี่ยนไป อ้วนขึ้น อายุมากขึ้น มีท่ออาหารต่อออกมาจากท้อง เป็นอัมพาตอัมพฤกษ์ เราอาจประสบความล้มเหลวตกงานหรือสอบตก ฯลฯทั้งหลายทั้งปวงนี้เป็นสิ่งที่มนุษย์หลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นความจริงที่หลายคนอาจไม่ยอมรับตัวเราแต่สิ่งที่สำคัญคงเป็นดังตัวละครหนึ่งในเรื่องบอก คือ ความแตกต่างไม่ใช่สิ่งน่ารังเกียจ ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เราด้อยกว่าคนอื่น แต่เรามักจะต้องการมองหาการยอมรับจากคนอื่นโดยที่ตัวเราเองกลับไม่ยอมรับตัวเราที่เป็นอยู่ นั่นทำให้ ชีวิตของเราไม่สามารถที่จะมีความสุขหรือปรับตัวเองได้เลยเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างไปจากเดิม เพราะตัวเราไม่เคยยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นสิ่งที่ตัวเองมีแต่ไปยึดติดกับอดีตที่ไม่มีวันย้อนกลับมาทำให้วันข้างหน้าไม่เคยเดินมาถึงเป็นแค่การก้าวเดินย่ำอยู่ในวันเดิมๆ
....คาแรคเตอร์ที่เด่นไม่แพ้กันก็ไม่พ้น
The Human Torch ที่ Chris Evans เล่นบทนี้ได้เหมาะเจาะดีเหลือเกิน เรียกได้ว่าแม้ต้องมาแบ่งความเด่นกับอีกหลายตัวละครแต่ก็ยังเด่นกว่าบทเอกในเรื่อง
Cellular ความเป็นวัยรุ่น ความใจร้อน ยียวนกวนประสาทเป็นภาพลักษณ์ของไฟได้ดี ยิ่งตัวละครที่มีความเด่นในตัวเองอยู่แล้วการได้ความสามารถและเสน่ห์ของตัวนักแสดงเองยิ่งเพิ่มความมีสีสันมีชีวิตชีวาให้กับหนังได้มากยิ่งขึ้น จนดูเหมือนคนเขียนบทจะพิศวาสตัวละครนี้มากเป็นพิเศษดูจากมุขแพรวพราวมากมายที่หยอดใส่ได้ไม่รู้จบ
.....ตรงข้ามกับ
Mr. Fantastic ผู้ชายที่จมอยู่แต่ในความคิดจนลืมความรู้สึกของตัวเองกว่าจะรู้ใจตัวเองก็เมื่อเขาสูญเสียคนรักที่สุดของตัวเองไป หนังสร้างคาแรคเตอร์นี้ให้เป็นชายหนุ่มที่ดูไม่มั่นคง คิดมากกว่าทำจนบางครั้งมัวแต่คิดจนไม่ได้ทำ และต้องพึ่งพาเพื่อนอย่างBenเกือบตลอดเวลา จริงอยู่นี่อาจเป็นคาแรคเตอร์เดิมของตัวละครอยู่แล้ว แต่การนำมาสร้างให้เขากลายเป็น Mr. Fantastic หนังแสดงจุดด้อยของเขาให้เด่นมากกว่าด้านดีของตัวเขา(แม้แต่ตอนที่นางเอกบอกว่า การที่เธอทิ้งเขาไปเพราะตัวเขาเองไม่กล้าทำอะไรดังที่ตัวเองคิด ไม่เคยแสดงความต้องการตัวเองและก้าวไปตามฝัน จนเมื่อหนังจบภาพที่นางเอกเล่ามันก็ยังดูติดอยู่กับตัวละครนี้ หนังไม่ได้แสดงพัฒนาการให้เห็นมิหนำซ้ำยังช่วยเน้นจุดอ่อนในตัว ความต้องอาศัยพึ่งพาคนอื่นให้มากขึ้นอีกในฉากถัดๆมา) ทำให้แง่มุมที่หนังเสนอ การเสียสละ การทุ่มเทเพื่อเพื่อนๆ ไม่สามารถฉายความเป็นผู้นำและความเป็นพระเอกได้เพียงพอ และมันทำให้เป็นบทที่ไม่น่าเอาใจช่วย ไม่ใช่ขวัญใจคนดู
.....ผมเองแปลกใจตัวเองไม่ใช่น้อย ทั้งที่น่าจะชอบด้วยความลำเอียงแต่กลายเป็นว่า
The Invisible Woman กลับกลายเป็น1ในFantastic4 ที่ผมชอบน้อยที่สุด สวย เซ็กซี่เล็กๆ ดูดี คือ ตัวJessica Alba แต่เมื่อเธอกลายร่างมาเป็น Invisible Woman คุณลักษณะเหล่านั้นคือสิ่งที่ทำให้เธอดึงดูดคนดูได้จนจบโดยอาจไม่ทันได้รู้สึกว่าการแสดงของเธอในเรื่องนี้มันดูขัดเขินและแย่กว่าหลายเรื่องที่เธอเคยเล่นมาในหลายๆฉาก มันเหมือนการพยายามที่จะเล่นมากกว่าการเป็นตัวละครนั้นๆ ส่วนหนึ่งที่ผมคิดเข้าข้างเธอในฐานะชมรมคนรักอัลบ้า คือตัวบทของเธอเองนั้น คนเขียนบทให้ความสำคัญน้อยมาก หนังไม่ได้ให้คุณลักษณะตัวละครได้กระจ่างชัดเจนเท่าอีกสามคนให้เห็น(เช่น รักเพื่อนปกป้องแทนเพื่อนรักครอบครัวของเดอะธิง/กล้าๆกลัวๆ คิดมากกว่าทำ ของมิสเตอร์แฟนตาสติก/ใจร้อน ชอบเป็นคนสำคัญ มีความเป็นเด็กของ)ทำให้ตัวนักแสดงเองเมื่อไม่ได้มีความสามารถพิเศษก็อาจไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร
....หนังเดินเรื่องได้สนุกสนาน จุดเด่นคือบทสนทนาที่สอดแทรกมุขอยู่ตลอดเวลา เวลาส่วนใหญ่ของหนังหมดไปกับ การเล่นสนุกกับความสามารถของแต่ละตัวละคร และ การปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม เรียกได้ว่ากว่าจะได้ดูฉากแอคชั่นต่อสู้ก็ปาเข้าไป15นาทีสุดท้ายของเรื่อง ฉากต่อสู้ในช่วงท้ายนั้น ออกจะมากระชั้นปิดท้ายไปสักนิด ทำให้คนดูผู้รักความรุนแรงอย่างผมรู้สึกว่ามันสั้นไม่ถึงอกถึงใจเท่าที่ควร เทคนิกของหนังอยู่ในระดับมาตรฐานไม่มีอะไรให้ประทับใจค่อนไปทางเกือบผิดหวังหากเทียบกับโลกเทคโนโลยีสมัยนี้(และบางตอนออกจะดูเชยไปด้วยแล้ว เช่น ตอนเจอกับพายุ) แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นความสนุกบันเทิงไร้แก่นสารเพราะสาระที่หนังสื่ออกมาแม้ไม่มากนักแต่มันก็สอดแทรกมาได้ไม่ขัดเขินในส่วนที่ดราม่าหรือจริงจัง มีข้อคิดสอดแทรกอยู่เรื่อยๆดังที่กล่าวข้างต้นทำให้หลายตอนที่ดูแล้วก็อดย้อนกลับมาดูตัวเองได้เช่นกัน
.....หนังมีความเป็นเด็กในตัวสูงซี่งหนังเองก็เหมือนจะรู้ตัวว่าจะเดินไปในทิศทางใดไม่พยายามทะเยอทะยานให้มากเกิน นั่นทำให้หนังจึงเล่นสนุกกับตัวเองได้อย่างเต็มที่ การเลือกนักแสดงมารับบทตัวเอกทั้ง5ตัวนั้นเลือกมาได้ดีดูเหมาะเจาะเข้ากับตัวละครได้อย่างน่าเชื่อถือ ไม่มีใครเด่นเกินใคร เฉลี่ยความสามารถไปได้เท่าๆกัน
โดยจุดเด่นจริงคงอยู่ที่ The Thing และ The Human Torch ที่สร้างสีสันและรอยยิ้มจากคนดูได้ตลอดทั้งเรื่องจนน่าสงสัยว่าหากสองตัวละครนี้ไม่เด่นขนาดนี้เสน่ห์ของJessica Albaจะประคองหนังไปได้จนจบหรือไม่
....โดยรวมของหนังทำออกมาได้เหมือนกับตัวผู้กำกับ Tim Storyค่อนข้างจะplay safeคือทุกอย่างอยู่ในสูตรสำเร็จพร้อมขายทุกประการ ในข้อดีนี้มันก็มีข้อด้อยคือทำให้หนังไม่มีอะไรที่โดดเด่นไม่มีเอกลักษณ์ ไม่กล้าที่จะแหวกม่านประเพณีหรือใส่อะไรที่น่าสนใจเข้าไปด้วยตัวผมเองนั้นรู้สึกว่ามันน่าจะสนุกได้มากกว่านี้(เทียบได้ง่ายๆกับการ์ตูนที่คล้ายคลึงกันอย่างThe Incrediblesที่ใช้คุณลักษณะตัวละครอันหลากหลายสร้างสีสันและความสนุกได้อย่างถึงอกถึงใจแถมยังกินใจคนดูอีกมากมาย) มันก็เลยเป็นหนังที่ได้แค่ดูสนุกตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วก็จบเลยไม่มีอะไรให้จดจำหรือทำให้อยากดูภาคถัดไปชนิดที่ว่าถ้าสร้างมาก็ดูไม่สร้างต่อก็ไม่เสียดาย
สิ่งที่ชอบ1. มุขตลกและบทสนทนา....หยอดมุขกันมาได้เรื่อยๆตลอดเรื่อง กับการแหย่กัดความสามารถของตัวละครกันเอง ทำให้หนังเดินเรื่องไปได้พร้อมรอยยิ้มคนดูตลอด
2.การแปล....เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมชอบการแปลซับไตเติ้ลออกมามาก การเลือกใช้คำที่มาแทนภาษาต้นฉบับได้เข้ายุคสมัยและไม่บิดเบือน อีกทั้งยังถ่ายทอดมุขตลกออกมาได้ตรงกับต้นฉบับ น่าชื่นชมๆ
3.ความสนุกเหมือนเด็ก....การที่หนังไม่เดินหน้าเข้าหาคนดูวัยผู้ใหญ่ให้มากเกิน ทำให้หนังเสี่ยงมากที่คนดูกลุ่มนี้จะเบื่อและผิดหวังมองว่าหนังเหมือนทำมาสำหรับเด็ก แต่จังหวะการเล่าเรื่องและการนำเสนอของหนังรวมทั้งความฉลาดที่ใส่มุขตลกมาตลอด ทำให้หนังเรื่องนี้ไม่ใช่แค่หนังสำหรับเด็กๆดูผู้ใหญ่เองก็สามารถดูแล้วสนุกไปพร้อมๆกับความเป็นเด็กในตัวเองเช่นกัน
(ความเป็นเด็กในตัวคุณ ถูกปลุกให้มาเริงร่าครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?)สิ่งที่ไม่ชอบ1. Jessica Alba ...ในฐานะสมาชิกชมรมคนรักอัลบ้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมเองจะพิมพ์ชื่อนี้มาอยู่ในสิ่งที่ไม่ชอบออกมาได้ แต่ผมที่สยาย ส่วนสัดที่เซ็กซี่ รอยยิ้มกระชากใจหนุ่มของเธอ สำหรับผมในหนังเรื่องนี้มันไม่สามารถกลบภาพการแสดงที่อ่อนแอ ประดักประเดิดในหลายฉาก และมีความแตกต่างจากตัวละครคนอื่นได้ (เอ หรือว่าผมเองจะแค้นใจที่ถอดเสื้อผ้าหมดทีไร หายแว่บไปทุกที55)
2.บทMr. Fantastic .... ตัวนักแสดงทำหน้าที่ตัวเองได้ดีแต่ดูเหมือนคนเขียนบทจะไม่รักตัวละครตัวนี้เท่าไหร่นัก ภาพที่ออกมาไม่เพียงแต่จะไม่เท่เหมือนเพื่อนพ้องแล้วยังดูไม่น่าสนใจ ขาดเสน่ห์ และไม่ทำให้เอาใจช่วยชนิดที่ว่าตัวDr.Doomยังดูดีกว่าเสียด้วยซ้ำ
สรุป....ไม่เสียดายตังค์ เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี จบแล้วจบกัน เป็นอีกหนึ่งวันที่เสียเงิน100บาทในโรงSF MBKเมื่อวานนี้รอบ19.30น.แล้วก็ได้รอยยิ้มเสียงหัวเราะความสุขตลอดช่วงเวลาที่หนังฉายและเมื่อหนังจบก็กลับมาเผชิญโลกความจริงกันต่อไป
หากคุณเข้าเว็บบล้อกนี้เป็นครั้งแรก ขอเชิญชวนไปเริ่มต้น คลิกที่นี่เลยครับ -->
หน้าแรกเชิญชวนแวะไปอ่านไปคุย ค้นหาหนังเรื่องเก่าๆได้ที่ ---> ห้องเก็บหนัง
เราดูที่เมเจอร์ รอบห้าโมงเย็นวันนี้
ห นั ง ส นุ ก ม า ก
ชอบ Chris Evans ที่สุด
คนอะรายยยย น่ารักชะมัด