
........การนำนิยายมาสร้างเป็นหนัง ใช่ว่านิยายดีแล้วหนังจะประสบความสำเร็จไปด้วย แต่หลังจากนำมาสร้างเป็นหนัง Bridget Jones's Diary ก็ประสบความสำเร็จเช่นกัน ที่ต้องยกย่องคงไม่ใช่แค่ทีมผู้สร้างจากworking title คนสำคัญอีกคนหนึ่งที่ต้องยอมรับว่าทำให้นิยายเรื่องนี้มาเป็นหนังได้อย่างเต็มภาคภูมิคือRenee Zellweger เธอทำให้ทุกคนเชื่ออย่างสนิทใจได้ว่าเธอคือBridget และประสบความสำเร็จมากไปกว่านั้นอีกคือเธอทำให้ทุกคนที่อ่านBridget ต้องนึกว่าเป็นเธอ (ยังจำได้ว่าตอนที่จะสร้างหนังมีคนมากมายคัดค้านที่จะให้เธอมาเล่นและที่สำคัญเธอเป็นอเมริกัน แต่หลังจากหนังสร้างออกมาไม่มีใครซักคนที่จะไม่เห็นด้วย)
.....ไดอารี่เล่ม2นี้ เล่าเรื่องสานต่อจากภาคแรก ว่าชีวิตของBridget ที่ดูเหมือนว่าจะจบแบบhappy ending แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป ความรักของเธอกับ Mark Darcy ที่แตกต่างกันเหลือเกินในด้านบุคลิกนิสัยใจคอ และ การงาน จะดำเนินต่อไปอย่างไร เธอต้องมาอยู่ในโลกของเขาเธอจะอยู่ได้หรือไม่ และเมื่อ Daniel Cleaver กลับมาอีกครั้งเธอจะทำอย่างไร และหนังยังมีฉากของเมืองไทยที่เธอต้องมาทำรายการท่องเที่ยวในฐานะพิธีกรและต้องมาติดคุกที่เมืองไทย
.....กับรายได้และคำวิจารณ์ที่ออกมาจากทางเมืองนอก ทำให้ผมเองเข้าใจเหลือเกินว่าภาค2นี้น่าจะเป็นความผิดหวัง แต่เมื่อได้ดูแล้วคงต้องบอกว่าผมรู้สึกสวนทาง ความรู้สึกของความเป็นRomantic-Comedy ในภาคนี้อาจลดลง แต่มันกลับทำให้ผมรู้จักBridget Jones มากยิ่งขึ้น หนังให้มุมมองในการใช้ชีวิตคู่ที่แตกต่าง และยังฉายภาพความรักหลังhappy endingที่หนังหลายเรื่องก็จะจบตอนที่รักกัน แต่ชีวิตจริงคนเรานั้นไม่ได้จบแค่ตรงนั้น มันสำคัญต่อเนื่องไปอีกว่าเราจะรักษาความรักของเราต่อไปได้อย่างไร
สิ่งที่ชอบ 1.Renee Zellweger

.....บทBridget Jonesของเธอสมควรที่จะได้รับการยอมรับในแง่ของคุณภาพมากกว่านี้ แต่อาจเป็นเพราะหนังเป็นRomantic-Comedy ไม่ใช่ดราม่าเข้มข้นที่มักจะเข้าตากรรมการ จึงทำให้ถูกลืมไป ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่ม-ลดน้ำหนักตัวเองจริง/การเปลี่ยนสำเนียงตัวเองให้เป็นอังกฤษจ๋า/การแสดงที่น่ารักน่าชังและน่าเชื่อถือว่าเธอคือBridget Jones ตัวจริงเสียงจริง จนผมยังอดคิดไม่ได้ว่าถ้ามีภาค3 ต่อให้ดารามีฝีมือแค่ไหนมาแสดงก็คงไม่สามารถทำให้คนดูเชื่อได้เท่าเธอ เพราะตอนนี้Bridget Jones=Renee Zellweger โดยปริยาย
2.Bridget Jones......ผมมีความรู้สึกว่าผมเองได้รู้จักBridget Jonesมากขึ้นในภาคนี้ มากไปกว่าสาววัย30+ที่มีชีวิตอยู่กับไดอารี่และแคลอรี่กับการคอยหาความรัก มากไปกว่าบทcomedyกุ๊กกิ๊กในภาคแรก แต่แสดงให้เห็นบทdramaที่มากขึ้นมีความรู้สึก ความผิดหวัง ความต้องการ ฯลฯ
3.แง่มุมความรัก

.....หนังหลายเรื่องที่พูดถึงความรักมักจบที่คนสองคนรักกัน แต่น้อยเรื่องที่จะเล่าเรื่องต่อจากนั้น ชีวิตจริงคนเราก็เช่นกัน และยิ่งไปกว่านั้นเราคงเห็นตั้งแต่ภาคแรกแล้วว่าทั้งคู่มีความแตกต่างกันแบบนี้จะมีปัญหาเกิดขึ้นหรือไม่ บริดเจตจะปรับตัวอย่างไรในโลกของดาร์ซี่ และดาร์ซีจะยอมรับบริดเจตอย่างที่เธอเป็นอย่างไร หนังแสดงให้เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นหลายต่อหลายครั้ง และ หนังก็ให้คำตอบกับทุกคำถามได้เป็นอย่างดี ว่าสิ่งเดียวที่เป็นตัวคลี่คลายก็คือ ความรัก ความเข้าใจ และการยอมรับคนที่เรารักในสิ่งที่เค้าเป็น
4.Jacinda Barrett.....คือคนที่รับบทrebecca ทำไมเธอถึงมีเสน่ห์และน่ารักอย่างนี้
สิ่งที่ชอบน้อย 1.ส่วนเมืองไทย.....ผมไม่ได้รังเกียจมากมายในส่วนที่ฉายภาพเมืองไทย และก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้แสดงภาพเมืองไทยที่เลวร้ายอย่างที่หลายคนคิด มันอาจจะมีสีสันที่เกินเลยไปบ้าง(แต่ถ้าจะให้ฉายภาพแบบไม่มีสีสันหนังก็คงได้มีอะไรให้ดูเลย) เพียงแต่ผมรู้สึกว่าช่วงที่อยู่ในไทยช่วงแรกเป็นช่วงที่จังหวะหนังเริ่มชะงักและเบื่อๆเนือยๆไป (แต่ในฐานะที่เป็นคนไทยผมก็สามารถสนุกกับการได้ดูคนไทย ดาราไทยที่มาเล่น แต่สำหรับคนดูต่างชาติอาจเบื่อได้) จนกลับมาคึกคักอีกทีก็ตอนที่เธอถูกจับแล้ว
สรุป........สำหรับผมเองที่อาจต่างจากกระแสวิจารณ์ที่อ่านมาคือ หนังดีกว่าที่หวังไว้ สนุกกว่าที่คิด และไม่เสียดายเงินแม้แต่น้อยกับเงิน120บาทที่SF MBK รอบ17.45น. หนังให้รอยยิ้มกับความรู้สึกดีๆในตอนที่ดู ได้มองเรียนรู้แง่มุมชีวิตคู่ ได้พบกับบรรยากาศเดิมๆจากภาคแรก ได้ฟังเพลงกับดนตรีประกอบเพราะๆเพลินๆ และที่สำคัญทำให้ผมมีความสุขกับการได้เจอBridget Jones อีกครั้งหนึ่ง
19/12/2004