
..........เป็นที่น่าแปลกใจว่าหนังไทยที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น(ผมคิดเอง)ที่ผ่านมา หนังที่อยู่ในกลุ่มหนังรักดีๆมีน้อยมาก ทั้งๆที่คนไทยเราน่าจะทำหนังรักได้ดีไม่แพ้ชาติอื่นในเอเชีย ในช่วงปีที่ผ่านมามีเพียงเรื่องเดียวที่ผมชอบคือThe letter
...........หนังรักที่เป็นเรื่องราวหลักเดินเรื่องโดยคน2คนและไม่มีองค์ประกอบอื่นร่วมมาก ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้คนดูประทับใจหรือติดตามได้จนจบ ในปีนี้มี2เรื่องที่ผมได้ดูและประทับใจในลักษณะนี้คือ the letter ที่เล่นกันแค่2คนแต่จุดเด่นอยู่ตรงที่บทบาทการแสดงและความลึกของตัวละครและความบีบคั้นของเนื้อหา ในขณะที่Lost in translationมีจุดเด่นตรงบรรยากาศความเหงาที่ทำให้รู้สึกได้จริงซึ่งพิสูจน์ออกมาตอนจบที่มันรู้สึกจี๊ดอย่างแรง (LastLifeก็เป็นอีกเรื่องที่คล้ายกันแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันเป็นเหงาปลอม)
..............เรื่องนี้ผมตัดสินใจดูด้วยสาเหตุ1.ผมชอบหนังรัก 2.เป็นหนังของเพื่อนสมาชิกในพันทิพ(อันนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจยากเพราะมีอคติคืออยากเชียร์ ) 3.เสื้อในหนังก็เป็นเสื้อที่ผมเคยใส่ และ 4.เป็นหนังไทย ขอเพียงเป็นหนังไทยที่ทำออกมาไม่ดูถูกคนดูหรือเป็นหนังที่รู้จักทีมผู้สร้าง(เช่นหนังของเป็นเอกหรือหนังของยุทธเลิศ) ผมก็จะไปอุดหนุนอยู่โดยไม่ลังเล ด้วยเหตุนี้วันนี้ผมจึงนั่งมอเตอร์ไซค์ไปต่อรถไฟฟ้าแล้วก็มาอยู่ที่นั่งA15ในโรงลิโด้3รอบ16.30น. และน่าดีใจแทนคนสร้างที่รอบนี้คนดูค่อนข้างหนาโรงทีเดียว
.......................หนังเป็นเหมือนเรื่องที่พูดถึงการเรียนรู้ การที่จะรู้จักความรักของตัวนางเอกที่เป็นนักศึกษาแพทย์และได้มารู้จักกับพระเอกที่พักอยู่คอนโดห้องตรงข้ามกัน หนังเข้าใจเล่นในการที่หยิบยกเรื่องของหัวใจ(ในเชิงกายภาพ)มาเปรียบเทียบกับเรื่องของความรัก กับคำถามที่ดีว่า คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณมีความรัก หัวใจคุณมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร?
สิ่งที่ชอบ
1.บทเพื่อน.......เพื่อนพระเอกเป็นบทที่เล่นได้ดีและทำให้หนังตื่นขึ้นจากบรรยากาศราบเรียบได้ จะเห็นว่าหลายเรื่องบทนี้มักจะเป็นบทที่ขโมยซีนอยู่เสมอยิ่งถ้าได้คนที่มีลักษณะแบบนั้นจริงๆการแสดงก็เป็นเหมือนการไม่แสดง ในขณะที่เพื่อนของนางเอกที่เป็นนักศึกษาแพทย์ผู้ชาย ก็เล่นได้ดีและทำให้ส่วนที่มีเพื่อนนั้นทำให้หนังสนุกขึ้นมามากกว่าส่วนของตัวพระ-นาง
2.ตอนจบ.....ผมดูจนกลางเรื่องและก็เดาถึงตอนจบว่าจะจบแบบไหน(มันก็คงจบได้อยู่แค่2แบบถ้าหนังมาแนวนี้) และหนังก็เลือกจบได้ในแบบที่ผมประทับใจและรู้สึกดี มันสามารถตอบเรื่องราวที่หนังเล่ามาตอนแรกได้ทั้งหมด เพราะถ้าจบอีกแบบผมคงรู้สึกขัดใจและคิดว่ามันไม่สมจริงเลย
3.20นาทีสุดท้ายของหนัง.....อาจจะตะกุกตะกักไปบ้าง แต่ช่วงนี้ของหนังนับตั้งแต่ฉากที่ผมชอบมากคือตอนที่นางเอกหยิบรูปถ่ายให้เพื่อนและคลี่คลายสถานการณ์ รูปนั้นดูเหมือนไม่มีอะไรแต่มันอธิบายความรู้สึกเหตุกาณ์ของตัวละครเพื่อนทั้ง2คนนั้นได้ดีเหมาะกับชื่อเรื่องภาษาอังกฤษของหนังด้วยเช่นกัน และตั้งแต่นั้นมาหนังก็กลับมาทำให้ผมรู้สึกอินตามไปกับหนังด้วยจนจบ
4.นางเอก.....น่ารักมากๆๆๆๆครับ ไม่มีคำบรรยายใดๆนอกจากคำนี้ และยังเสียดายว่าถ้าบทมีอะไรที่ลึกหรือมากกว่านี้เธอจะมีเสน่ห์มากๆเลยทีเดียว
5.มุขตลก......ได้ผลค่อนข้างดีแทบทุกฉากครับ ไม่ถึงขั้นฮามากแต่ก็ยิ้มได้ทุกที(ชอบที่สุดคือตอนที่อาจารย์มาเขียนชื่อแนะนำตัว แหมมุขนี้เข้าใจคิด )
6.คำถามของอาจารย์.....คำถามของหนังที่โยงเรื่องของหัวใจที่เป็นอวัยวะที่เต้นตลอด24ชั่วโมง ไปกับเรื่องของความรักที่เป็นเรื่องของหัวใจเช่นกัน แต่เป็นคนละระนาบของความหมาย(กายภาพและนามธรรม) ว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อไรเรามีความรักแล้ว หัวใจที่คนเชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์ของความรักมันบอกอะไรเราได้หรือไม่ ตัวเรารู้ใจเราหรือไม่เป็นคำถามที่หนังเปิดได้น่าสนใจ แต่เสียดายที่ตอนจบหนังให้คำตอบกับคำถามนี้น้อยไปหน่อย
สิ่งที่ไม่ชอบ
1.บทพระเอกนางเอก......ทั้งที่2บทนี้น่าจะมีความสำคัญมากที่สุดแต่ผมกลับรู้สึกว่า2คนนี้คือคนที่ราบเรียบที่สุด หนังไม่ให้ความลึกใดๆกับทั้ง2คนเลย เช่น ถ้าจะถามว่า2คนนี้เป็นคนยังไงผมคงอธิบายให้ฟังไม่ได้เลย หรือมีที่มาที่ไปอย่างไร และสำคัญคือบทนางเอกที่ถึงแม้จะเป็นนักศึกษาแพทย์แต่การเป็นนักศึกษาแพทย์ไม่ได้หมายความว่าเธอต้องดูเงียบราบเรียบ ไร้อารมณ์แบบนี้ หนังน่าจะใส่ความลึกหรือมีลักษณะนิสัยที่มีสีสันมากขึ้น
2.บทพูดของพระ-นาง......ผมรู้สึกเหมือนทั้ง2คนกำลังมาถกกันในเรื่องปรัชญาของความรักแทบทุกทีคุยกัน และทำให้ฉากที่มี2คนนี้มันน่าเบื่อ และเนื้อความที่คุยกันผมก็จับอะไรไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอัน
3.บรรยากาศ.........ทั้งที่ผมเป็นคนชอบหนังรักที่บรรยากาศเนิบๆเช่นChristmas in august แต่เรื่องนี้ด้วยจากข้อ1และข้อ2 ก็เลยส่งเสริมให้หนังมีโทนที่แบนและราบจนเข้าขั้นเฉื่อยจนชวนหลับในช่วงต้น และผมรู้สึกถึงขั้นว่าเหมือนหนังตัดความรู้สึกของคนดูและหนังออกจากกัน ทำให้เหมือนผมนั่งเฝ้าดูเรื่องของคนอื่น
4.ดนตรีประกอบ......เพราะมั้ย? เพราะนะครับ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันไม่เข้ากับหนังมันคล้ายและเหมาะกับหนังเกาหลีมากกว่า อันนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะหูผมหาเรื่องหรือเปล่า แต่ตอนที่เป็นดนตรีเพลง"จะเก็บเธออยู่ในใจเสมอ"มันเข้ากับหนังได้มากกว่าและทำให้ซาบซึ้งกับช่วงนั้นได้ดี
5.ปวดตา.....ผมเข้าใจนะครับถึงที่มาของหนังเรื่องนี้และทำไมมันออกมาแบบนี้ แต่เชื่อว่าคนที่ไม่ได้เล่นเน็ตและไม่รู้อะไรเลย ดูแค่โปสเตอร์กับการโฆษณาต้องผิดหวังอย่างแรงเมื่อเข้าไปดูภาพที่ออกมาในแบบหนังเมื่อ10กว่าปีที่แล้ว ไม่ใช่ย้อนยุคแบบฟ้าทะลายโจร แต่มันไม่ชัดและทำให้ต้องเพ่งจนปวดตาอยู่หลายตอน
6.จังหวะที่สะดุดและเดาได้.....หลายจังหวะของหนังมาในจังหวะที่คนดูเดาได้ว่าต่อไปจะออกมาอย่างไรมุมใดเรื่องยังไง และหนังก็เดินแบบนั้นโดยไม่มีความแปลกใจหรือให้ความรู้สึกที่มากกว่าคนดูคิด หรือบางตอนจังหวะของหนังมันก็ขัดๆประดักประเดิกอย่างบอกไม่ถูก (เช่น ผมไม่ชอบฉากที่ให้นางเอกรับโทรศัพท์ของพระเอก หรือ ฉากพระเอกโกรธในร้านอาหารกับฉากที่เพื่อนนางเอกโกรธเพื่อนชายมันดูดราม่าหนักๆแต่มันไม่เข้ากับเหตุการณ์และดูเป็นการแสดงมากไปเหมือนดูละครทีวี)
สรุป..... ผมให้คาดหวังกับหนังเรื่องนี้มากกว่าการเป็นหนังนักศึกษาเพราะผมเสียเงิน100บาทเพื่อเข้าไปดูหนังใหญ่ไม่ได้มาให้กำลังใจหนังนักศึกษาและหนังก็เปิดตัวเหมือนหนังใหญ่เรื่องหนึ่งเลย(ถ้าเป็น"ลี้" ก็จะเป็นอีกกรณีหนึ่ง) และ ก็สรุปได้ว่าไม่ผิดหวังแต่มันก็ให้อะไรกลับมากับคนดูอย่างผมค่อนข้างน้อย ถ้านี่เป็นหนังนักศึกษาถือว่าเป็นหนังที่สอบผ่านได้คะแนนสูงแน่นอน แต่ในกรณีเป็นหนังใหญ่เรื่องหนึ่งเรื่องนี้ก็เป็นหนังที่ดีและสอบผ่านโดยอาจผ่านแบบคะแนนไม่ดีนัก แต่ก็มีอะไรดีๆที่น่าจับตามองและเป็นกำลังใจให้กับเรื่องต่อไปของผู้สร้างเรื่องนี้เช่นกัน
ปล.......แต่คงเป็นอีกเรื่อง ถ้าสมมติว่าผมเป็นคนดูที่เป็นกลุ่มคนที่ไม่รู้อะไรมากนอกจากคาดการณ์ว่าเป็นหนังรัก จากโปสเตอร์(ที่สวยมากๆตรงข้ามกับภาพในโรง) และได้เป็นคนเล่นเน็ตหรือชอบอ่านหนังสือภาพยนตร์ ผมเชื่อว่าหนังเรื่องนี้อาจสอบตกพร้อมกับอารมณ์เสียดายตังค์ จนผมคิดว่าถ้าจะเปิดตัวในหนังใหญ่เรื่องหนึ่งให้การโปรโมตแบบหนังใหญ่เรื่องหนึ่ง ก็น่าที่จะทำออกมาในคุณภาพของหนังใหญ่เรื่องหนึ่งเช่นกัน ไม่อย่างนั้นคนที่ไม่รู้อะไรเลยอาจรู้สึกเหมือนถูกหลอกได้
2/12/2004