
.....ผมเข้าไปดูRayที่สกาล่าเมื่อวานนี้รอบ17.45น.ด้วยเหตุผลเดียวคือผมอยากเข้าไปดูการแสดงของJamie Foxxที่เขาว่ากันว่ายอดเยี่ยม ในหนังดราม่าชีวประวัติของRay Charles โดยผู้กำกับTaylor Hackfordที่ทำให้ผมได้เคยดูหนังคุณภาพดีอย่างDolores Claiborne(น่าเสียดายที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จแต่เป็นหนังดราม่าที่สร้างจากนิยายของStephen Kingทีดีเรื่องหนึ่ง) กับหนังสองเรื่องล่าสุดที่ผมดูแล้วรู้สึกว่าเกือบเจ๋งนั่นคือProof of Life และ The Devil's Advocate
.....เป็นการจับคู่ที่สูสีในการเข้าเส้นชัยในบทดารานำชายโดยทั้งสองเรื่องจะว่าไปแล้วก็มีจุดร่วมคล้ายกันคือ
-เป็นหนังชีวประวัติที่เล่าเรื่องของผู้ชายคนหนึ่งที่มีทั้งจุดต่ำสุดและสูงสุดของชีวิตแต่ต่างกันที่บั้นปลาย
-มีความเป็นอัจฉริยภาพ
-ต้องต่อสู้ทั้งจากสังคมภายนอก(การต่อต้านในแนวดนตรีของพระเอก/ความพิการการถูกเอาเปรียบ)และปีศาจร้ายในใจที่คอยหลอกหลอนมาตลอดและอาการป่วยทางจิต
-รวมถึงการเลี้ยงดูที่ส่งผลต่อจิตใจมาถึงตอนโต
**แม่ของHoward Hughes พร่ำสอนถึงเรื่องเชื้อโรคและquarantine จึงมีผลให้ตอนโต กลายเป็นคนย้ำคิดย้ำทำ กลัวเชื้อโรค
**แม่ของRay Charles พร่ำสอนถึงการไม่ให้ถูกโกงและการไม่ให้คนดูถูก จึงทำให้เค้าใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ดิ้นรนต่อสู้และพร้อมจะตัดคนสำคัญในชีวิตออกไปถ้าสงสัยว่าจะมีการโกง
.....หนังเล่าเรื่องของRay Charles นักดนตรีตาบอดผิวสีที่เริ่มต้นจากเด็กตาบอดและค่อยๆประสบความสำเร็จในชีวิตโดยใช้อัฉริยภาพทางดนตรีของตัวเองในการเปิดทางสู่อนาคต จากเริ่มต้นที่ถูกเอารัดเอาเปรียบในความพิการ ด้วยความสามารถและความไม่ย่อท้อเค้าจึงค่อยๆประสบความสำเร็จไปทีละน้อย
.....แต่ระหว่างทางก็ต้องพบกับสิ่งที่คอยหลอกหลอนจากปมในอดีตและยาเสพติดที่เจ้าตัวใช้เพื่อช่วยให้ลืมความมืดบอดในใจของตัวเองและคอยบอกกับภรรยาว่ามีเพียงยาที่ช่วยให้เค้าเดินในที่มืดยามไม่มีใคร ทั้งที่จริงแล้วสิ่งที่มืดของเค้าหาใช่ตาไม่ แต่เป็นใจที่มืดบอดไปจากบาดแผลและไม่ได้รับการเยียวยา (จะว่าไปก็คล้ายกับPhantomในThe Phantom of the Operaที่ใส่หน้ากากเพราะเข้าใจว่าใครๆรวมทั้งนางเอกก็จะรังเกียจเพราะใบหน้าที่เหมือนปีศาจแต่ความจริงเป็นปีศาจที่อยู่ในใจของตัวเองต่างหากที่เป็นปีศาจที่แท้จริง) รวมทั้งหนังก็แสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวก็ไม่ใช่คนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ในยามที่ต้องทิ้งเพื่อน หรือ เพื่ออนาคตเค้าก็ทำได้
....หนังเล่าแบบตัดสลับระหว่างเหตุการณ์ปัจจุบันที่เริ่มมาหางานทำก่อนจะค่อยๆประสบความสำเร็จกับอดีตวัยเด็กให้เห็นที่มาก่อนจะตาบอด และหนังจะค่อยๆคลายปมให้เห็นว่าอดีตที่หลอกหลอนมาตลอดของเค้าคืออะไร
......ความยอดเยี่ยมทั้งหลายทั้งปวงคงต้องยกให้กับJamie Foxx เพียงคนเดียว เพราะถ้าไม่มีเค้าแล้วผมรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ไม่สนุกเท่าไหร่นัก มันขาดๆเกินๆบางเรื่องก็จบห้วนๆคลี่คลายแบบง่ายๆ แต่บางช่วงก็ใช้เวลาค่อนข้างยืดยาว (ขอเปรียบเทียบกับThe Aviatorหน่อย ว่าเรื่องนั้นก็ยาวแต่สนใจลงลึกในส่วนของการกระทำและจิตใจของพระเอก)
.....แต่อาศัยการแสดงJamie Foxx ที่ไม่เหมือนกับการแสดงแต่เหมือนกับเค้าเป็นอัจฉริยนักดนตรีและตาบอดจริงๆโดยถึงแม้ว่าคนดูอาจจะไม่เคยเห็นRay Charles มาก่อนก็ตาม
สิ่งที่ชอบ1.Jamie Foxx
....ถึงแม้ว่าบทของเค้าจะมีอารมณ์แสดงได้ไม่หลากหลายเท่าคู่แข่งในปีนี้อย่างLeonardo DiCaprio แต่การแสดงที่เหมือนไม่แสดงเป็นงานในระดับสุดยอดและควรจดจำมากที่สุดคาแรคเตอร์หนึ่งในปีนี้เลยทีเดียว (โดยส่วนตัวเชียร์เค้ามากกว่าลีโอ)
2.การแสดงดนตรี....สนุกและสุดยอดจริงๆทั้งเพลงที่ถ่ายทอดออกมาและทักษะการแสดงของเจมีฟ็อก
3.ชีวิตวัยเด็กและการเลี้ยงดู....ผมชอบที่หนังย้อนไปให้ดูว่าเรย์มีวัยเด็กอย่างไร แม่เลี้ยงดูเค้าอย่างไร(ตั้งแต่คำสอนตอนที่เริ่มรู้ว่าลูกจะตาบอดแล้วตอนที่ล้มก็เฝ้าดูให้ยืนขึ้นมาเอง) เราจะค่อยเห็นว่าอะไรที่ทำให้เรย์สามารถดิ้นรน และ เดินได้โดยไม่พึ่งไม้เท้า
4.เพลงและโชว์ในหนัง....ฟังไป+ดูไปก็สนุกไปด้วยจนอดไม่ได้ที่กลับบ้านไปต้องหาเวลาไปค้นเอาเทปเก่าๆที่เคยมีของRay Charlesกลับมาฟัง
สิ่งที่ไม่ชอบ1.บางส่วนห้วนๆบางส่วนยืดๆ....ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้นดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น(เช่นเรื่องปมของความรู้สึกผิดในวัยเด็กที่ฝังอยู่มาตลอดกับคำพูดของแม่ว่า"ทำไมไม่เรียกแม่"กลายเป็นเสมือนว่าเค้าเป็นคนต้องรับผิดชอบและความรู้สึกผิด(guilty)เป็นคนต้องรับผิดชอบกลับคลี่คลายได้ห้วนๆง่ายๆในฉากเดียวทั้งที่เราเห็นว่ามันหลอกหลอนเค้ามาทั้งชีวิต)และทำให้ผมรู้สึกอดเปรียบเทียบกับThe Aviatorไม่ได้ ทั้งสองเรื่องต่างกันที่The Aviatorถึงไม่มีลีโอแต่ได้นักแสดงที่ใกล้เคียงหนังก็ยังยอดเยี่ยมแต่rayถ้าไม่ได้เจมีฟ็อก หนังจะเป็นหนังที่ดีในระดับธรรมดาเรื่องหนึ่ง
2.ไม่อินไปกับตัวละคร....ผมคิดว่าหนังล้มเหลวในการถ่ายทอดอารมณ์มาถึงคนดูเพราะถึงแม้ว่าJamie Foxxจะเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมแต่ตอนดูผมกลับไม่รู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปกับเนื้อหาในหนังคือไม่ได้รู้สึกเอาใจช่วย/สงสาร/รังเกียจ เลย อาจเป็นเพราะบทที่เลือกจะเดินหน้าไปอย่างเร็วๆยืดๆเป็นเหมือนลูกศรที่ปลายทางคือตอนจบทำให้คนดูไม่ผูกพันกับตัวละครมากนัก
สรุป.....คุ้มค่าตั๋วกับการได้ดูการแสดงที่ยอดเยี่ยมและน่าจดจำของJamie Foxx สำหรับตัวหนังความรู้สึกผมเหมือนกับตอนที่ได้ดูสองเรื่องก่อนของผู้กำกับคนนี้(Proof of Life และ The Devil's Advocate) คือความรู้สึกเหมือนกับเกือบจะเจ๋งแต่มันก็ยาวๆห้วนๆไม่ค่อยสมดุลย์และถ้าไม่มี Jamie Foxx หนังอาจจะไม่โดดเด่นขนาดนี้
อ้อ.. แล้วอีกอย่างที่ชอบมากๆ คือ หนังไม่ได้นำเสนอแง่บวกอย่างเดียว (บางเรื่องที่เอามาจากเรื่องจริง เสนอแต่เรื่องดีๆ จนน่ารำคาญ) แล้วว่างๆ จะเขียนเล่าบ้างครับ