
..Julianne Moore กับ Nicole Kidman แสดงร่วมกันได้อย่างยอดเยี่ยมเรียกได้ว่าแสดงพลังหญิงได้อย่างน่าทึ่งในThe Hours น่าแปลกใจที่วันนี้เธอทั้งสองคนกลับมาในโรงภาพยนตร์พร้อมๆกันที่เมืองไทย คนแรกมากับBirthและคนหลังมาพบผมที่โรงสยามวันนี้ตอน16.30น.กับ The Forgotten
......ผมอยากดูหนังเรื่องนี้ตอนได้อ่านเรื่องย่อในหนังสือ และยังคิดชื่นชมว่าหนังมีพล็อตที่น่าสนใจมากๆอีกเรื่องหนึ่ง กับเนื้อเรื่องที่ว่า ผู้หญิงคนหนึ่งที่พร่ำคิดถึงลูกชายที่ตายจากไป แต่คนรอบข้างกลับบอกว่าเธอไม่เคยมีลูกชายมาก่อน คำถามที่ชวนให้ค้นหาคือเรื่องจริงเป็นอย่างไร? และผมก็พบว่ามี3สิ่งของหนังที่ไม่น่าจะถูกลืม(forgotten)
1.เรื่องของอาการทางจิต VS. เรื่องราวเหนือธรรมชาติ..... เป็นพล็อตที่น่าสนใจมาตลอดในการ มาจับคู่กันและให้คนดูเกิดคำถามว่าตัวเอกของเราป่วยทางจิต หรือ มันเป็นเรื่องจริง (เช่น K-Pax ที่โจทย์บอกว่าพระเอกเป็นมนุษย์ต่างดาว คำถามคือเค้าป่วยหรือเค้าเป็นจริงๆ หรือล่าสุดคือ Birth-หนังเริ่มต้นด้วยคำถามเช่นกันว่า เด็กคนที่มาอ้างว่าเป็นสามีของนิโคลนั้น ป่วยทางจิต หรือ เป็นการกลับชาติมาเกิดจริง) จุดอ่อนของหนังพล็อตแบบนี้คือ หนังมักหาคำตอบที่ดีให้กับคำถามตัวเองได้ไม่น่าพอใจ (ยกเว้นBirthที่น่าสนใจตรงที่ว่าคำถามนี้ไม่ใช่สิ่งที่ล่อลวงให้คนดูอยากรู้จนจบแต่หนังเบี่ยงให้คนดูไปสนใจที่ว่าชีวิตคนรอบข้างเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และเป็นตัวอย่างที่ดีในการจบเรื่องที่เริ่มไว้ยากได้อย่างน่าพอใจ)
2.เล่นกับความทรงจำ.......หนังที่เล่นกับความทรงจำเรามีทั้งMementoที่พูดถึงความทรงจำที่ขาดหายเป็นช่วงสั้นๆ เป็นthrillerแบบสลับซับซ้อนที่น่าทึ่ง /มี50 first datesที่พูดถึงความทรงจำที่อยู่ได้แค่ไม่เกินข้ามวันเป็น Romantic-comedyที่น่ารัก มาเรื่องนี้หนังเล่นในเรื่องของ ความทรงจำ ที่ขาดหายไป หรือมันเป็น ความทรงจำที่นางเอกใส่เข้ามาเอง และเดินเรื่องในตอนต้นมาในแนวของหนังThriller
.......หนังเล่าเรื่องในสไตล์หนังฮอลลีวูดพันธ์แท้ มาพร้อมกับการแสดงในระดับมาตรฐานของJulianne Moore การดำเนินเรื่องที่แฝงความน่าสงสัยเคลือบแคลงจากรอบข้าง ดนตรีประกอบที่ปลุกเร้าอารมณ์ และ วิธีการเดินเรื่องที่เดาจังหวะและรูปแบบที่จะเกิดได้ไม่ยากนัก(แต่เดายากในส่วนของเนื้อหาว่ามันเกิดอะไรขึ้น) พร้อมกับมีฉากที่ทำให้ตกใจเป็นระยะๆ ด้วยความที่หนังเดินเรื่องแบบสูตรสำเร็จของหนังแนวนี้ ผมจึงไม่รู้สึกประทับใจอะไรมากระหว่างดู แต่มีความอยากรู้ว่า เรื่องราวจริงๆมันเป็นอย่างไร
......จนเมื่อเกิดการระเบิดของบ้านพักและการหายไปของเจ้าหน้าที่NSAในฉากนั้น ผมก็เริ่มรู้สึกว่า เฮ้ย ชักไปกันใหญ่แล้ว จากนั้นในหัวผมก็มีสมมติฐานตามว่าสงสัยหนังคงจะเป็นแบบนี้แน่นอน(พร้อมกับอีกความคิดนึงขัดมาว่า เฮ้ยคงไม่ใช่หรอก เพราะผมไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย) และสุดท้ายมันก็เป็นแบบที่ผมคิดจริงๆ เหมือนกับเมื่อเรารู้จักประธานบริษัทสายการบินQuestair หนังก็หมดความน่าสนใจในสิ่งที่ตัวเองสร้างมาตั้งแต่แรกในทันที พร้อมกับอารมณ์แบบดูไปเรื่อยๆ และเมื่อหนังจบสิ่งที่ผมประทับใจกลับเหลือเพียง
3.สายสัมพันธ์แม่-ลูก....ถ้าEternal sunshine of spotless mind พูดถึงความรักที่ไม่อาจลบหายได้แม้ว่าเราลบความทรงจำ หนังเรื่องนี้ก็แสดงที่จะให้เห็นว่าความผูกพันในความเป็นแม่-ลูกนั้น ต่อให้พยายามลบความทรงจำเพียงใดก็ไม่อาจลบเลือนไปได้เช่นกัน
สิ่งที่ชอบ 1.3ข้อข้างต้น
2.หนังตัวอย่าง....ทำออกมาได้น่าติดตาม ชวนอยากดู เป็นอย่างยิ่ง
สิ่งที่ไม่ชอบ 1.คำตอบของเรื่องราว.....ด้วยหนังสร้างความคาดหวังไว้สูงในการเริ่มต้นและเหมือนจะมีอะไรให้ค้นหา แต่หนังกลับเฉลยแบบตัดปัญหาไปซะดื้อๆ ผมเองผิดหวังพอสมควร
2.ไม่มีความแปลกใหม่/ไม่มีอะไรโดดเด่น.......นอกจากพล็อตที่น่าสนใจ หนังมีทั้งดาราคุณภาพ โปรดักชั่นในระดับมาตรฐาน แต่หนังกลับเดินเรื่องเหมือนมินิซีรี่ตอนหนึ่งที่ไม่มีอะไรในตัวเด่นและแปลกใหม่เลย
สรุป...อดไม่ได้จริงๆที่ผมจะไปเปรียบกับBirthที่ผมเพิ่งได้ดูเมื่อสัปดาห์ก่อน เรื่องนั้นเริ่มต้นกับพล็อตที่ดูไม่น่าสนใจแต่ยิ่งดูไปหนังทำให้ผมอยากดูต่อไปเรื่อยๆและเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งพร้อมกับมีอารมณ์ร่วมกับหนังไม่รู้ตัว ในขณะที่The Forgotten เริ่มต้นอย่างน่าสนใจน่าติดตาม แต่เมื่อได้ตามไปเรื่อยๆตัวผมก็เริ่มออกห่างจากหนัง และก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่น่าจดจำเท่าไรนัก และค่อนข้างผิดหวังครับ
Spoiler...แค่บอกว่าผมรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เป็นเหมือน1ตอนของ x-files ที่นำมาขยายสเกลใหญ่ขึ้น มิหนำซ้ำยังไม่ใช่ตอนที่น่าจดจำเท่าที่ควรด้วยซ้ำ ..
....ความรู้สึกที่ผมเจอมนุษย์ต่างดาวในเรื่องนี้ไม่ต่างกับตอนที่ผมได้เจอมนุษย์ต่างดาวใน AI. เลย (ความรู้สึกแบบ มีมาทำไม?) .....
ดูทีแรกก็ตื่นเต้นน่าติดตามดี
พอดูต่อไปเรื่อย ๆ ชักหลุดโลกไปหน่อย
ตัวเดินเรื่องก็มีแค่ 2-3 คนเอง
ฉากที่ควรจะตื่นเต้น ก็แทบไม่ตื่นเต้นเลย