
... หากเราใช้ชีวิตอยู่เพียงคนเดียว จะทุ่มเทบ้างานแค่ไหนก็คงไม่มีใครต้องเดือดร้อน แต่หากมีครอบครัว ชีวิตก็เปลี่ยนไป เราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเราเท่านั้นแต่ชีวิตของเราเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว , ของคนรัก ,ของลูกหลาน ไม่ว่าจะ คนธรรมดาหรือฮีโร่ก็ไม่ต่างกัน คนส่วนใหญ่ที่ต้องล้มเหลวกับชีวิตเพียงเพราะเข้าใจว่า ชีวิตต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งจึงทุ่มกับมันจนสูญเสียอีกอย่างไป ทั้งที่จริงแล้วทั้งสองด้านนี้ไปด้วยกันได้ถ้าเจ้าของชีวิตจะรู้ตัวว่า ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ? เรากำลังทำเพื่อตอบสนองความปรารถนาในใจลึกๆของตัวเอง หรือ เพื่อตอบสนองความสุขที่แท้จริงของครอบครัว
Zorro เป็นฮีโร่ของประชาชน เขาจะไปถึงทันที่ทุกครั้งที่ผู้คนสั่นระฆังเรียกหา แต่ เขาไม่สามารถอยู่ได้ทันเวลาทุกทีที่ลูกต้องการ เมื่อภรรยามองว่าเขาบ้างานจนละทิ้งลูก ลูกไม่เคยเห็นหน้าพ่อตัวเองตอนเช้าก่อนไปเรียน เลิกเรียนแล้วพ่อไม่ได้มารับตามเวลา ฯลฯ ภรรยาจึงยื่นคำขาดให้เลือก ระหว่าง
บทบาทของสามี+พ่อ กับ
บทบาทของฮีโร่ เขาตัดสินใจเลือกการเป็น Zorro เพื่อประชาชน คำถามที่น่าสนใจเกิดขึ้น เมื่อภรรยาถามเขาต่อว่า
สิ่งที่เขาเลือกทำโดยคิดว่าเสียสละเพื่อคนอื่นๆนั้น จริงแล้ว เพื่อประชาชน หรือ เพื่อตัวเอง ? ...เสียงปรบมือชื่นชม ตำแหน่งที่เลื่อนขึ้นสูง ฯลฯ เป็นสถานภาพสังคมที่ห้อมล้อมให้คนเราหลงระเริงไปกับมันแล้วพยายามใช้เหตุผลว่า ที่เราทำเพื่อให้มีเงินมีทองใช้ ให้ครอบครัวมีสถานภาพที่ดีขึ้น ให้ลูกและภรรยามีความสุข ฯลฯ จริงหรือที่เราทำเพื่อคนอื่น ในเมื่อคนอื่นอาจเป็นเช่น ภรรยาของ Zorro ที่ไม่ได้เห็นดีด้วยกับเรา ความสุขที่เราคิดว่าหยิบยื่นให้มันคือความทุกข์ของคนที่ได้รับ ไม่ว่าจะเป็น ลูกที่ไม่เคยเห็นหน้าพ่อ ภรรยาที่ไม่เคยได้ปรับทุกข์กับสามี ฯลฯ นั่นเป็นเพียงเพราะ สิ่งที่เราทำเราคิดว่าเราทำเพื่อคนอื่น แต่ในส่วนลึกแล้วเราทำเพื่อตอบสนองความปรารถนาในใจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น การยอมรับ เสียงชื่นชม ฯลฯ
...นั่นจึงทำให้เราได้เห็นคนทำงานที่บ้างานหามรุ่งหามค่ำ ทำเพื่อให้ได้ตำแหน่ง ทำเพื่อให้ได้ยอด จนละทิ้งบทบาทของพ่อ บทบาทของสามี บทบาทของแม่ บทบาทของภรรยา ฯลฯ หลายคนอาจเป็นนายตำรวจตำแหน่งสูงเป็นที่รักของประชาชน หลายคนอาจเป็นนักธุรกิจประสบความสำเร็จในระดับสูง แต่สุดท้ายต้องสูญเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดไปคือ ครอบครัว น่าเศร้าที่ความระทมทุกข์นั้นเกิดขึ้นโดยที่เจ้าตัวยังคิดว่าตัวเองทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว โดยไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าตัวเองต้องสูญเสียไปเพราะอะไร ?
... การเปิดตัวของ Zorro

มากับสถานการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อในแคลิฟอร์เนีย ในช่วงที่กำลังจะเปลี่ยนสถานภาพตัวเองให้เป็นรัฐหนึ่งในอเมริกา พร้อมกับการมาของ Armand ชายหนุ่มชาวฝรั่งเศส ที่คนดูแค่ดูหน้าก็รู้ได้ว่ามีแผนร้ายอยู่ในใจ การต่อสู้ของเขาครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพื่อปกป้องแคลิฟอร์เนีย แต่เป็นการต่อสู้เพื่อดึงภรรยากลับมาสู่อ้อมอกอีกครั้งหนึ่ง Zorro ยังเป็นฮีโร่คนเดิม ที่ต่อสู้ด้วยดาบคู่กาย กับ ม้าคู่ใจ พร้อม แถบผ้าดำอำพรางตัวตน เขาไม่ใช้อาวุธปืน จนหลายครั้งยังคิดเสียดาย ว่าคนข้างตัวต้องตายเพราะมัวแต่โชว์เพลงดาบอันแพรวพราวอยู่นี่เอง
The Legend of Zorro ยกทีมเดิมมาจาก The Mask of Zorro ทั้งตัวผู้กำกับและนักแสดง ข้อดีกับการยกทีมเช่นนี้คือการเข้าคู่รู้ใจกันของคนในทีม งานที่ออกมาจึงรื่นไหลและไม่มีอะไรขัดตากับตัวละครและเรื่องราว ข้อเสียก็คือหนังยังยึดติดกับความสำเร็จเก่า ยกสูตรเดิมมาใช้ แล้วไม่สร้างความสดใหม่ให้กับตัวหนัง
... ผลลัพธ์คือความสนุกยังคงได้ผล แต่มันลดทอนความขลังไปมากเมื่อเป็นฉากประเภทขายของเก่า ดูได้จากฉากเปิดตัวที่อึกทึกครึกโครม แต่มันไม่ได้ดูน่าตื่นตาหรือน่าจดจำ แม้เสียงผู้คนจะโห่ร้องดีใจแต่คนดูอย่างผมกลับรุ้สึกเฉยๆเมื่อเห็น Zorro เปิดตัวออกมา ฉากแอคชั่นที่เหลือต่อจากนั้นก็เป็นในแนวเดียวกันคือ ให้ความรู้สึกสนุกในความอึกทึกแต่ขาดมนต์ขลังที่ดูแล้วประทับใจ

... มีเพียง Catherine Zeta-Jones

ที่แม้ว่าเธอจะไม่เพรียวลมเหมือนใน Ocean Twelve แต่สำหรับผม การแสดงกับเสน่ห์มารยาร้อยเล่มเกวียนของเธอ คือ สิ่งที่ดีที่สุดในบรรดาของเก่าทั้งหลายในหนังเรื่องนี้ การจับคู่ของเธอกับ Antonio Banderas ได้ผลลัพธ์ที่ดีเกินคาด ทั้งคู่ทั้งรับทั้งส่งกันได้อย่างลงตัว ฉากปีนมาเจอกันกลางคฤหาสน์ดูดีมาก หรือ ฉากเต้นรำตอนต้นก็ให้ความรู้สึกของคู่สามี-ภรรยาที่แง่งอนกันอยู่ได้น่ารักดี

ดาราเด็กที่มารับบทลูกของ Zorro ดูคล่องแคล่วกับการเล่นเป็น Zorroน้อย ได้ดีแต่ในแง่การแสดง ผมยังรู้สึกว่าเขาพยายามแสดงอยู่มากจนไม่เป็นธรรมชาติ นักแสดงอีกคนที่ขโมยซีนได้พอสมควรคือบาทหลวงคู่ใจของ Zorro ที่เล่นหน้าตายดี เขาไม่ทำให้ตัวเองต้องเป็นแค่ไม้ประดับบนจอ
... อีกส่วนหนึ่งที่เด่นมากขึ้นกว่าภาคที่แล้ว คือ มุขแพรวพราวที่ทยอยปล่อยออกมาจากทั้งตัวพระเอก นางเอก หรือ แม้กระทั่งจากม้า สำหรับผมมุขในหนังมีแป้กบ้างขำบ้างแต่มันก็เป็นความบันเทิงหนึ่งที่ทำให้หนังหลุดพ้นจากความน่าเบื่อไปได้ ต้องยอมรับว่าพล็อตเรื่องที่นำมาสร้างเป็นภาค 2 ฉลาดตรงที่ใส่เรื่องราวเข้ามา 2 ส่วน คือ เรื่องราวของครอบครัวของ Zorro ที่เขาต้องแย่งชิงสถานภาพตัวเองในครอบครัวกลับคืนมากับการปกปิดสถานภาพฮีโร่กับลูก และ เรื่องราวการต่อสู้ของ Zorro กับ Armand เพราะเชื่อเลยว่า หากมีแต่เรื่องราวของส่วนหลัง สำหรับผมหนังจะตกสู่สถานภาพหนังน่าเบื่อขึ้นมาทันที แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ความยาวเกือบ 2 ชั่วโมงของหนัง มันทำให้หนังขาดความกระชับ เป็นความสนุกที่แบบดูได้เรื่อยๆ ชนิดถ้าหิวน้ำจะออกมาซื้อน้ำแล้วกลับมาดูใหม่ก็ไม่รู้สึกเสียดายเวลากับช่วงที่พลาดไป
... อาจเป็นเพราะโดยส่วนตัวแล้วผมไม่ชอบหนังของผู้กำกับ Martin Campbell แทบทุกเรื่องที่ได้ดู หนังของ Martin Campbell มีดีตรงความสนุกที่โฉ่งฉ่าง วางฉากแอคชั่นใหญ่โต อึกทึก ครึกโครม บรรจงจัดฉากให้ดูดีแต่ไม่สามารถดึงอารมณ์ร่วมให้เกิดขึ้นด้วยได้ The Mask of Zorro ผลงานสร้างชื่อของเขา เป็นความบันเทิงที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่กับผมเองทั้งคู่เป็นแค่ความสนุกที่ผ่านเข้ามาแล้วผ่านไปไม่เป็นที่จดจำ (ขนาด GoldenEye ที่คนชื่นชมกันมาก ยังเป็นเจมส์ บอนด์ตอนที่เว่อร์และผมไม่ประทับใจมากที่สุดในบรรดาบอนด์ยุคหลังๆ)
สิ่งที่ชอบ
1. เสน่ห์ของ Catherine Zeta-Jones ... การใช้สายตา , สีหน้าเหรอหรา(เช่น ฉากสำลักควัน ฯลฯ) , ความร้ายกาจ และ น้ำตาของเธอ คือ ความสนุกที่มากกว่าฉากแอคชั่นทั้งหลายในเรื่อง
2. การเข้าคู่กันของ Antonio Banderas และ Catherine Zeta-Jones 
เข้าคู่กันแล้วดูน่าดูกว่าภาคแรกเสียอีก อาจเพราะบทด้วยที่ใส่ความขัดแย้งให้เกิดขึ้นกับสองตัวละครนี้ในเปลือกนอกแต่เนื้อแท้ยังห่วงหาอนาทรกัน ทั้งคู่ให้การแสดงที่ทำให้เราเชื่อได้ว่ารักกันมานานเกือบสิบปีและยังผูกพันกันอยู่แม้จะแยกจากกัน
สิ่งที่ไม่ชอบ
1.ซ้ำๆ ย่ำอยู่กับที่ ... เป็นเพราะระยะเวลาที่ฉายห่างจากภาคแรกไปนาน จนอาจทำให้คนดูลืมของเก่าไปได้บ้าง แต่หากหยิบภาคที่แล้วมาดูก่อนหน้าจะเข้าไปดูภาคนี้หรือสร้างภาคนี้ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ความสนุกที่มีจะยิ่งถดถอยลง เมื่อเราพบว่าความสนุกตื่นเต้นในภาคนี้ เป็นแค่เหล้าเก่าในขวดใหม่ที่เอามาเขย่าแล้วขายอีกรอบโดยเฉพาะฉากแอคชั่นทั้งหลายในเรื่อง หลายฉากเข้าขั้นเชยซึ่งไม่จำเป็นเลยแม้จะเป็นหนังย้อนยุคก็ตาม จนกลายเป็นว่าผมชอบภาคนี้ในส่วนคอมิดี้และดราม่ามากกว่าส่วนแอคชั่น
2.มนต์ขลังที่ลดลง ... ผ้าคลุมผืนใหญ่ ผ้าพรางตาสีดำ กับ ดาบ ไม่สามารถทำให้ผมร้อง
อู้หู โอ้โห ได้ มันให้ความรู้สึกแค่
อืม มาแล้วเหรอ เท่านั้นเอง
สรุป... ในขณะที่ฮีโร่คนอื่นๆไปกันได้ไกล The Legend of Zorro ยังเป็นการย่ำอยู่กับที่ของหนังฮีโร่ สำหรับคนที่ไม่ได้ชอบมาตั้งแต่ The Mask of Zorro เชื่อว่าดูภาคนี้ก็คงไม่ทำให้ชอบมากขึ้น สำหรับคนที่เคยชื่นชอบ The Mask of Zorro มาก่อนมาดูภาคนี้ น้อยคนที่จะชอบมากกว่าภาคที่แล้ว มิหนำซ้ำน่าจะมีคนดูจำนวนหนึ่งที่เริ่มรู้สึกจำเจจนสนุกกับมันน้อยลง แม้ว่า Zorro จะสามารถรักษาสถานภาพของหัวหน้าครอบครัวและฮีโร่ในจอได้ แต่กับคนดูหากยังไม่เดินหน้าไปไหนเช่นนี้ คาดว่าสถานภาพเดิมที่เคยมีจะอยู่ได้ไม่คงนาน ที่อยากจะเห็น คือ การเปลี่ยนมือผู้กำกับดูบ้าง สำหรับภาคนี้จะดูก็ได้แต่ไม่ได้ดูก็ไม่น่าเสียดาย
ความเห็นของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป
ติดตามบทความใหม่ๆ หรือ บทความน่าสนใจ หรือ เริ่มต้นอ่านBlogนี้มีข้อสงสัย คลิกไปเริ่มต้นที่ --> หน้าแรก
รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง