The Upside of Anger , เรื่องหนักๆของครอบครัวที่เล่าอย่างเบาๆ


... ในปี 1967 Holmes และ Rahe ได้ทำการศึกษาถึงความสัมพันธ์ ระหว่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตว่าส่งผลต่อระดับความเครียดกับคนมากน้อยอย่างไร เรียงลำดับไว้ 50 อันดับแต่ละอันดับก็จะมีค่า Life Change Unit (LCU) ที่แตกต่างกัน โดยเหตุการณ์ที่มีต่อความเครียดมากสุดอันดับ 1 ก็จะมีค่า LCU สูงที่สุด พบว่าเหตุการณ์ชีวิตที่ส่งผลต่อความเครียดใน 5 อันดับแรกเรียงตามความรุนแรงสุดนั้นได้แก่ การตายของคู่สมรส , การหย่าร้าง , การแยกกันอยู่ของคู่สมรส , การถูกจองจำและการตายของสมาชิกในครอบครัวที่ใกล้ชิด (ในปี1994 Miller และ Rahe ทำการวิจัยใหม่มีการเปลี่ยนแปลงตรงการตายของสมาชิกในครอบครัวขึ้นไปอยู่อันดับ 3) จะเห็นได้ว่า 4 ใน 5 อันดับแรกเหตุการณ์ที่มีความรุนแรงมากสุดในการเกิดความเครียดมาจากภายใน ครอบครัว

ความสมดุลในครอบครัวย่อมเปลี่ยนแปลงไป เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับสมาชิกคนใดคนหนึ่งของครอบครัว การสูญเสียคนที่เป็นทั้งหัวหน้าครอบครัว เป็นทั้งพ่อ ทั้งคนรัก มันไม่ใช่แค่การสูญเสียตัวบุคคล (Loss object) แต่มันหมายรวมถึงการสูญเสียความรัก (love) ความศรัทธา (faith) มิตรภาพ (companionship) อนาคตที่วางไว้ (future) ฯลฯ และเป็นการเพิ่มบทบาทที่มากขึ้นของคนที่เหลืออยู่ในครอบครัว


...แล้วจะไม่ให้คนเป็นแม่อย่าง Terry ไม่โกรธได้อย่างไร เมื่อพบว่าจู่ๆสามีหายไปอย่างไร้ร่องรอย พร้อมสมมติฐานที่เป็นไปได้มากที่สุดคือหนีไปกับผู้หญิง

....แล้วจะไม่ให้ลูกๆทั้ง 4 ไม่โกรธได้อย่างไร เมื่อ พบว่าความโกรธของแม่มาถ่ายเทลงครอบครัวที่เหลือแต่พวกเธอกับแม่ และพบว่าครอบครัวตัวเองจะไม่ใช่ครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมอีกแล้ว พวกเธอจะไม่มีพ่ออีกต่อไป


...หนังแสดงให้เห็นความเครียดที่ถาโถมเข้ามาใส่ตัวละครTerry ไม่ว่าจะเป็นความเหงา , ภาระหน้าที่ๆเพิ่มมากขึ้นและ การต้องรับมือกับลูกๆเพียงลำพัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ลูกสาวบอกว่าท้องและกำลังจะแต่งงานโดยไม่มีวี่แววมาก่อน /ลูกสาวอีกคนคบกับผู้ชายคราวพ่อ / ลูกสาวอีกคนคบเพื่อนผู้ชายท่าทางแปลกๆ ไม่น่าไว้วางใจ / ลูกสาวอีกคนอยากเรียนในที่ๆตัวเธอไม่อยากให้เรียน ฯลฯ สิ่งที่เป็นเพียงเพื่อนของเธอคือเหล้า จนกระทั่งการมาของ Denny เพื่อนข้างบ้านที่มีเหล้าเป็นเพื่อนดับทุกข์เช่นกัน

.....ไม่มีใจดวงไหนที่ไม่เคยมีรอยแผล ไม่เคยมีใจดวงไหนไม่เคยแตกร้าว แน่นอนมันต้องเจ็บปวดและทำให้เป๋ๆไปบ้าง แต่มันก็จะกลับมาทำงานดังเดิม แน่นอนไม่มีใครชอบความเจ็บปวดแต่ละคนจึงมีวิธีที่จะหลีกหนีความเจ็บปวดที่แตกต่างกัน Terry เลือกที่จะใช้สุราเป็นเพื่อนให้ลืมช่วงเวลาที่ร้าวรานในขณะที่ Denny เลือกที่จะใช้สุราและหลีกหนีความจริงที่จะต้องเผชิญหน้ากับเบสบอล เมื่อต่างฝ่ายต่างมาเจอกันแผลที่เจ็บนั้นก็เริ่มจะได้รับการเยียวยาและเมื่อนั้นสุราก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป

...หนังพูดถึงเรื่องความโกรธ แน่นอนทุกคนในเรื่องมีความรู้สึกนี้เกิดขึ้นและแสดงออกมาแตกต่างกัน หลายคนที่เวลาโกรธหรือเครียดแต่ไม่สามารถแสดงอารมณ์ออกมาได้ก็เหมือนกับ Andy ที่แสดงออกมาเป็นอาการทางกาย , บางคนก็ออกมาผ่านการใช้ยาเสพติดเช่น เหล้า ให้มันราดรดไฟโกรธให้มอดดับเหมือนTerry โดยที่จริงๆแล้วเธอหารู้ไม่ว่าที่มอดดับไป เป็นแค่ปลายทางของไฟแต่เชื้อไฟที่เกิดจากบาดแผลในใจที่ยังไม่เคยดับนั้น มันคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลารอจะลุกโชนขึ้นใหม่ ถ้ายังไม่หาต้นตอและเยียวยามัน

....นอกจากนี้บางครั้ง ไฟโทสะมันมาจากความไม่เข้าใจที่ปล่อยทิ้งไว้จนลุกโหมใหญ่โต คุณเคยหรือไม่ที่โกรธพ่อแม่ที่ไม่เคยรับฟังในสิ่งที่คุณต้องการ (เหมือนอย่างที่ Emily อยากทำงานมากกว่าการเรียนต่อ) , โกรธที่พ่อแม่ไม่เคยแสดงออกท่าทียอมรับหรือเห็นด้วยในสิ่งที่คุณคิดในสิ่งที่คุณเป็น(เหมือนกับ Andy ที่คิดเสมอว่าแม่ไม่เคยยอมรับไม่สนใจในการเต้นที่เธอรักและอนาคตที่เธอวางไว้) , โกรธที่ไม่เคยพูดจาเข้าหูหรือจูนกันติดเลย (เหมือนกับ Hadley ลูกสาวคนโตที่ทะเลาะกับแม่หลายครั้งเพราะความไม่เข้าใจ)

... ไฟโทสะที่เกิดขึ้นท่ามกลางความไม่เข้าใจคงไม่มีวันมอดลงได้หากแต่ละฝ่ายไม่หันหน้าเข้าหากัน Andy โกรธที่แม่เธอไม่เคยยอมรับตัวตนของเธอ และโกรธจากความคิดที่ว่าแม่ไม่เคยรักและสนใจตัวเธอ

บางครั้งลูกไม่เคยรู้ว่าพ่อแม่คอยเฝ้ามองและเป็นกำลังใจให้อยู่ เพราะหากเป็นลูกที่เก่งที่สุดก็มักจะได้รับการดูแลน้อยที่สุด พ่อแม่คิดว่าลูกคนนั้นดูแลตัวเองได้โดยหารู้ไม่ว่าบางครั้งลูกคนนั้นจะรู้สึกว่าตัวเองได้รับความสนใจจากพ่อแม่น้อยที่สุด และคิดว่าพ่อแม่ไม่รักตัวเอง

Andy คงต้องปวดท้องครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าTerryไม่เปิดใจบอกความรู้สึกหรือแสดงออกสิ่งที่ตัวเองมีให้ลูกรับรู้ หรือไม่ยอมรับในสิ่งที่เธอเป็น (ฉากที่โรงพยาบาลก่อนกลับบ้านและฉากที่สายตาของคนเป็นแม่เห็นลูกโลดแล่นบนเวทีตามความฝันของลูกที่ฝันไว้ เป็นฉากที่ทะลายกำแพงอารมณ์ของทั้งคู่และเป็นฉากที่ดีที่สุดในเรื่องฉากหนึ่ง )

Terr yเองก็เช่นกัน ความโกรธขึ้งที่เธอต้องสูญเสียคนรักมันทำให้เธอโยนความโกรธลงไปที่ Danny {การมาของเขาในด้านหนึ่งก็เป็นตัวแทนของคนรัก} โดยที่เธอคงไมมีวันรู้ตัว หากเขาไม่สารภาพความรู้สึกตัวเองที่เหมือนถังขยะรองรับอารมณ์ของเธออย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เมื่อไฟโกรธเริ่มเบาลง จากฉากบนโต๊ะอาหารที่เกิดรอยยิ้มและเสียงหัวเราะโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ในสายตาคนนอก คงจะไม่เข้าใจว่าทำไมสาวๆบ้านนี้ถึงขำโดยไม่มีสาเหตุ แต่พวกเธอล้วนต่างรับรู้ถึงความรู้สึกดีๆที่เกิดขึ้นเวลานั้น และ มันกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ไร้ซึ่งความโกรธเกลียดอีกต่อไป

... การเดินทางของครอบครัว Wolfmeyer เป็นการเดินทางของชีวิตที่ไม่ต่างจากครอบครัวของเราๆหรือของคนข้างบ้าน เป็นปัญหาธรรมดาสามัญที่เดินไปก็พบได้ไม่ยากเย็น เช่น ปัญหาการถูกทอดทิ้งหรือหย่าร้าง , แม่ติดเหล้า , ลูกท้องก่อนแต่ง , ลูกไม่อยากเรียน , ปัญหาลูกไม่เข้าใจพ่อแม่ ฯลฯ

แน่นอนการเดินทางของทุกครอบครัวย่อมมีร่องรอยของการหกล้มหรือมีบาดแผลผ่านเข้ามา การทะเลาะเบาะแว้งหรือกระทบกระทั่งให้ใจต้องเจ็บช้ำ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แต่สิ่งเหล่านั้นมันก็จะผ่านพ้นไปและเหลือไว้แค่รอยแผลให้คิดถึงเท่านั้น หากความรักและความเข้าใจยังหล่อเลี้ยงอยู่ต่อเนื่อง

ตรงกันข้าม หากชีวิตไม่สามารถปรับตัวได้เฝ้าแต่โกรธขึ้ง โทษกันไปมา หรือคอยแต่ทำลายให้เกิดความเสียหาย มันยิ่งจะมีแต่ทำให้ร้าวรานบานปลาย การล่มสลายของสถาบันครอบครัวที่มิอาจจะเยียวยาก็จะตามมา

The Upside of Anger ....เป็นภาพยนตร์ที่หากว่ากันด้วยเหตุผลแล้ว หนังมีข้อบกพร่องอยู่เล็กๆน้อยๆกระจัดกระจาย เช่น ธีมของหนังที่ต้องการสื่อดูไม่ได้ไปตามทิศทางที่หนังกำลังเล่า ที่รู้สึกชัดๆคือการพูดบรรยายด้วยตัวละครที่ปิดเรื่องราวตอนท้ายและที่สอดแทรกมาเป็นช่วงๆเกี่ยวกับความโกรธนั้น ดูแล้วไม่ได้เข้ากับตัวหนังเท่าไหร่ หนังไม่ได้แสดงออกให้คนดูได้เห็นและคล้อยตามคำพูดที่หนังต้องการสื่อสาร หนังจับประเด็นไปที่ความสัมพันธ์มากกว่าเรื่องที่ว่าความโกรธเปลี่ยนแปลงคนได้อย่างไร

จริงอยู่ว่า Joan Allen เธอแสดงเรื่องนี้ได้ดีเหมือนกับโชว์ของเธอเอง แต่ผมกลับรู้สึกว่าบท Terry ของหนังยังไม่อยู่กับร่องกับรอย คนเขียนบทยังไม่แม่นยำในการวางคาแรคเตอร์ตัวละครนี้ทำให้พฤติกรรมของตัวละครบางหนเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเดี๋ยวหนักเดี๋ยวเบาอย่างไม่มีคำอธิบาย ,หนังไม่ให้แบคกราวด์ของบท Danny มากเท่าไหร่นักจึงทำให้คนดูไม่เข้าใจว่าความเจ็บปวดของเขา เท่าที่เราเข้าใจความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับ Terry หรือ จุดสำคัญตอนจบที่ดูแล้วมันไม่น่าเชื่อถือว่าจะเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้น และมันออกจะหลุดๆออกนอกทางไปนิดไม่ช่วยเสริมเรื่องราวที่เล่ามาทั้งหมด (คือเหมือนหักมุมให้มีเท่านั้นไม่ได้ใช้ประโยชน์จากจุดนี้ให้มากพอ) ที่กล่าวมานั่นคือข้อพร่องเล็กๆน้อยๆภายใต้การมองด้วยเหตุผล แต่เมื่อตัดเหตุผลหยุมหยิมทิ้งไป ผมชอบหนังเรื่องนี้ทีเดียวและไม่รู้สึกว่าข้อบกพร่องของหนังส่งผลต่อตัวหนังแต่อย่างไร

....เพราะผมเองมักตกหลุมรักหนังที่ให้ความรู้สึกสบายๆผ่อนคลายแต่ไม่น่าเบื่อกับคนดู (เช่นความรู้สึกที่ได้หลังการดูเรื่อง Sideways หรือ In good company) กับเรื่องนี้แล้วโดยตัวเนื้อหา หนังสามารถจะหันหัวเรือไปในทางของหนังดราม่าเข้มข้นระเบิดอารมณ์ได้ไม่ยากเลยกับเรื่องราวของผู้หญิงที่สูญเสียสามีไปอย่างไร้ร่องรอย และต้องรับภาระกับลูกๆที่กำลังเปลี่ยนแปลง บวกกับบทสรุปตอนจบที่สามารถทำให้ตัวละครในเรื่องต้องรู้สึกทนทุกข์หรือผิดมากขึ้นไปอีก แต่หนังไม่ได้นำอารมณ์คนดูไปในทิศทางนั้น

หนังหยิบเรื่องราวหนักๆเรื่องราวที่เป็นทุกข์อันอันแสนสาหัสของครอบครัวที่พบอยู่บ่อยๆ มาเล่าด้วยโทนที่เบาๆผ่อนคลาย และหยิบยกสิ่งดีๆที่มันสามารถเกิดขึ้นได้หากเราจะมองหา ทำความเข้าใจกับมัน แทนที่จะปล่อยให้พายุอารมณ์มันพัดกระหน่ำจนทำลายครอบครัวให้ย่อยยับลงไปอีก

......นอกจากการแสดงอันน่าชื่นชมของ Joan Allen แล้วบทผู้ชายคนเดียวในครอบครัวของ Kevin Costner ก็ช่วยให้หนังผ่อนคลายลงไปได้เป็นอันมากเพราะเขาเล่นได้อย่างผ่อนคลายและสบายๆจริงๆ ครั้นเมื่อต้องระเบิดอารมณ์ก็ยังทำออกมาได้ดีและน่ารักไม่เลวเลย การจับคู่กันของทั้งคู่เป็นเคมีที่เข้ากันได้ดีเหลือเกิน นอกจากนี้ 4 สาวดาวรุ่งที่เหลือก็มาประชันรัศมีกันได้ไม่มีใครน้อยหน้าใครถึงบทจะส่งไปที่ Erika Christensen มากเป็นพิเศษก็ตาม

สิ่งที่ชอบ

1.อารมณ์ของหนัง...ดูแล้วสบายๆ ไม่น่าเบื่อไม่เร้าอารมณ์ เป็นความเรื่อยๆที่มีความสุขขณะรับชม

2.การกำกับ , การ Casting และการแสดงของ 4 ดรุณี...ภาพยนตร์รวมดาวสาวสยามเรื่องนี้ใช้ประโยชน์จากดาวรุ่งทั้ง 4 ได้ดี ที่ดีไม่แพ้กันคือคนคัดเลือกนักแสดงทั้ง 4 คน เพราะดูจากรูปนิ่งแล้วยากที่จะเชื่อว่าพวกเธอเป็นพี่น้องกัน แต่เมื่อมาดูในหนังทั้ง 4 คนดูสนิทสนมกันได้ดีชนิดไม่แปลกตา และดีตรงที่ว่าไม่มีใครชิงเด่นเกินใครบนจอทั้ง 4 คนคือพี่น้องแห่งครอบครัว Wolfmeyerg เหมือนๆกัน

3. Joan Allen + Kevin Costner ...รายแรกเยี่ยมแค่สายตาก็ระเบิดพลังได้มากเพียงพอแล้ว รายหลังดีที่สุดของงานช่วงหลังๆ การจับคู่ของสองคนนี้ลงตัวเหมาะเจาะดีเป็นสูตรเคมีที่เข้ากัน

4.มุขเล็กๆน้อย...ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดาวหางฮัลเลย์หรือระเบิดที่โต๊ะอาหารเป็นมุขเล็กๆน้อยๆที่ผ่อนคลายคนดูตลอดเรื่อง และมันมีส่วนที่ลดทอนความหนักของเรื่องราวในหนังให้ผ่อนคลายเบาลงเป็นอย่างดี

5.งานกำกับของ Mike Binder...จุดเด่นที่สุดคือการกำกับอารมณ์ของหนังให้ออกมาในโทนนุ่มนวลตลอดทั้งเรื่อง จนลดจุดบอดด้านอื่นๆของหนังลงได้เป็นงานกำกับที่น่าชื่นชมเรื่องหนึ่งของผู้กำกับคนนี้ (ไม่เพียงเท่านั้นเขายังมาเล่นด้วยอีกต่างหาก เชื่อหรือไม่ว่าผู้กำกับคนนี้คือคนที่รับบท Shepในเรื่อง)

สรุป...เป็นหนังดราม่าครอบครัวเบาๆที่ดูแล้วผ่อนคลาย อาจไม่ใช่หนังที่ดีเลิศหรือยอดเยี่ยม มีหลายเหตุผลที่จะบอกว่าหนังเรื่องนี้มีรูโหว่ แต่ทั้งหลายแหล่ไม่มีผลอะไรมากนักเพราะมันทำให้ 2 ชั่วโมงของผมที่สกาล่าตอน 20.45 น.ของวันศุกร์เป็นเวลาที่สร้างความสุขกับการดูหนังได้เต็มอิ่ม เป็นความรู้สึกเดียวกับที่ได้ดูIn good company หนังที่เล่าเรื่องหนักๆด้วยลีลาเบาๆ และทำให้คนดูเป็นสุขเมื่อหนังจบ



ติดตามบทความใหม่ๆ หรือ บทความน่าสนใจ หรือ เริ่มต้นอ่านBlogนี้มีข้อสงสัย คลิกไปเริ่มต้นที่ --> หน้าแรก


รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง



ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป


Create Date : 07 สิงหาคม 2548
Last Update : 10 เมษายน 2549 22:59:13 น.
Counter : 2292 Pageviews.

8 comments
สวัสดีปีใหม่ Rain_sk
(1 ม.ค. 2567 21:38:33 น.)
The Last Thing on My Mind - Tom Paxton ... ความหมาย tuk-tuk@korat
(1 ม.ค. 2567 14:50:49 น.)
ทนายอ้วนจัดดอกไม้ - จัดดอกไม้ง่ายๆ – แจกันสวัสดีปีใหม่ 2567 - กุหลาบพวงสีชมพู - ขาว ทนายอ้วน
(2 ม.ค. 2567 15:16:32 น.)
สวัสดีปีใหม่ Rain_sk
(1 ม.ค. 2567 21:38:33 น.)
  
ว่าจะออกไปดูตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว เสียดายจัง ถ้าเห็นบล๊อคคุณก๊กเร็วกว่านี้หน่อยก็คงออกไปแล้วล่ะ ช่วยบิ๊วความอยากดูได้ดีจริงๆ ไม่เป็นไร พรุ่งนี้จะไปให้ได้เลย ไงก็สุขสันต์วันเกิดย้อนหลังหนึ่งวันนะ
โดย: Androphobia (Androphobia ) วันที่: 7 สิงหาคม 2548 เวลา:20:26:08 น.
  
สุขสันต์วันเกิดย้อนหลัง ๒ วันค่ะ

อวยพรให้พบสิ่งดีๆ ยิ่งกว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมานะคะ


อย่าลืมทำอะไรดีๆ เป็นของขวัญวันเกิดให้ตัวเองด้วยนะคะ
โดย: สาวไกด์ใจซื่อ วันที่: 8 สิงหาคม 2548 เวลา:13:31:54 น.
  
สุขสันต์วันเกิด ย้อนหลังหลายวันมาแล้วค่ะ

เพิ่งได้เข้ามาอ่านถึงหนังเรื่องนี้

น่าสนใจมาก

ไม่รู้ที่นี่ออกไปหรือยัง

อย่างไรจะหามาชมให้ได้ค่ะ
โดย: พฤษภาคม 2510 วันที่: 17 สิงหาคม 2548 เวลา:13:18:30 น.
  
มาอ่านค่ะ
โดย: nam IP: 203.113.70.11 วันที่: 19 กันยายน 2548 เวลา:11:06:21 น.
  
แวะมาเยี่ยมค่ะ ..อ่านแระ สุดยอดค่ะ..อิอิ

โดย: VSr. วันที่: 29 ตุลาคม 2548 เวลา:21:44:53 น.
  
เผลอซื้อดีวีดีเรื่องนี้มาอ่ะครับ เสียดายตังจัง มันแพงอ่ะ 300 กว่าๆ แน่ะครับ หยิบเพลินลืมดูราคา เฮ้ออออ.... ก็ได้แต่เชียร์ให้ Joan Allen เข้าชิงออสการ์ จะได้ไม่เสียดายตังมากน่ะครับ
โดย: ayres IP: 203.113.76.75 วันที่: 20 ธันวาคม 2548 เวลา:15:38:25 น.
  
อยากดูจังค่ะ...
จริงๆ อยากดูตั้งแต่อ่านบทวิจารณ์จากนิตยสารแล้ว ยิ่งมาอ่านบทวิจารณ์ของคุณยิ่งอยากดูใหญ่เลย...
หมดช่วงงบแล้วไปหาหนังดีๆ ดูดีกว่า

(อ่านหลายเรื่อง เลยอยากดูเยอะแยะไปหมด)
^_____^
โดย: SnowBelL IP: 124.120.117.191 วันที่: 3 พฤษภาคม 2549 เวลา:17:40:42 น.
  
ตัวละครมีมิติดีค่ะ โดยเฉพาะตอนเฉลย อึ้งอยู่เหมือนกัน ดูแล้วก็โกรธแม่อ่ะ
โดย: sweet jane IP: 61.19.172.34 วันที่: 27 มีนาคม 2550 เวลา:17:56:13 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Aorta.BlogGang.com

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]

บทความทั้งหมด