.........ตอนแรกที่ได้ยินว่าเรื่องนี้จะได้รับการสร้างโดย2ผู้สร้าง ผมอยากดูของบาซ เลอร์มานน์มากกว่าเพราะผมชอบMoulinRougeเข้าขั้นมากถึงมากที่สุด และคิดอยากเห็นงานสร้างของเค้าเพราะคิดว่าความคิดสร้างสรรค์และการควบคุมงานโปรดักชั่นมาใส่หนังเรื่องAlexanderจะน่าสนใจเพียงใด แต่ในขณะเดียวกันก็อยากดูของโอลิเวอร์ สโตนเพราะรายชื่อดาราที่คัดสรรมาอยากจะดูว่าเค้าจะดึงความสามารถของนักแสดงได้มากขึ้นอีกขนาดไหน เพราะหนังของเค้าหลายเรื่องผมคิดว่าเค้ามีความสามารถในการดึงศักยภาพการแสดงของดาราและรู้สึกว่าเค้าเป็นผู้กำกับที่มีแรงผลักดันของเพศชายและความรุนแรงออกมามาก(แต่ในหลายเรื่องอาจไม่แสดงออกตรงๆ) ผมจึงตัดสินใจฉลองลอยกระทงเพียงลำพังที่โรงสยามวันนี้รอบ16.30น.
.........ผมดูหนังเรื่องนี้แล้วรู้สึกเหมือนตอนที่ได้ดู Any given sunday ที่ตอนแรกนึกว่าจะเป็นหนังกีฬาที่ให้ความรู้สึกดี การเร้าอารมณ์เหมือนเช่นRemember the titan แต่กลับเป็นหนังดราม่าที่เน้นไปที่บทบาทของตัวละครแต่ละตัวมากกว่า เรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน ในตอนแรกก็นึกถึงหนังสงครามอีพิคที่แสดงความยิ่งใหญ่การก้าวสู่ความยิ่งใหญ่ของAlexander แต่หนังกลับเหมือนสารคดีHistory channel ชั้นดีโดยความรู้สึกของหนังเหมือนระลอกคลื่น คือ มีฉากที่ทรงพลังหลายฉากที่สามารถตรึงคนดูให้ทึ่งไปกับบทบาทการแสดง แสงเงาและดนตรีที่เร้าความรู้สีก แต่หลังคลื่นสงบก็จะตามมาด้วยความเรียบเรื่อยจนเข้าขั้นน่าเบื่อเป็นช่วงๆ หนังให้น้ำหนักกับตัวละครค่อนข้างมากและมากจนเกินเนื้อเรื่องที่ยาวกว่า3ชั่วโมง
................หนังเล่าเรื่องตั้งแต่วัยเด็กของAlexander ที่ถูกเลี้ยงดูภายใต้อิทธิพลของOlympias และมีพ่อที่เค้าทั้งรักและกลัวอย่างPhilip การเติบโตของเค้าในหนังเทียบกับทางทฤษฎีจิตวิเคราะห์เรียกได้ว่าอาจไม่พัฒนาผ่านช่วงOedipal complex ภาพของพ่อยังคงตามมาหลอกหลอนเค้าจนโต ไม่ว่าจากในหัวตัวเองหรือจากคนรอบข้าง และเค้าก็ไม่อาจสลัดความผูกพันที่ทั้งพึ่งพาและอยากหนีห่างของแม่ออกมาได้(hostile-dependent) หนังเล่าชีวิตของเค้าได้เห็นภาพอย่างน่าเห็นใจควบคู่ไปกับการที่จะขยายความยิ่งใหญ่และการการฉายภาพความรักที่ในส่วนhomosexualอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา(มากกว่าในTroy)ดูแล้วมีความสุขและจริงใจมากกว่าhereosexualที่มีด้วยซ้ำเพราะมเหสีที่ตัวเค้าเลือกก็แทบจะไม่ต่างจากแม่ตัวเองและภาพของตัวเองก็ทาบทับภาพของพ่อในท้ายที่สุด
สิ่งที่ชอบ 1.ฉากสำคัญหลายฉาก.....อย่างที่กล่าวข้างต้นหนังมีฉากดีๆหลายฉากที่ตรึงผมให้ดูด้วยความทึ่งของการแสดง/การกำกับภาพและบรรยากาศที่กดดันจริงจังจนเพลิดเพลินเกินกว่าจะหลับได้ เช่น ฉากการลอบสังหาร ฉากความขัดแย้งในงานเลี้ยงที่อินเดีย หรือ ฉากการรบทั้ง2ตอน
2.การแสดง........เรื่องนี้เป็นการรวมการแสดงชั้นยอดของดาราหลายคนเรียกว่าถ้าใครไม่แข็งพออาจตายได้ง่ายๆ Angelina Jolie ให้การแสดงที่สุดยอดที่เธอควรเก็บบันทึกไว้ เพราะอาจเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเลยทีเดียว(โดยก่อนหน้านี้ในSkyCaptain เธอก็ให้การแสดงที่สุดเท่มาแล้ว) ทุกฉากที่ออกมาอาจดูover-actingบ้างแต่ก็ไม่ได้ขัดตาแต่กลับรู้สึกถึงความทรงพลังและความเกลียดชังภายในตัว / Val Kilmer เล่นได้ดีมากถึงแม้จะไม่ใช่ตัวละครหลักแต่ตัวละครของเค้าก็ให้ความรู้สึกของผู้ยิ่งใหญ่ที่รู้ตัวว่าโรยราและน่าสมเพชได้ดี / ดาราที่รับบทAlexanderวัยรุ่นก็เล่นได้ดีและต้องชมฝ่ายcastingที่เลือกตัวละครไม่เพียงเล่นดีแต่ยังหน้าตาเข้าได้กับ /และที่ขาดไม่ได้Colin Farrell กับบทที่ใหญ่ที่สุดก็เล่นได้ดีถึงดีมากในหลายฉาก แต่เค้าไม่สามารถให้พลังกับหนังได้ตลอดเวลาหลายฉากทีเดียวที่ออกมาแล้วกลืนไปกับตัวละครอื่นๆไป
3.ความสมจริง......เรื่องนี้อาจไม่อลังการงานสร้างเหมือนTroy แต่ผมกลับรู้สึกว่าเมืองหรือฉาก(เช่นเมืองบาบิโลน)มันกลับดูจริงกว่าในขณะที่Troy ดูปลอมกว่า
4.เมืองไทย......ได้ดูเมืองไทยกับดาราไทยในหนังระดับHollywoodก็เป็นความบันเทิงของผมเช่นกันครับ
สิ่งที่ไม่ชอบ 1.อารมณ์เป็นระลอกคลื่น......ดังที่กล่าวตอนต้น หนังมีช่วงที่ดีและก็ตามมาด้วยช่วงที่เรียบจนถึงน่าเบื่อ มันเหมือนหนังกระตุกๆเป็นช่วง ทั้งๆที่ผมคิดว่าถ้าตัดให้สั้นลงอีกซักหน่อย หนังเรื่องนี้น่าจะเป็นหนังดราม่าอย่างสมจริงย้อนยุคชั้นดีอีกเรื่องหนึ่ง(ซึ่งในยุคหลังไม่ค่อยเน้นดราม่าแต่เน้นความบันเทิงเป็นหลัก) ทำให้คงมีหลายคนที่ดูด้วยความเบื่อและกระสับกระส่ายได้ไม่ยาก จนแวบหนึ่งผมรู้สึกว่าถ้านำไปทำเป็นสารคดีแบบช่องHistory channel หรือฉายตามทีวีอาจจะเหมาะกว่า
2.บทAnthony Hopkins......ไม่รู้เพราะอะไรเค้าถึงตัดสินใจเล่นเพราะผมรู้สึกว่าเป็นบทที่เค้าเล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานและเป็นส่วนเกินของหนัง ตอนต้นเรื่องที่ให้เวลากับเค้ามากจนผมรู้สึกว่ามากเกินไป(แบบเมื่อไหร่จะเข้าเรื่องเนี่ย) หรือตอนต้นที่หนังกำลังเข้มข้นก็ต้องมาสะดุดที่ตัดกลับมาที่บทนี้ รวมทั้งตอนจบที่ให้เค้ากลับมาเล่า(ผมรู้สึกเหมือนกับพล่าม)จนหนังจบด้วยความรู้สึกเหนื่อยของคนดู(ถึงแม้จะมีtwistเล็กๆน้อยๆก็ตาม)
3.สำลักฝุ่นกับเมากล้อง........ฉากสงครามไม่รู้ทำไมเดี๋ยวนี้ถึงฮิตกันจังกับที่ต้องให้สั่นหมุนไปมาเขย่าๆทำให้คนดูต้องเมาไปกับหนัง ผมไม่ค่อยชอบเลย(คิดในใจแน่จริงแช่กล้องหรือตามธรรมดาซี่จะได้รู้ว่าเจ๋งแค่ไหนไม่ต้องมาหลอกตากัน) กับฝุ่นที่มันออกมามากมายเต็มไปหมดจนดูไม่รู้เรื่อง
4.ความแห้งแล้ง...........มีเพียงฉากเมืองบาบิโลนเท่านั้นที่ทำได้ตระการตาแต่ส่วนที่เหลือมันค่อนข้างแห้งแล้งเหลือเกิน สำหรับคนตีตั๋วเข้าไปดูหนังที่อลังการงานสร้างอย่างนี้น่าจะมีอะไรกลับให้คนดูบ้าง(แต่ถ้าผู้สร้างคิดว่าจะให้แต่ความเป็นดราม่าก็อีกเรื่อง )
5.ฉากสีแดงของสงครามครั้งสุดท้าย.....ผมว่ามันแดงเหมือนในHeroนะ กับเรื่องนั้นมันก็เหมาะดีแต่กับเรื่องนี้มันไม่ค่อยเข้ากับความรู้สึกตอนนั้นเท่าไหร่เลย
สรุป..........ถ้าคุณคาดหวังความยิ่งใหญ่ตระการตาเช่นTroy ผิดหวังแน่นอนครับ คาดหวังการรบฉากแอคชั่นผิดหวังแน่นอนครับ(มีฉากรบแค่2ฉาก) แต่ถ้าคุณชอบดูบทบาทการแสดง ชอบงานของOliverStone(แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่งานmasterpieceของเค้าอยู่ดี) คุณไม่ผิดหวังแน่นอน ยิ่งถ้าคุณเป็นแฟนของColin Farrell ได้ดูจนเอียนแน่นอนครับ กับ3ชั่วโมงก็ไม่น่าเสียดายตังค์อะไรแต่ผิดหวังเล็กน้อยไม่แน่ว่าถ้าตัดเหลือ2ชม.ผมอาจรู้สึกคุ้มค่ามากกว่าด้วยซ้ำ
26/11/2004
แต่ที่ขัดใจที่สุดคือ Colin นะ คิ้วดกดำกับผมสีบลอนด์ มันดูยังไงๆก็ไม่เข้ากันเอาซะเลย ถ้าเป็นคนอื่นเราอาจอินกับหนังได้มากกว่านี้มั้งคะ
แต่ที่โดดเด่นมากสุด เราว่า Jared นะ แสดงเป็นเพื่อนรักเจ้าชาย ตาสวยเหลือเกิน บทไม่มาก แต่ออกมาทีไรกินขาดทุกคนได้หมด