Hotel Rwanda , หนังที่ให้คนดูมากกว่าความเป็นหนังดี



--ผมเดินเข้า Hotel Rwanda --

....ไปในโรงสยามรอบ 18.30น. ด้วยความคาดหวังไว้ว่าคงได้ดูหนังดีเรื่องหนึ่ง ที่เล่าเรื่องพระเอกเป็นฮีโร่ช่วยคนร่วมชาติให้รอดพ้นจากการถูกเข่นฆ่า ดังเช่นเรื่อง Schindler's list


.....Genocide มีคนให้คำจำกัดความว่าหลายอย่างเช่น the systematic and planned killing of an entire national, racial, political, or ethnic group หรือ The intentional annihilation of a national, ethnical, racial, or religious group หรือ The systematic killing of people because of their race or ethnicity. เช่น เหตุการณ์ที่ได้ดูใน Schindler’s list ใน Life is beautiful ก็คงเป็นตัวอย่างหนึ่ง และ Hotel Rwanda เป็นอีกเรื่องที่นำเราไปพบกับคำนี้อีกครั้ง

Rwanda เป็นประเทศในแอฟริกา ประชาชนมี 2 เผ่าหลักๆคือ Hutu และ Tutsis

ในปี 1994 หลังจากทำสัญญาสันติภาพระหว่างสองฝ่าย ประธานาธิบดี Habyarimana ชาว Hutu ถูกลอบสังหาร นำมาสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวTutsis และจากข้อมูลจริง ประชากรจำนวน 800000 คนถูกฆ่าทิ้งภายใน 100วัน!


...Paul Rusesabagina เป็นผู้จัดการโรงแรมหรูในเมืองที่รู้จักคนมากหน้าหลายตา ทั้งนายพัน นายตำรวจ ทหาร พ่อค้า เค้าต้องเอาอกเอาใจและตีสนิทเพื่อหวังว่าสักวันหนึ่งเขาอาจพึ่งพาคนเหล่านั้นได้

Paul เป็นคน Hutu ส่วน ภรรยาของเขาเป็นคนTutsis เมื่อเกิดการทำลายล้าง Paul ทำทุกวิถีทางในฐานะพ่อของลูกๆ , สามี และหัวหน้าครอบครัวเพื่อปกป้องครอบครัวตัวเอง

เขาใช้วิธีการและกลยุทธ์ทางการค้าที่ใช้ทำธุรกิจ ทั้งการติดสินบน การใช้เงินซื้อชีวิต ทั้งวาทศิลป์ในการต่อรอง ถ่วงเวลา เรียกร้องความเห็นใจจากนานาชาติ ทุกอย่างเพื่อประโยชน์ส่วนตัว

หาก Paul เลือกจะหนีพร้อมครอบครัวเขาก็สามารถทำได้ และ เขาก็จะเป็นคนหนึ่งที่ใครจดจำได้ในฐานะ พ่อ หรือ หัวหน้าครอบครัวที่มีความสามารถ แต่การได้รับบันทึกในความทรงจำ จนนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เป็นเพราะจิตใจอันดีงามของเขา ที่ยิ่งใหญ่มากกว่า การเป็นพ่อคนหรือหัวหน้าครอบครัวที่ดี



.....ครั้งหนึ่งในเรื่อง Paul เลือกได้ที่จะทิ้งลูกเมียแล้วเอาชีวิตรอด โดยที่ภรรยาเขาเองก็ต้องการให้เป็นเช่นนั้น เธออยากให้เขาเอาตัวรอดไปก่อนเมื่อยังมีโอกาสทำได้ แต่เขาเลือกอยู่ที่เดิม เพราะเขาต้องการที่จะรักษาครอบครัวให้ได้

อีกครั้งหนึ่งที่ Paul เลือกได้ที่จะทิ้งเพื่อนร่วมงาน คนชาติเดียวกัน ไปกับลูกเมียโดยที่ไม่มีใครว่าอะไรได้ แต่เขาก็เลือกที่จะอยู่ ซึ่ง การเลือกอยู่ครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่าการรักครอบครัว แต่มันแสดงถึงมนุษยธรรม และ ความรักในมนุษยชาติ


....หนังมีส่วนผสมของทั้ง Schindler’s list (ความพยายามช่วยเหลือผู้ถูกรุกรานเข่นฆ่า โดยเอาตัวเองและความสามารถในเชิงธุรกิจเข้าเสี่ยง) กับ Life is beautiful (ความรักในครอบครัว)

ในเรื่องแรก Oskar Schindler ช่วยเหลือคนอื่น โดยไม่ได้มีเรื่องของครอบครัวตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้อง ในขณะที่เรื่องหลังทุกสิ่งที่ตัวเอกทำคือทำเพื่อครอบครัว

ส่วนใน Hotel Rwanda Paul เริ่มต้นทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว ก่อนที่จะตัดสินใจทำเพื่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ถึงแม้ตอนเริ่ม หนังจะไม่ได้แสดงให้ Paul ดูเป็นคนที่ดีเสียสละทำอะไรให้คนอื่นๆ แต่คนเขียนบทสามารถทำให้ทำให้เชื่อว่า เขาเป็นคนที่มีจิตใจที่ดีงามซ่อนอยู่ภายใน

ทำให้เราเชื่อมั่นว่าเขาน่าจะทำในสิ่งที่ดีให้กับเพื่อนร่วมชาติ และ บทก็ทำให้การตัดสินใจของเขาที่ทำลงไปในการช่วยคนนั้น ดูมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือ มีพัฒนาการอย่างสมเหตุสมผล เหมือนมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งมากกว่าดูเป็นHero ตั้งแต่เริ่มแรกเหมือน Oskar Schindler



....…..หลายฉากที่ดูแล้วมันรู้สึกเจ็บปวดและอึดอัดตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นฉากรถบัสที่มารับคนในโรงแรมกลับไป แต่คนที่รับไปเป็นเพียง นักท่องเที่ยวหรือคนผิวขาว ปล่อยให้คนที่เหลือรอความตายไปต่อหน้าต่อตา

แม้คนที่ได้รอดไปจากสมรภูมิจะทำเต็มที่เท่าไหร่ เช่นตัวละครหนึ่งพยายามจะให้เงินเท่าที่มีกับคนที่เหลืออยู่ แต่มันก็ไม่มีความหมายอะไรเลย หรือ อีกฉากหนึ่งที่ Paul พบว่าสงครามเลวร้ายกว่าการทำธุรกิจอย่างเทียบกันไม่ได้

ในธุรกิจการให้แบบหว่านพืชหวังผล ยังมีโอกาสได้รับการตอบแทนในอนาคต หรือยังพอมีสิ่งที่เรียกว่าน้ำใจให้พบเห็น แต่ในเรื่อง ทุกสิ่งที่เคยทำไม่ว่าจะเป็นกุ้งตัวโต , ซิการ์ชั้นดี หรือ สิ่งที่เขาเรียกว่าstyle พอหมดของหมดเงิน ก็หมดความช่วยเหลือ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าน้ำใจหรือความเห็นอกเห็นใจ

เมื่อต่างฝ่ายต่างอยู่ในเหตุการณ์ ต่างก็หลงมัวเมาอยู่ในความเชื่อในหมู่ตัวเอง การพยายามเอาตัวเองให้รอดก่อน ความแค้น และการฆ่าฟัน (ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเฉกเช่น สิ่งที่กุยโด้ใน Life is Beautiful ได้เจอในฉากที่เจอกับหมอและคาดหวังให้หมอช่วยเหลือในฐานะคนที่เคยรู้จักกัน)




....ผมชอบหนังเรื่องนี้มากกว่า Schindler’s list เรื่องนั้นเป็นหนังที่ดี แต่ดูแล้วก็ยังห่างไกลตัวเอง รู้สึกเหมือนกับการดูหนังเรื่องหนึ่ง สิ่งที่ได้คือได้ดูหนังดีและรู้สึกว่าสงครามเป็นสิ่งที่โหดร้าย Oskar Schindlerเป็นคนดี เพียงเท่านั้น

แต่กับ Hotel Rwanda การที่ได้ดูหนังมันทำให้รู้สึกใกล้ความจริงมากกว่าความเป็นหนัง หนังเรื่องนี้ให้อะไรมากกว่าการสื่อสารว่า “การฆ่ากันช่างโหดร้าย” หนังทำให้จิตใจคนดูอย่างผมไม่ได้รู้สึกแค่ว่า Paul เป็นคนดี แต่ มันยังกระตุ้น ต่อมอยากทำดี เกิดความรู้สึกอยากเป็นอยากเอาอย่างตามตัวเอกทำถ้าเราได้อยู่ในเหตุการณ์นั้น

Paul เปรียบเสมือนความสว่างที่อยู่ภายใต้ความโหดร้ายดำมืดของการเข่นฆ่า กี่สงคราม กี่การทำลายล้างที่ผ่านมา การอยู่รอดของมนุษยชาติคือมี ความดีของมนุษย์ อย่าง Oskar Schindler , กุยโด้ที่มีความรักต่อลูกกับภรรยา และ Paul Rusesabagina จึงทำให้เราอยู่รอดได้ทุกวันนี้

ภาพยนตร์เรื่องมีความแตกต่างกว่าหนังในแนวเดียวกันนี้เรื่องอื่นๆคือ มันช่วยจุดความสว่างให้เกิดขึ้นไม่มากก็น้อยให้กับคนดูในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง




--ผมเดินออกจากHotel Rwanda--

...ได้ดังที่คาดหวังคือเรื่องนี้เป็นหนังที่ดีสนุกและชวนติดตาม สิ่งที่ได้มากกว่าที่คาดไว้ก่อนเข้าคือความรู้สึกดีกับสิ่งที่เรียกว่ามนุษยธรรม ได้ชื่นชมความดีงามในจิตใจของคน ความรักและอยู่เคียงข้างครอบครัว

มันสะกิดต่อมมนุษยธรรมในใจ แม้แต่ในการเข่นฆ่าหรือสงครามก็ยังมีความงดงามของความดีซุกซ่อนอยู่ จะต้องรอให้เกิดหรือไม่หรือเราจะค่อยๆปลูกสิ่งเหล่านี้ไว้ในใจตั้งแต่ตอนนี้

เราปลูกฝังให้คนแข่งกันมากขึ้น ให้เก่งมากขึ้น ให้เอาตัวรอดให้ได้ในสังคมให้เห็นแก่ตัวมากขึ้น แต่ไม่เคยเลย ที่จะปลูกฝังให้เรารักเพื่อนมนุษย์มากขึ้น



สิ่งที่ชอบ

1.การมีหนังเรื่องนี้เกิดขึ้น.....ดังที่บอกข้างต้น ว่าหนังเรื่องนี้สื่อสารกับคนดูมากกว่า “การฆ่ากันเป็นสิ่งที่โหดร้าย” หรือ “paul เป็นคนดี” แต่ผมเชื่อว่า มันปลุกกระแสความรู้สึกของคนที่ได้ดู ให้รู้สึกรักในเพื่อนมนุษย์มากยิ่งขึ้น ให้ศรัทธาในการทำความดีมากยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถจะเป็นบทเรียนหนึ่งในชั้นเรียนไว้สอนนักเรียนได้เลย

2.ฉากโหดร้ายรุนแรงไม่มากจนเกินเลย.... ผมสังเกตว่าหนังสงครามหรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในยุคหลังๆพยายามกันอย่างมากที่จะเน้นความสมจริง คือ เลือดออกกันสดๆ สมองทะลักกันเห็นๆ กระสุนเจาะทะลวงหูซ้ายออกหูขวา ฯลฯ ซึ่งมันก็ทำให้เราคงกลัวและเกลียดสงครามมากขึ้น

แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นความรุนแรงบนจอที่ผมรู้สึกว่ามันมากเกินความจำเป็น หนังเรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่ดี การได้เรทหนังเพียงPG-13 หนังไม่จำเป็นต้องมีฉากถึงเลือดถึงเนื้อแต่ก็ให้ข้อคิด ความรู้สึกเดียวกับหนังเรื่องอื่นๆ และอาจจะดีกว่าหลายเรื่องที่ได้เรทRด้วยซ้ำ

3. Don Cheadle .... ปีนี้เป็นปีทองของดารานำชายจริงๆ เพราะนี่ก็เป็นอีกหนึ่งการแสดงแห่งปีที่ยอดเยี่ยมไม่น้อยกว่าผู้เข้าชิงรางวัลออสการ์คนอื่นๆ เขาถ่ายทอดความรู้สึกได้เหมือนกับคนที่ต้องอยู่ภายใต้ความกดดันแบบนั้นได้อย่างพอดิบพอดี การแสดงออกที่เขาดิ้นรนทำทุกอย่างให้กับครอบครัว

ฉากที่ผมชอบและกดดันความรู้สึกคนดูได้เช่น ฉากที่ภรรยาและลูกๆไปกับรถของUN แล้วถูกกองกำลังดักระหว่างทาง หรือ ฉากที่กลับมาหาลูกเมียไม่เจอแล้วคิดถึงดาดฟ้าที่เคยบอกไว้(อึดอัดตามไปด้วย)


สิ่งที่ไม่ชอบ

1.ซับไตเติ้ล...เพิ่งคิดออกแล้วมาเติมทีหลังครับ ตอนพิมพ์เสร็จรอบแรกก็ตะหงิดๆในใจว่าออกมามันมีบางอย่างที่กวนใจอยู่แต่นึกไม่ออก คือ ซับไตเติล

ผมไม่รู้ว่าคนแปลได้แปลหมดทุกข้อความแล้วไม่ได้พิมพ์ออกมาฉาย หรือแปลไม่หมด มันไม่ใช่แค่ตอนเดียว แต่เป็นหลายตอนที่ตัวละครพูดมากกว่าที่แปลไว้(แบบแปลมาประโยคเดียวอีกประโยคไม่แปลไปซะเฉยๆ) อาจไม่ได้มีผลต่อเนื้อเรื่องหลักแต่มันก็เป็นรายละเอียดที่ไม่ควรละเลย

สรุป....Hotel Rwanda เป็นหนังดราม่าหนักๆที่ทำออกมาได้ดี ไม่น่าเบื่อ ดูกดดันชวนติดตามตลอดจนจบพร้อมการแสดงในระดับยอดเยี่ยมของดารานำ

เป็นหนังที่ก้าวผ่านมากกว่าความเป็นหนังที่ดี แต่ไปได้ถึงเป็นบทเรียนที่ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา และกระตุ้นต่อมมนุษยธรรมในใจคนดูได้ไม่มากก็น้อย





หมายเหตุ Update 21 เมษายน 2553

Blog นี้ ถูก edit อีกครั้งในเรื่องรูปภาพและวรรคตอน ในเดือนเมษายน 2553 เมื่อหนังเรื่องนี้ถูกพูดถึงและยกมาเปรียบเทียบกับ สังคมไทยในปัจจุบัน

(ขอ edit วรรคตอน กับ คำผิด เล็กน้อย เนื่องจากแอบอายกับข้อเขียนสมัยยังเอ๊าะๆ)

จำได้เลยว่า ตอนดูใหม่ๆ เชียร์ให้หลายคนไปดู ชอบมากที่สุดก็ตรงที่หนังกระตุ้น 'ต่อมอยากทำดี' ดูแล้วอยากเป็นคนดีกว่าเก่า ไม่กี่ปีต่อมา ที่เริ่มรู้สึกว่า สังคมบ้านเราเริ่มมีการแบ่งสี แบ่งข้าง ซึ่ง น่าจะเป็น การมีส่วนร่วมทางการเมืองที่ดี แต่เมื่อ การเมือง เริ่มกลายเป็น หัวข้อระคายเคือง เกินความหงุดหงิด นำไปสู่ การตัดเพื่อน หรือ ฆ่าฟัน

ทำให้ตอนนั้น บอกใครต่อใครว่า น่ากลัวเหลือเกินที่เมืองไทยจะกลายเป็น Hotel Rwanda (ประเด็น เมืองไทย ก้าวไปสู่ รวันด้า เคยเขียนไว้ในบล็อก แต่จำไม่ได้ว่า หนังเรื่องไหน)

เพราะ การเติบโตทางการเมือง ที่เกิดควบคู่กับ 'กระบวนการปลูกฝัง ความเกลียดชัง' การใช้อารมณ์เอามันส์ เหมารวมอีกฝั่ง มากกว่าจะว่ากันด้วยหลักการ มันจะนำไปสู่ ความขัดแย้งที่ไร้เหตุผล คงเหลือแต่ 'พวกข้า' กับ 'พวกแก' นำไปสู่ 'พวกข้าไม่เคยผิด แต่พวกแกผิดเสมอ' นำไปสู่ การไม่สามารถอยู่ร่วมกัน เพราะ ความเกลียดชัง ผสมโรงกับ ความรุนแรง

เมื่อนั้น เราก็จะเริ่มมองข้ามเหตุผลใดๆก็ตามที่ทำให้ฝ่ายเราเป็นคนผิด / เรามองข้ามความถูกผิดของพวกเดียวกัน / เราเข้าอกเข้าใจฝั่งตัวเองได้ดี แต่ ลืมคิดถึงใจของคนฝั่งตรงข้าม / เราเชื่อ เราฟัง เรายึดติดแต่ ฝั่งที่เรายืนอยู่

ก่อนจะนำไปสู่ การเอาชนะอีกฝ่ายให้สิ้นเผ่าพันธุ์







ขอฝาก หนังสือเล่ม 5 ของ "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" จ้า
(ตามร้านหนังสือทั่วไทย หลังสงกรานต์นี้)










อ่านจบแล้ว ชวนมาคุยกันที่นี่ครับ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=aorta&group=18

และ

ความเห็นของ เพื่อนผู้อ่านที่อ่านจบแล้ว และสละเวลาเขียนถึง

//blogs.lumamagic.com/?p=1957



หนังสือ 4 เล่มก่อนหน้าที่ว่าด้วย 'ภาพยนตร์ - จิตวิทยา - พัฒนาตัวเอง(self - development)' ของ "ผมอยู่ข้างหลังคุณ"








สำหรับเพื่อนๆที่เล่น FaceBook หรือ Twitter ณ.บัดนาว "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" ขยายสาขาเรียบร้อยแล้วจ้า






Create Date : 15 มีนาคม 2548
Last Update : 23 เมษายน 2553 22:10:57 น.
Counter : 12863 Pageviews.

17 comments
  
แค่จะมาบอกว่า เราดูหนังรอบเดียวกันอย่างต่ำ2รอบแล้วนะ
แต่ว่าผมนั่งหลังสุดแล้วนะ จะมาอยู่ข้างหลังผมได้ไง
หรือว่า"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"คือคนที่ใส่สูทสรเหลืองครับ ^^
โดย: if u know IP: 61.90.83.183 วันที่: 16 มีนาคม 2548 เวลา:0:08:32 น.
  
ยังไม่ได้ดูเรื่องนี้เลยครับ อยู่ต่างจังหวัดน่ะครับ คงต้องรอยูบีซีอย่างเดียวเลย

เคยได้ยินเรื่องนี้มานานแล้วครับ แต่เห็นว่ามีหน่วยงานไปช่วยจริงๆน้อยมาก ไม่รุ้ฆ่ากันได้ยังไงเยอะขนาดนั้น

ขอaddนะครับ แหะๆๆ
โดย: underdog (พ่อน้องโจ ) วันที่: 16 มีนาคม 2548 เวลา:0:11:25 น.
  
if u know
...ครั้งหน้าถ้าโรงสยามหรือสกาล่า สังเกตผู้ชายสูงๆชอบนั่งแถวตรงกลางวางขาได้ สะพายกระเป๋าดำ นั่นแหละครับ ผมแน่นอน แต่ถ้าชุดเหลืองก็เอ่ออออ ไม่น่าใช่ผมนะครับ(ใส่กันหลายคนนะนั่นนะ)

underdog
...ยินดีครับ แวะเวียนมาทักทายพูดคุยกันบ่อยๆนะครับ
โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" วันที่: 16 มีนาคม 2548 เวลา:0:38:06 น.
  
บล็อกซุปเปอร์เดิ้นเลยอะครับ ยกนิ้วให้ๆๆๆๆ
โดย: underdog (พ่อน้องโจ ) วันที่: 16 มีนาคม 2548 เวลา:1:38:54 น.
  
อยากดูอ่ะคับ แต่ตอนนี้กลับมาต่างจังหวัด เลยเสียโอกาสไปโดยปริยาย
โดย: nanoguy วันที่: 16 มีนาคม 2548 เวลา:13:58:28 น.
  
รู้สึกคุ้น ๆ อยู่น่า ตัวสูง ๆ
ผมสั้น ๆ ป่ะครับ ผมเห็นคนหนึ่งตัวสูงปี๊ดเลย ใส่เสื้อสีขาว ตอนไปดูRwanda
โดย: if u know me วันที่: 16 มีนาคม 2548 เวลา:18:59:18 น.
  
ตกลงคุณ" If u know me" ได้เจอคุณ" ผมอยู่ข้างหลังคุณ" หรือเปล่าจ๊ะ อิอิ
ปล.ยังไม่ได้ดูเรื่องนี้เลย ถ้าดูแล้วจะมาคุยกันใหม่นะจ๊ะ
โดย: เจอเหตุการณ์ที่เสียใจที่สุด วันที่: 17 มีนาคม 2548 เวลา:8:48:27 น.
  
ตามลิงค์มาจากพันทิปค่ะ ได้ดูแล้วค่ะ หนังดีมาก

ไม่อยากให้ใครพลาดหนังดี ๆ อย่างนี้
โดย: gg1234k IP: 203.151.140.119 วันที่: 12 มิถุนายน 2548 เวลา:12:41:15 น.
  
praykeaw
โดย: 12 มิถุนายน 2548 IP: วันที่: 14:19:00 เวลา:203.146.88.141 น.
  
หนังทำให้เห็น
-ความรู้สึกลำบากใจของ hero ทั้งความอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ อยากเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดี ซึ่งบางครั้งต้องเลือกอย่างใดอย่างนึง
-ความโหดร้ายของมนุษย์ที่คิดว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นถูกต้อง (ความหลงผิด)

หนังทำได้น่าติดตามดีค่ะ
โดย: 1993 IP: 202.28.181.9 วันที่: 9 ธันวาคม 2548 เวลา:13:47:01 น.
  
สุดยอด....
โดย: ..... IP: 61.90.10.182 วันที่: 30 ธันวาคม 2548 เวลา:19:56:39 น.
  
ผมชอบครับหนังเรื่องนี้นำเสนอความโหดร้ายได้ดีโดยไม่จำเป็นต้องมีเลือดสาดฉากการฆ่า ความรุนแรงมากเกินไป สามารถสื่อให้เราเห็นความโหดร้ายของมนุษย์ด้วยกันได้ดี
(มองด้วยตายังมองไม่ออกเลยว่าคนไหนเผ่าอะไรเหมือนกันแล้วมาแบ่งฝ่ายฆ่ากันทำไม)
ในเรื่องนี้สื่อ(วิทยุ)สามารถเสี่ยมให้คนมาฆ่ากันได้จริงๆ
โดย: download IP: 124.120.168.108 วันที่: 29 กันยายน 2549 เวลา:8:03:21 น.
  

l;klเดเ
โดย: เเด้ IP: 58.9.83.182 วันที่: 29 กันยายน 2549 เวลา:18:30:37 น.
  
WOW! คุณเปนนักเขียนเหรอค่ะ เขียนได้น่าประทับใจมาก....
เราโอลีฟฟ อายุ 17 เหอะๆ ...
ที่จิงเราเปนคนที่ขวัญอ่อน ดูหนังผีไม่ได้เลย หนังสยดสยอง เราดูไม่ค่อยได้ แต่หนังเรื่องนี้...สุดยอดของหนังจิงๆ... ได้ดูแล้วชื่นชม พอลมาก เค้าเปนยอดวีรบุรุษ ไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงๆในโลกนี้ เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนเราอายุเพียง3-4 ขวบเอง อิอิ เมื่อเราดูหนังเรื่องนี้จบเราซื้อแผ่นมาจากแมงป่อง เหนมานถูกดี เปนดีวีดีด้วย 55+ แล้วเรื่องราวหลังแผ่นน่าสนใจต้องกานดูหนังแบบนี้อยู่แล้ว มานเปนหนังที่สุดยอดจริงๆ ดูมาหลายรอบแล้ว ...... พอดูจบ เราต้องมานั่งค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับประเทศรวันดา โรงแรม เกี่ยวกับ พอล รูเซซาบาจิน่า เราต้องการรู้เรื่องราวทุกอย่าง ในดีวีดีจะมี spaciel ให้ดูพอลเล่าเรื่องราวของเขาให้ฟัง เราสนใจในตัวตนของเขามาก และต้องการได้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเขา ใครมีก้อเขียนบลอกไง้ละกานจะมาเปิดอ่าน ขอบคุณสำหรับข้อมูล ขอบคุณค่ะ.......
โดย: Olive IP: 124.157.172.236 วันที่: 29 กันยายน 2550 เวลา:1:35:55 น.
  
9.5/10 คะแนน

ตลอดเวลาที่ผมดูเรื่องนี้ ผมลุ้นเหลือเกินว่าไม่อยากให้มีฉากเลือดสาด หรือฉากโหดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากที่ทำเอาหัวใจแทบหยุดเต้นคือ ตอนที่พระเอกยอมให้ ลูก-เมีย ขึ้นรถบรรทุกไปแล้วไปเจอกลุ่มชาว ฮูตู ดักรอไว้ ซึ่งผมเดาไว้เลยว่าต้องมีเหตุการณ์เลือดสาดอย่างแน่นอน

ดารานำแสดงได้ดีมากๆ ซึ่ง Pual เป็นคนที่เอาตัวรอดในสถานการณ์คับขันได้ดีมาก ด้วยบุคลิคที่ดี และการพูดคุยที่แนบเนียนของเขา จนบางทีเราน่าจะจำนิสัยของเขาเอามาใช้ในชีวิตประจำวันมากๆ

หนังเรื่องนี้ น่าติดตาม และสามารถดึงคนดูให้มีอารมณ์ร่วมตามได้ไม่ยาก ด้วยการใช้ความผูกพันธ์ของครอบครัว ทำให้หลายๆฉากลุ้นระทึกมาก และเอาใจช่วยพระเอกสุดตัวเลย

สรุปแล้ว ไม่มีฉากโหดๆ เหมือน Children of Men แต่อารมณ์ที่ได้จากหนังทำได้สูสีกันมาก เพียงแต่ Hotel Rwanna อาจจะซึ้งมากกว่าในแง่ของความผูกพันธ์ในครอบครัว ซึ่งต่างจาก Children of Men ที่ระหว่างคนสองคนและเด็กในท้องเท่านั้น (แต่ก็ลุ้นสุดตัวเหมือนกัน) คะแนน 2 เรื่องนี้ผมจึงให้ 9.5 เท่ากัน
โดย: นักวิจารณ์สมัครเล่น IP: 125.24.181.222 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2550 เวลา:15:44:47 น.
  
ชอบค่ะ
ดีใจที่ได้ซื้อเรื่องนี้มาดู
ปรกติเป็นคนชอบดูหนังเรื่องจริงอยู่แล้ว
ชอบรู้ว่ามันมีเรื่องอะไรที่เกิดกับโลกเราบ้าง
ดูแล้วน้ำตาไหล
พอลเป็นคนที่สุดยอดจริงๆๆ น่านับถือ
แถมผู้กักับยังหาพอลตัวจริงเจออีก เก่งจริงๆๆ
ดูแล้ว มีความรู้สึกที่ดีกับคนดำมากขึ้นเลย
โดย: แนน IP: 58.10.198.48 วันที่: 22 ธันวาคม 2550 เวลา:21:36:37 น.
  
ชอบมากคร่ะ เคยดูที่มหาลัย เพราะอาจานเอามาเปิดให้ดู แล้วให้สอบ ซึ่งมันเป่นหนังที่สุดยอดเรื่องหนึ่ง ที่ไม่ควรพลาด สะท้อนให้เห่นในสังคมปัจจุบันได้ดี
โดย: คนเคยดู IP: 58.64.110.34 วันที่: 17 พฤษภาคม 2553 เวลา:2:23:58 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Aorta.BlogGang.com

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]

บทความทั้งหมด