The Fountain , เรารู้จักความตายมากมายแค่ไหนกัน (ศาสนา+จิตวิทยา+วิทยาศาสตร์) ...ผมมีโจทย์ให้ลองตอบเล่นๆอยู่สองข้อ 1.ถ้าคนที่คุณรัก อาจจะเป็น พ่อ แม่ ลูก หรือ คู่ชีวิต ป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้ายที่รู้ว่าใกล้ตายในไม่กี่วันข้างหน้า และ รักษาไม่หายแน่ๆ คุณอยากให้เขาหรือเธอ ใช้เวลาในช่วงสุดท้ายของชีวิตอย่างไร จะยินยอมให้หมอผ่าตัดครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อยืดเวลา จะใช้ยาเคมีบำบัดพร้อมรอใส่เครื่องช่วยหายใจให้หมอยื้อชีวิตเต็มที่ หรือ อยากจะพาเขากลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านกับคนที่รักและห่วงใย ลองคิดคำตอบไว้ในใจ แล้วมาดูโจทย์ข้อที่ 2. 2.ถ้าคุณป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้ายที่รู้ว่าใกล้ตายในไม่กี่วันข้างหน้า และ รักษาไม่หายแน่ๆ คุณอยากจะใช้เวลาในช่วงสุดท้ายของชีวิตอย่างไร จะยินยอมให้หมอผ่าตัดครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อยืดเวลา จะใช้ยาเคมีบำบัดพร้อมรอใส่เครื่องช่วยหายใจให้หมอยื้อชีวิตเต็มที่ หรือ อยากจะกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านกับคนที่รักและห่วงใย หากเราได้มองด้วยใจในโจทย์ทั้งสองข้อ เราก็จะพอเข้าใจ สิ่งที่เกิดขึ้นกับ พระเอกและนางเอกในหนังเรื่องนี้ ... บางคน อาจตอบข้อ1 กับ ข้อ 2 ไม่เหมือนกัน เพราะ หวังอยากจะให้คนที่เรารักมีชีวิตยืนยาว อยากได้มีโอกาสอยู่กับเขาให้นานที่สุด อยากจะหวังปาฏิหาริย์ที่จะเรียกชีวิตของคนรักกลับมา หรือ กลัวว่า คนรักของเราจะมองว่า เราพยายามช่วยเหลือเขาไม่เต็มที่ แต่พอมาถึงตัวเอง ลองคิดให้ดีๆ ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เราอยากจากไปในหอพักผู้ป่วยที่เต็มไปด้วยสายระโยงระยางและคนไม่รู้จัก หรือ อยากอยู่ในอ้อมกอดของคนรักในสถานที่ที่เราเคยมีความสงบสุขยามมีชีวิต ...เรื่องของ พระเอกและนางเอกคู่หนึ่ง สองชีวิตที่กำลังจะต้องพรากจากกัน ทอม เป็นทั้งหมอและนักวิทยาศาสตร์ ผู้พยายามค้นคว้าหาวิธีการที่จะ Stop dying อิซซี่ เป็นผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ที่ค้นพบวิธีการ Accept dying ...Elisabeth Kübler-Ross ไม่ได้เป็นตัวละครในหนังเรื่องนี้ แต่เธอเป็นจิตแพทย์ ผู้ให้ความสนใจกับชีวิตของกลุ่มผู้ป่วยใกล้ตาย ได้มีงานวิจัยและศึกษาออกมาพบว่า ปฎิกิริยาเมื่อคนพบเจอกับการสูญเสียจะแบ่งเป็น 5 ระยะ เช่น ถ้ารู้ว่าภรรยากำลังจะเสียชีวิตจากมะเร็งระยะสุดท้ายที่ไม่มีทางรักษาในไม่กี่วันข้างหน้า 1.Denial : การปฏิเสธความจริง เช่น ผมไม่เชื่อ ภรรยาผมไม่ได้เป็นอะไร 2.Anger : โกรธขึ้ง โกรธหมอที่รักษาไม่หาย โกรธพระเจ้าที่ทำให้ต้องเป็นเช่นนี้ 3.Bargaining : ต่อรอง เช่น ขอเวลาอีกซักสองปีเถอะ ให้ภรรยาผมได้ฉลองวันเกิดครบห้าขวบของลูกก่อน 4.Depression : ตกอยู่ในภาวะหดหู่ซึมเศร้า 5.Acceptance : ยอมรับในความตายที่กำลังจะมาถึง ...สภาวะจิตพระเอกของเรา ขึ้นๆลงๆอยู่ในระยะที่ 1-4 ยกเว้นขั้นตอนสุดท้ายซึ่งยากที่ใครจะยอมรับได้ง่ายๆ ในขณะที่นางเอกอยู่ในขั้นตอนนั้นแล้ว ด้วยเหตุนี้ พระเอกจึงพยายามทุกวิถีทาง ใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องแล็บ เพื่อค้นหาวิธียืดชีวิตให้กับภรรยา โดยไม่ทันรู้ตัวว่า เวลาที่สูญเสียไป คือ ความเดียวดายของภรรยา ที่รอคอยคนรักมาอยู่เคียงข้างในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ...หนังเริ่มต้นในยุคสมัยปัจจุบัน ก่อนจะนำเสนอภาพชีวิตของพระเอกนางเอก ในโลกสามใบ สามยุคสมัย ซึ่งเชื่อมต่ออดีตกับปัจจุบันโดยมี นิยายเรื่อง The Fountain ที่นางเอกเขียนทิ้งไว้ให้พระเอกเป็นสื่อกลาง และ เชื่อมต่อปัจจุบันกับอนาคตด้วย ชิบาลบา ดวงดาวและหมอกควันที่กำลังจะดับสูญ ในช่วงเวลาปัจจุบัน พระเอกที่เป็นทั้งหมอและนักวิทยาศาสตร์ หมกมุ่นกับการค้นหาวิธีรักษามะเร็งให้หายขาด โดยใช้ส่วนผสมจากยางต้นไม้ชนิดหนึ่งมาทดลองผ่าตัดในสัตว์ทดลอง เขาหวังว่า หากทำสำเร็จจะสามารถยืดชีวิตคนรักที่เป็นมะเร็งสมองระยะสุดท้าย ในช่วงเวลาอดีต ภาพเหตุการณ์ในประเทศสเปน เกิดขึ้นตามนิยาย The Fountain ที่ภรรยาเขียนทิ้งไว้ เขาเป็นทหารเอกของราชินี พยายายามค้นหา Tree of life ที่จะก่อกำเนิดชีวิตและอยู่กับราชินีตลอดไป เขาต้องเอาชีวิตเข้าเสี่ยงภัยเพื่อค้นหาต้นไม้ในตำนานที่มีมาแต่โบราณกาล ตั้งแต่ยุคสมัยอดัมกับอีฟ ในโลกอนาคต เขาอาศัยในห้องทรงกลมที่ลอยอยู่กลางอวกาศ เขาเพียรพยายามบอกต้นไม้ตัวแทนชีวิตของภรรยาที่จะมีปฏิกิริยาตอบสนองยามเขากระซิบใกล้ ว่า จะหาทางเยียวยารักษาให้มีชีวิตสืบกลับมาขอเพียงว่าอย่าเพิ่งตายจากไป และเขาก็จะหลุดลอยไปในยุคอดีตครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อพยายามไปให้บรรลุจุดหมาย อาจจะเป็นเรื่องราวตามหลักศาสนา ที่พูดถึงชาติภพ ที่พระเอกเวียนว่ายตายเกิดขึ้นกับชีวิตรูปแบบเดิมๆเหมือน เป็น กรรม ที่ต้องใช้ชีวิตวนตามวงจรเดิม ตราบเท่าที่พระเอกยังไม่อาจหลุดพ้น อาจจะเป็นวิทยาศาสตร์ ที่พระเอกในโลกอนาคต เป็น จุดศูนย์กลางเรื่อง พยายามย้อนอดีตจนกว่าจะสามารถหาทางรักษาคนรักได้ หรือ อาจจะว่าด้วยทฤษฎีทางจิตวิทยา ว่าด้วย การทำงานของจิตใต้สำนึกเช่น ในฝัน ที่ภาพในปัจจุบันถูกแทนที่ด้วยสัญลักษณ์ต่างๆนานามาผสมปนเปกัน(condensation) โดยความเป็นจริงคือพระเอกในปัจจุบัน ส่วนอดีตและอนาคตคือสภาวะจิตของพระเอก ในช่วงอดีตเป็นความฝันที่ดึงเอา นิยายเรื่อง the Fountain ไปผสมกับชีวิตจริงของตัวเอง(สังเกตว่าพระเอกจะหลับแล้วตื่นหลังจากช่วงอดีต) ส่วนในอนาคต คือ สภาพจิตของพระเอกที่กำลังพยายามต่อสู้เพื่อยื้อชีวิตคนรัก ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีใด ทั้งสามโลกล้วนมีจุดร่วมที่เราเห็นในคนๆเดียว คือ ชายหนุ่มที่ไม่อาจยอมรับสัจธรรมความจริงของชีวิต ชายหนุ่มที่หมกมุ่นกับการหา ความเป็นอมตะ ชายหนุ่มที่ไม่อาจละวาง ชายหนุ่มที่แหวนหายไป ชายหนุ่มจากโลกทั้งสามคือคนเดียวกัน อาจจะเป็น การชดใช้กรรมต่างชาติภพ อาจจะเป็นคนๆเดิมพยายามย้อนเวลา หรือ เป็นคนๆเดียวที่ภายในจิตใต้สำนึกกำลังทำงานอย่างหนัก แต่ไม่ว่าจะเป็นโลกไหน เราก็จะเห็นภาพของการยึดติด ผ่านสัญลักษณ์ที่สื่อออกมาจากสามยุคสมัย อดีต การดิ้นรนหายาอมตะและดื่มกินอย่างตะกละตะกลาม ปัจจุบัน การไม่ยอมกลับบ้าน การเลือกเดินไปผ่าตัดแทนที่จะออกไปเดินเล่นกับภรรยาเมื่อเธอร้องขอ อนาคต - การติดอยู่ในกรอบทรงกลม .. ไม่แปลกอะไร ที่ ทอมจะหาแหวนแต่งงานไม่เจอ เพราะ แหวนแต่งงาน คือ สัญลักษณ์ของชีวิตคู่ การอยู่ร่วมกัน ความรักและความผูกพัน แหวนที่หายไป ก็สื่อให้เห็นว่า ช่วงเวลาเหล่านั้นของทอม คือ การทิ้งห่างจากคนรักและเป็นช่วงเวลาที่ปล่อยให้ความรักอยู่ห่างออกไป ทอดทิ้งให้อิซซี่ต้องเผชิญความตายเพียงลำพัง ยิ่งเขาพยายามเท่าไหร่ เขายิ่งไม่มีทาง หาแหวนวงนั้นพบ เพราะสิ่งที่เขาพยายาม ไม่ใช่ สิ่งที่ภรรยาต้องการ สิ่งที่เขาตามหาคือการฝืนสัจธรรมความเป็นจริงตามธรรมชาติ แต่ สิ่งที่เธอต้องการมากที่สุดในช่วงเวลาสุดท้ายของเธอ คือ การใช้เวลาอยู่เคียงคู่กัน ...อิซซี่ พยายามบอก ทอม หลายหนว่า ทำให้มันจบซะ การทำให้จบของเธอมิได้แปลว่า การหายาที่จะทำให้เธอมีชีวิตเป็นอมตะ แต่ เธออยากให้เขาได้หลุดพ้นจากทุกข์ที่มันเกาะเกี่ยวใจ เพราะ การยึดติดของ ทอม ก็มีค่าเท่ากับการวนเวียนใน 4 ระยะของ Elisabeth Kübler-Ross และ เท่ากับการใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ในสงสารวัฏ ไม่อาจละจากกิเลสไปได้ ...จนกระทั่งในตอนจบ โลกทั้งสามใบก็เวียนมาบรรจบกัน และ แหวนวงนั้นก็กลับมาเป็นสัญลักษณ์บอกเราว่า พระเอกของเราได้กลับมาอยู่กับภรรยาที่รักได้สำเร็จ ไม่ใช่แค่ในระดับกายภาพ(Physical) ที่ตัวอยู่ข้างๆแต่ใจลอยไปอยู่ห้องแล็บ แต่ ลึกลงถึงในระดับจิตวิญญาณ(Psychological-Spiritual)ที่อยู่เคียงคู่ภรรยาทั้งดวงจิตทั้งชีวิตที่มี ...การยอมรับความจริง การปล่อยวาง ความหลุดพ้นจากการยึดติด ได้แสดงออกผ่านสัญลักษณ์ของโลกทั้ง 3 ใบ พระเอกในอดีต ไม่กลัวและสามารถยอมรับความตายตรงหน้า แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคว้าความเป็นอมตะ สุดท้ายก่อเกิดชีวิตใหม่ขึ้นมาแทนที่ชีวิตเก่าที่ดับสูญไป ดั่งที่ในตอนต้นหนังบอกเราแล้วว่า การดับสูญอยู่เคียงคู่กับการก่อเกิด พระเอกในปัจจุบัน - ยอมรับความจริง ตัดสินใจปล่อยวาง และ เดินตามภรรยาที่ขอร้องให้ไปเดินเล่นด้วยกัน แทนที่จะเข้าไปผ่าตัดเพื่อหาวิธีเอาชนะธรรมชาติต่อในห้องแล็บ พระเอกในอนาคต - ล่องลอยออกจากกรอบทรงกลมที่ขังเขาไว้ตลอดมา และ นำไปสู่การหลุดพ้นอย่างแท้จริง ...และสุดท้าย ทฤษฏีทางจิตวิทยา และ ศาสนา ก็มาบรรจบในจุดเดียวกัน เพราะต่างก็พูดในเรื่องเดียวกัน ระยะ Acceptance ตามทฤษฎีของ Elisabeth Kübler-Ross ของพระเอก ก็เท่ากับ การปล่อยวางจนสามารถหลุดพ้นจากการยึดติดตามหลักคำสอนของพุทธศาสนา เมื่อเขาได้ค้นพบว่า การอยู่ด้วยกันชั่วนิรันดร์เกิดขึ้นได้จริง แต่มิใช่ การต่อสู้ดึงดันฝืนธรรมชาติด้วยการพยายามเอาชนะความตาย เพราะใดๆในโลกล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และ สุดท้ายก็ต้องดับไป และเมื่อถึงคราดับไปนี้เอง ที่ทั้งคู่จะมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันตลอดกาล จะมีชีวิตเป็นอมตะไปเพื่ออะไร หากชีวิตที่เหลือจากนั้นคือ การดูคนรักของเราจากไป และ หลงเหลือแต่ความโดดเดี่ยวทุกข์ทรมานกับกิเลสที่เราต้องยึดติดไปอีกพันๆหมื่นๆปี ...เสียงวิจารณ์จากฝรั่งมังค่าและรายรับของหนังเรื่องนี้ ไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือ คว่ำสนิท จากหนังหวังสร้างปรากฎการณ์ทุนสร้าง 30 ล้านเหรียญ ฝีมือผู้กำกับแววอัจฉริยะจาก Pi และ Requiem of a dreamต้องกลายเป็น ยักษ์ล้ม กระนั้นก็ดี มีบางสิ่งที่ผม รู้สึกอยากจะดู และ คิดว่าต้องดู แม้เสียงวิจารณ์จะเลวร้ายเพียงใด แหะๆ งวดนี้ sense ผมทำงานได้ดี เพราะ ผมชอบหนังเรื่องนี้มากทีเดียว และดูจบก็เข้าใจได้ในทันที ว่าทำไม หนังถึงไม่เวิร์คมอร์ ไม่ต้องดูอื่นไกล โรงที่ผมดู ฝรั่งสองคนข้างหน้าออกจากโรงหลังหนังฉาย ยี่สิบนาที , คนซ้ายมือผมกระสับกระส่ายส่ายหัวขยับตัวเป็นพักๆ , คนขวามือมากับแฟนหลับเป็นช่วงๆแล้วมีทีท่าเบื่อหน่ายคุยกับแฟน และ พอหนังจบ วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งแถวหน้า บ่นกันขรม ดังนั้น ใครคาดหวังว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังไซไฟ หรือ คลั่งไคล้อยากดู ฮิวจ์ แจ๊คแมน อย่าตีตั๋วไปดูเชียว เพราะมันจะไม่เข้าทาง แต่ ...หนังเรื่องนี้จะเหมาะมากๆสำหรับ 1.ผู้ที่มีความสนใจในเรื่องของ Death and dying 2.ผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับเนื้อหาอภิปรัชญา 3.ผู้ที่เคยประสบภาวะการสูญเสียของคนสำคัญในชีวิต 4.ผู้ที่ทำงานในภาคที่เกี่ยวข้องกับชีวิตคน 5.ผู้ที่สนใจและศึกษาในเรื่องราวของศาสนาและการเวียนว่ายตายเกิด ....เป็นความกล้าของผู้กำกับ ดาเรน อโรนอฟสกี้ เพราะ ขณะดูหนังเรื่องนี้ผมรู้สึกว่าเป็นประสบการณ์เหมือนตอนที่ดู Matrix ตรงที่เลือกหนังกล้านำเสนอในสิ่งที่ไม่ตลาดเท่าไหร่ และ ประเด็นที่นำเสนอคือสิ่งทีเป็น นามธรรม มากๆ ยากที่จะทำให้เห็นเป็นเรื่องราวรับรู้ได้ ดังนั้น ถ้าหนังเผอิญคลิกคนดูส่วนใหญ่ หนังเช่นนี้ก็จะกลายเป็น หนังสร้างปรากฏการณ์ แต่หากคนไม่เก็ต หนังก็ย่อมร่วงไม่เป็นท่า กลายเป็นหนังที่คนดูไม่ปลื้ม ผมชอบบทของหนังเรื่องนี้ ที่ผูกเรื่องราวที่ซับซ้อนและลึกซึ้งแต่ช่างลงตัวอย่างน่าอัศจรรย์ หากมานั่งเลาะเรียงไล่ลำดับรายละเอียดในแต่ละยุค เราจะพบรายละเอียดปลีกย่อยที่เชื่อมโยงเรื่องราวได้อย่างน่าทึ่ง และ การหยิบยก วิทยาศาสตร์ ปรัชญา ศาสนาและจิตวิทยามาเชื่อมต่อกันได้อย่างน่าสนใจ นอกจากประเด็น การยึดติด หลุดพ้น และ ความตายแล้ว การพูดถึง ความรัก ในหนังเรื่องนี้ก็ทำออกมาได้โรแมนติกและชวนประทับใจมากๆอีกเรื่องหนึ่ง นี่เป็นหนังเรื่องที่ผมได้ดู ฮิวจ์ แจ็คแมน เล่นได้ดีที่สุดเท่าที่เคยดูมา ส่วน ราเชล ไวส์ ไม่ต้องพูดถึง นี่เป็นงานชั้นเยี่ยมที่มือไม่ตกของเธอเหมือนที่เคยทำมา งานภาพในหนังเรื่องนี้คือ ความมหัศจรรย์ หลายต่อหลายฉากในหนังดุจดั่งการเข้าไปชมภาพศิลป์ในพิพิธภัณฑ์ที่ยากเกินจะบรรยายได้ด้วยตัวอักษร และ เป็นงานภาพที่สมควรกับการดูในโรงหนังจึงจะอิ่มเอมได้เต็มสิ่งที่ผู้กำกับต้องการนำเสนอ สิ่งที่ชอบ 1.บท ... อัศจรรย์ 2.ภาพ ... มหัศจรรย์ 3.ประสบการณ์ความรู้สึกในโรง ... สะกดผมให้นั่งติดตรึงกับเบาะชนิดไม่อยากลุกไปไหนทั้งที่หนังก็มิได้ เร้าใจ ระทึกขวัญอะไรเลย สิ่งที่ไม่ชอบ 1.พระเอกโกนหัวผู้หลุดพ้น ... ไม่ถึงกับไม่ชอบซะทีเดียว แต่ผมรู้สึกขัดตาและรู้สึกว่าฉากนี้โดดๆกับภาพพระเอกโกนหัวลอยตัวตอนบรรลุแล้ว มันดูไม่เข้ากันยังไงก็บอกไม่ถูกกับการพยายามโยงเข้ากับ ศาสนาพุทธ ในฉากนี้ สรุป ... ไม่รับปากว่าทุกคนจะปลื้ม และ คนไม่ปลื้มมีสิทธิหลับสนิทชนิดปลุกไม่ตื่น แต่ ค่อนข้างมั่นใจว่า ถ้าปลื้ม มีโอกาสปลื้มมากมาย ยิ่งถ้าคุณเข้าข่าย คนในห้ากลุ่มข้างต้นที่เขียนไว้ข้างบน ขอแนะนำว่าห้ามพลาด ส่วนตัวผมแน่นอนว่าชอบมากมาย ยังมีโอกาสให้รับชมที่โรงพาราก้อนเท่านั้น (ใจร้ายมากเข้าฉายแค่โรงเดียวแถมโรงแพงอีกต่างหาก) (วางขายตามร้านหนังสือทั่วไป หาไม่เจอถามจากพนักงานขายได้เลยจ้า) ในงานสัปดาห์หนังสือ 30 มีนา ถึง 10 เมษายน นี้มีลด 15% อยู่ที่ บู๊ธ Q42 Zone C2 ครับผม ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก >> หน้าสารบัญ ชวนคลิก ชวนคุยกับเจ้าของ Blog ที่ --> หน้าแรก รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง ความเห็นของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป ทำให้เข้าใจขึ้นถึงไม่ค่อยรู้เรื่องมากนักคนจะดูหนังรู้เรื่องต้องเปิดใจกว้างๆแต่ไม่ใช่เฉพาะกับหนังหรอกน่ะ
โดย: ดี IP: 203.188.63.114 วันที่: 6 เมษายน 2550 เวลา:8:31:08 น.
มีโอกาสได้ขึ้นไปกทม.ปลายเดือนเมษา
หนังเรื่องนี้ฉายจำกัดโรงด้วย(โรงไหนบ้างเนี่ย) ไม่รู้ว่าหนังลาโรงไปแล้วยัง โดย: ice/ice/baby IP: 125.25.41.227 วันที่: 6 เมษายน 2550 เวลา:9:20:48 น.
อ่านแล้วอยากดูเลย แล้วก็ถ้า จขบ. ไปดู มะหมา สี่ขาครับ แล้ว อ่าลืมมาเขียนนะคะอยากอ่าน แต่เราก็ไปดูมาแล้วค่ะ
โดย: Ple So gOoD วันที่: 6 เมษายน 2550 เวลา:12:39:31 น.
น่าเสียดายอยู่อย่างที่ synopsis ของหนังตีกรอบคนดูไว้ว่า เป็นเรื่องราวของชาติภพของพระเอกนางเอก
ผมคนหนึ่งล่ะที่ตอนดูกลับไม่คิดแบบนั้น แต่ที่ผมเชื่อก็คือภาพที่สื่อคือเรื่องราวในชาตินี้เพียงชาติเดียว บวกกับภาพในนิยายเรื่อง The Fountain และการเปรียบเทียบสภาพจิตใจของพระเอกในช่วงที่กำลังดิ้นรนหาทางรักษานางเอก (แถมยังไม่ได้คิดว่ากรอบทรงกลมนั้นจะเป็นยานอวกาศเหมือนที่ Darren Arronofsky ให้สัมภาษณ์ไว้แต่อย่างใด) สิ่งที่ผมว่าสวยงามมากๆในเรื่องนี้ นอกจากความโรแมนติกและงานด้านภาพแล้วคือความหมายแท้จริงของคำว่า Immortal และ Eternity เหมือนที่สื่อออกมาในฉากจบ (น่าแปลก... ผมลองอ่านเว็บที่ฝรั่งเข้าไปเขียนถึงเรื่องนี้ มีจำนวนไม่น้อยเลยที่ไม่เข้าใจนัยยะในฉากนี้ ทั้งๆที่ผมว่ามันเข้าใจง่ายกว่า The Matrix ทั้งสามภาคเสียอีก - -*) ปล. เรื่องนี้ Rachel Weisz เล่นได้ดีกว่าใน The Constant Gardener เยอะเลยครับ สงสัยต้องรีบไปหา The Shape of Things มาดูซะแว้วว ปล.2 ภาพสวยมากกกกกกกกกกกกกกกกกก ไม่ได้เข้าชิงรางวัลพวกกำกับศิลป์ได้ยังไงกัน ชะ!! โดย: nanoguy วันที่: 6 เมษายน 2550 เวลา:15:43:17 น.
ค่อนข้างเนิบนาบ ในความรู้สึกของดิฉันค่ะ แต่ไม่หลับเพราะอยากรู้ว่าตกลงหนังจะจบอย่างไรแน่
คนข้าง ๆ ดิฉันเป็นคุณแม่มีลูกชายวัยรุ่นมาดูด้วยกัน เธอหลับคร่อก ๆ ไปตั้งแต่หนังฉาย 10 นาทีแรก บางคนก็ลุกไปก่อนหนังจบประมาณครึ่งชั่วโมง ก็เลยถึงบางอ้อแล้วว่าทำไมหนังฉายจำกัดโรงเสียเหลือเกิน เห็นด้วยค่ะว่างานด้านภาพสวยมาก ๆ โดย: Tai-Sarunya IP: 203.107.196.234 วันที่: 6 เมษายน 2550 เวลา:17:45:43 น.
ลองเอามาให้พี่อ่านดูครับ ถ้ามีเวลาช่วยวิจารณ์หน่อยนะครับ เพิ่งหัดเขียนๆ พอดีเห็นเขียนเรื่องเดียวกันเลย ขอบคุณครับ
//hbsosweet.spaces.live.com/ โดย: HoneyBoy IP: 202.44.8.100 วันที่: 6 เมษายน 2550 เวลา:18:49:48 น.
-ผมไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นหนัง 3 ตอนนะ คือมียุดปัจจุบันเป็นหลักเรื่องเดียว ส่วนเรื่องในสเปนเป็นเนิยายของนางเอก และเรื่องในอนาคตเป็นเรื่องที่พระเอกเขียน chapter สุดท้ายของนิยายที่พระเอกเขียนต่อจากนางเอกให้จบ (แต่เล่าเรื่องสลับไปมา)
-ผมได้ดู requiem for a dream ของผกก.เมื่อ 2 ปีที่แล้วชอบมาครับ มีรูปแบบคล้ายเรื่องนี้คือ เล่าเนื้อหาง่ายให้ติดตามแบบหนัง thriller ทั้งที่มันเป็นหนัง drama -ช่วงท้ายๆเรื่องดูแล้วเกร็งได้อารมณ์เหมือนตอนดู united 93 แบบอยากรู้ว่าตอนจบจะขมวดปมให้จบแบบไหน -เซ็งกับการดูที่ paragon ด้วยเข้าเฉพาะโรงแพง(ที่นั่งเบาะหนัง)อย่างเดียว -ขอบคุณคุณผมอยู่ข้างหลังคุณด้วยครับ เรื่องสภาวะจิต 5 ข้อ เป็นความรู้เพิ่มที่ดีครับ และการ comment หนังเรื่องอื่นๆที่แทรกจิตวิทยาด้วย (จบด้าน psychology มาเหรอครับ) ว่าจะ post ขอบคุณหลายครั้งแล้ว -_-" โดย: mayhem IP: 58.147.69.65 วันที่: 6 เมษายน 2550 เวลา:18:51:08 น.
ปลื้มเรื่องนี้มากกกกกกก ค่ะ >_< กำลังจะหาโอกาสไปปลื้มมากขึ้นอีก (แต่หาเวลาไม่ได้เลย)
เราว่าหนังเรื่องนี้ไม่เชิงพุทธปรัชญาซะทีเดียวอ่ะค่ะ เหมือนกับปรัชญาอินเดียมากกว่า แนวๆ อาตมัน ปรมาตมันอะไรประมาณนั้นรึป่าว ? ไว้ถ้าไปดูมาแล้วจะเข้ามาแสดงความคิดเห็นใหม่นะคะ โดย: อ า ริ ซึ เ ม ะ มู น * IP: 161.246.1.33 วันที่: 6 เมษายน 2550 เวลา:19:08:09 น.
มันจี๊ดใจผมมาก
อาตมันและปรมาตมัน โดย: I will see U in the next life. วันที่: 6 เมษายน 2550 เวลา:20:47:34 น.
ขอบคุณมากเลยค่ะ วิเคราะห์ได้ดีเช่นเคยนะคะ^^
ดูจบแล้วก็คิดเหมือนหลายคนว่าน่าจะเป็นยุคเดียวมากกว่า ส่วนอีก2ยุคน่าจะเป็นสภาวะจิตใจของพระเอกเอง ตอนดูก็ชอบมาก แต่ด้วยความที่เราเป็นพุทธเลยไม่รู้สึกอินไปตามพระเอกเท่าไหร่(ในใจคิดแต่ว่า มันจะอะไรกันนักหนา ไม่เข้าใจรึไง เกิด แก่ เจ็บ ตาย น่ะหึ) แต่มันก็ยังมีจุดเล็กๆพวกรายละเอียดปลีกย่อยที่ไม่เข้าใจอีกหลายจุดค่ะ เช่น ในยุคอดีตที่พระเอกกำลังจะโดนตะบองไฟฟาด ทำไมถึงกลายเป็นพระเอกโล้นขึ้นมาเฉยๆ จุดจบของยุคอดีตนี่พระเอกกลายเป็นดอกไม้ไปเลยหรือ? ดูว่าตัวพระเอกไม่ได้ยอมรับการหลุดพ้นเหมือนยุคอื่นๆ แต่โดนบังคับให้เป็นดอกไม้มากกว่า มันเลยรู้สึกจิตใจไม่ได้หลุดพ้นจริงๆ อื่นๆ จำไม่ค่อยได้แล้วค่ะ แหะๆ ปล.แอบโกรธด้วยที่ไม่ได้เข้าชิงกำกับศิลป์อ่า อะไรกันแค่ฝรั่งดูไม่รู้เรื่องนี่ถึงกับตัดโอกาสด้านอื่นๆหมดเลยรึนี่ โกรธเฟ้ย โดย: underhill IP: 202.28.181.10 วันที่: 7 เมษายน 2550 เวลา:0:24:58 น.
....โห งานวิจารณ์ชิ้นนี้ของคุณผม ระดับมาสเตอร์พีซครับ สุดยอดจริงๆ เขียนได้แบบต้องยกนิ้วให้ หนังเรื่องนี้ดูยาก เขียนยาก แต่เขียนออกมาจนเหมือนหนังดูง่ายแบบนี้ ต้องขอปรบมือให้จริงๆครับ แบ่งจังหวะวรรคตอนให้อ่านง่ายอีกตะหาก ผมว่าวิธีการเล่าของคุณผู้กำกับแอโรนอฟสกี้ในหนังเรื่องนี้ค่อนข้างยากไปหน่อยแล้วก็ไม่ดึงให้คนดูมีส่วนร่วมเท่าที่ควรนะครับ แปลกที่ผมชอบผลงานสองเรื่องก่อนของแกมากกว่านี้มากเลย
โดย: Joblovenuk IP: 124.120.144.68 วันที่: 7 เมษายน 2550 เวลา:2:02:46 น.
**คุยกับคุณ underhill** (และสปอยล์จ้า)
ยุคอดีต (หรือในนิยาย ในความคิดผม) ผมว่าการที่พระเอกกลายเป็นดอกไม้สีขาวนั้น เป็นการตอกย้ำถึงความหมายที่แท้จริงของ Immortal กับ Eternity ไงครับ เหมือนที่ชนเผ่ามายันคนนั้นพูดถึงพ่อ(หรือปู่ - -) ที่ตายแล้วกลายเป็นต้นไม้ แล้วก็ผลิดอกออกผลจนนกมาจิกกิน จิตวิญญาณก็ไปอยู่ในทุกสรรพสิ่งที่เกี่ยวข้องกับต้นไม้ต้นนี้ พระเอกก็จะเป็นแบบนั้นในอีกไม่นานครับ ส่วนเรื่องที่กำลังจะโดนฟันแล้วกลายเป็นพระเอกโล้นขึ้นมาเฉยๆ อันนี้ผมก็รู้สึกว่ามันโดดๆเหมือนกัน แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าเขาน่าจะเปรียบเทียบว่าเหมือนกับพระเอกยอมรับความตายได้แล้วน่ะครับ (อย่างน้อยก็ในช่วงเวลานั้น ก่อนที่จะรีบกินน้ำยางอย่างเอาเป็นเอาตาย) เพราะเนื้อหาช่วงนั้นก็คือตอนที่พระเอกในโลกอนาคต (หรือในสภาพจิตใจ ในความคิดของผม -- เพราะฉากนี้ด้วยแหละมั้ง ที่ทำให้ผมคิดว่ามันไม่น่าจะสื่อถึงโลกอนาคตเลย) ก็ยอมรับการตายของต้นไม้ได้แล้วน่ะครับ โดย: nanoguy วันที่: 7 เมษายน 2550 เวลา:14:16:15 น.
ขอบคุณ คุณnanoguy ค่ะ
เริ่ม get idea เพิ่มขึ้นเรื่อยๆแล้วค่ะ คือถ้าเราคิดว่าเป็นสภาวะของจิตใจ ก็จะสามารถอธิบายหลายๆฉากได้เลย เนื่องจากไม่ได้อยู่บนกฎเกณฑ์พื้นฐานของโลกปกติ แต่มีการอุปมาอุปไมยร่วมด้วย อืมมม......เริ่มรู้สึกถึงMatrixขึ้นมานิดๆแหะ โดย: underhill IP: 202.28.181.10 วันที่: 8 เมษายน 2550 เวลา:0:41:05 น.
จุดจบของยุคอดีตนี่พระเอกกลายเป็นดอกไม้ไปนั้น ผมเห็นด้วยกับ underhill นะครับว่า ไม่น่าจะหมายถึงการหลุดพ้นครับ แต่ตรงกันข้ามกลับจะหมายถึงการยึดติดกับชีวิตอมตะเสียด้วยซ้ำ (เหมือนพระเอกหมอที่รู้ว่านางเอกตายแล้ว เลยตัดสินใจค้นหายาอายุวัฒนะต่อไป) อันนี้เดาได้จากการเอามีดแทงต้นไม้และดื่มกินยางอย่างตะกละตะกลาม แต่พอพระเอกกำลังจะสวมแหวนเพื่อรักษาสัญญากับราชินี เขากลับกลายร่างเป็นต้นไม้ไปเสียก่อน และก็ทำแหวนหล่นหายที่ข้างตัว
ที่เด็ดกว่านั้นก็คือ ฉากต่อมาผู้กำกับดันได้พระเอกหัวโล้นมาปรากฏตัวและหยิบแหวนที่นักรบทำหล่นไว้ขึ้นสวมนิ้ว... (ทับรอยสักรอบนิ้วมือตัวเอง) ผมว่าฉากนี้ต่างหากที่แสดงถึงภาวะของตัวละครที่ "หลุดพ้น" อย่างแท้จริง สัญลักษณ์เรื่องรอยสักนี้ยิ่งลึกซึ้งมาก เพราะหลาย ๆ คนดูก็คงจะเห็นเหมือนกันว่ารอยสักมันเหมือนวงปีของต้นไม้เลย วงปีที่ปกติน่าจะเป็นตัวแทนของชีวิต แต่ในที่นี้กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของ "ชีวิตที่ทุกข์ทรมาน" แทน (เห็นได้จากพระเอกหมอที่รู้ว่าเมียตายแล้ว เขาเลยเอาปากกามาแทงนิ้วนางของตัวเอง) พอสังเกตสักรอยสักที่เต็มแขนของพระเอกโล้นมันก็เลยยิ่งแสดงถึงชีวิตที่เจ็บปวดมานานแสนนานของพระเอกไปด้วย ผมว่าฉากที่พระเอกนักรบทำแหวนหล่นและกลายร่างเป็นดอกไม้ และฉากที่พระเอกโล้นถอดจิตมาเก็บแหวนวงนั้น จึงเป็นฉากที่สำคัญมากที่สุดฉากหนึ่งในหนังเลยครับ โดย: ole_trufa IP: 202.28.179.12 วันที่: 8 เมษายน 2550 เวลา:17:03:10 น.
ขอบคุณครับ
ไม่ผิดหวังที่รออ่านมานานครับ แต่ยังไม่ได้ดูเลยครับที่สิงคโปร์หนังออกไปนานแล้ว ช่วงที่เข้าก็ยุ่ง... แอบเซ็ง โดย: ThirskUK IP: 218.186.9.4 วันที่: 8 เมษายน 2550 เวลา:20:12:10 น.
มาคุยต่อ มุมต่อเนื่องจาก คุณ underhill และ คุณole_trufa และ สปอยล์ เน้อ
....ผมเห็นด้วยตรงตอนอดีต ไม่ใช่หลุดพ้น แต่ตอนอดีต ผมมองว่าเป็นจุดเริ่มต้น และ มีองค์ประกอบร่วมของการเปลี่ยนแปลงในระดับจิตวิญญาณองพระเอก นั่นคือ อดีต .. ไม่กลัวและยอมรับความตาย (แต่สุดท้ายก็ยังไม่อาจหลุดพ้นกิเลสที่ยั่วยวนคือ ความเป็นอมตะที่จะได้กลับไปครองรัก)) ปัจจุบัน ... ยอมรับความจริง และ เริ่มรู้จักปล่อยวาง จึงเดินตามภรรยา ไม่มุ่งมั่นกับความเป็นอมตะอีกต่อไป จึงนำไปสู่ อนาคต ... การหลุดพ้น อย่างแท้จริง (เพราะหลุดลอยไปซะไกลเชียว) โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:1:35:53 น.
อ่านแล้ว
แจ่มขึ้นเยอะครับ ขอบคุณมาก โดย: pae IP: 203.146.10.206 วันที่: 9 เมษายน 2550 เวลา:16:52:47 น.
ดูแล้วชอบมากคับ
อ่านแล้วยิ่งอิน อิอิ โดย: sushiboy69 IP: 58.10.222.80 วันที่: 11 เมษายน 2550 เวลา:5:26:26 น.
อ่านแต่สปอยยังไม่ได้ดู และไม่รู้จะมีโอกาสได้ดูรึปล่าว แต่เห็นเรื่องนี้แล้วนึกถึงเรื่อง What dreams may come. ไม่รู้เหมือนกันมั้ย
โดย: napi IP: 125.26.124.171 วันที่: 11 เมษายน 2550 เวลา:12:14:19 น.
อ่านแต่สปอยยังไม่ได้ดู และไม่รู้จะมีโอกาสได้ดูรึปล่าว แต่เห็นเรื่องนี้แล้วนึกถึงเรื่อง What dreams may come. ไม่รู้เหมือนกันมั้ย
โดย: napi IP: 125.26.123.79 วันที่: 11 เมษายน 2550 เวลา:13:01:30 น.
ผมเป็นอีกคนที่ชอบหนังเรื่องนี้เป็นพิเศษ
แต่ก็ยอมรับว่าบางช่วงดูแล้วไม่ Get เท่าคุณหมอ ถ้าแผ่นออกมา ซื้อเก็บดูอีกรอบแน่ๆ ครับ เรื่องนี้มีอะไรน่าสนใจเยอะ โดย: takky_sc วันที่: 14 เมษายน 2550 เวลา:9:19:54 น.
ผมชอบนะเรื่องนี้
โดย: blackholesun IP: 124.120.159.188 วันที่: 14 เมษายน 2550 เวลา:21:22:22 น.
อยากดู (ก่อนไปเที่ยว) แต่เวลาไม่เอื้อ ... ป่านนี้หนังคงออกไปแย้วมั้งเนี่ย ยังไม่ได้เช็ครอบเลยอ่า ... คงต้องรอดูแผ่นซะแล้วเรา
โดย: บลูยอชท์ วันที่: 18 เมษายน 2550 เวลา:14:14:09 น.
ชอบเรื่องนี้มากๆ เลยค่ะ แต่ก็เพิ่งได้ดูจากแผ่นโซน1 เมื่อวันนี้เอง หาโอกาสไปพาราก้อนไม่ได้
ไม่ได้รู้เลยนะนั้นว่า ท่านผู้กำกับวางไว้ให้เป็นพระเอกในอนาคตกับยานอวกาศ ตอนที่เรื่องดู เรากลับตีความฉากตัวโล้นว่าเ ป็นจิตใจของพระเอกในตอนปัจจุบันซะอีกว่า ยังคงยึดติดในชีวิตของนางเอก แทนที่จะยอมรับกับความตาย แสวงหาความเป็นอมตะ และก็ไม่ยอมและยังลังเลที่จะ"จัดการให้เสร็จ" ให้ตามคำที่เสียงของนางเอกนั้นพึมพำๆอยู่เสียที จนกระทั่งตระหนัก และเข้าไปสู่จุดจบของthe fountain ที่เป็นตัวแทนของกิเลสในชีวิตอมตะ และร่วมถึงที่ว่าความตายเป็นส่วนของการถือกำเนิดใหม่(ตามที่นางเอกเคยเล่าไว้ เกี่ยวกับเรื่องที่ต้นไม้ที่เกิดจากมนุษย์) เข้าสู่ฉากที่พระเอกโล้น หลุดพ้น และยอมรับในเรื่องการการเวียนว่าย และแนวคิดของความตายเป็นจุดเริ่มของชีวิตใหม่ ยิ่งพูดยิ่งมึ่น โดย: ปืนติดพิษ IP: 124.121.21.254 วันที่: 21 เมษายน 2550 เวลา:1:03:24 น.
ผมมองว่าเรื่องนี้ดึงแก่นจากทุกศาสนารวมกันครับ
นอกจากมุมมองทางพุทธแบบ Zen ที่เห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว ส่วนของคริสต์และฮินดูก็ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวด้วย เช่นการเกิดสิ่งใหม่ๆขึ้นหลังจากการสิ้นสุดของอะไรบางอย่าง และของคริสตร์ที่นอกจากจะพูดถึงช่วงก่อนกำเนิดมนุษย์แล้ว ยังตรงกับไบเบิ้ลว่า มนุษย์เกิดมาจากดิน และซักวันก็จะกลับกลายเป็นดิน ซึ่งเรื่องการกลับกลายเป็นดินนี่ก็กลายเป็นส่วนหลัก ที่แสดงให้เห็นถึงการเข้าใจชีวิต และหลุดพ้นของตัวเอกด้วยครับ ไม่รู้ว่างงรึเปล่า แหะๆ โดย: brize99 IP: 58.8.183.52 วันที่: 22 เมษายน 2550 เวลา:22:24:58 น.
เขียนได้เยี่ยมครับ นี่คือ comment แรกจากผม อิอิ หลังจากอ่านทำให้เห็นมุมมองที่แตกต่างและหลากหลายมากขึ้น เพราะหนังที่ตีความยากๆ และบอกความหมายผ่านนามธรรมอย่างนี้แหละที่ผมชอบที่จะอ่านความคิดของทุกคนที่ได้ดูมา ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ ทำให้ได้มุมมองหลากหลาย
โดย: Phoenix Connexion IP: 124.120.143.136 วันที่: 5 พฤษภาคม 2550 เวลา:22:52:21 น.
เพิ่งดูหนังเรื่องนี้จบจากการดู DVD ชอบมากค่ะ ปลื้มที่สุดแห่งปีเลยก็ว่าได้ เสียดายมากที่ไม่มีโอกาสไปดูในโรง
โดย: cuomo IP: 58.9.102.252 วันที่: 25 มิถุนายน 2550 เวลา:0:03:00 น.
เพิ่งดูจบไปเหมือนกันครับ ชอบหนังเรื่องนี้ซะแล้ว
โดย: iLLiciT IP: 124.120.9.22 วันที่: 5 กรกฎาคม 2550 เวลา:13:21:32 น.
ชอบหนังเรื่องนี้เหมือนกัน..
เขียนได้เยี่ยมเช่นเคยค่ะ.. โดย: จูริง..เองค่ะ IP: 196.205.127.114 วันที่: 9 กรกฎาคม 2550 เวลา:22:03:57 น.
ตอนดูยังหาปมเชื่อมสัญลักษณ์ต่างๆไม่เจอ อ่านบทวิจารณ์ของคุณแล้วถึงบางอ้อเลยค่ะ
ยอดเยี่ยมค่ะ โดย: silentstalker IP: 58.147.117.185 วันที่: 10 กรกฎาคม 2550 เวลา:15:46:37 น.
เพิ่งได้ดูคะ ตอนแรกไม่เข้าใจเลย ... งง มาก จนต้องหาตัวช่วยในเน็ต...แล้วก็มาเจอบล็อกนี้แหละคะ ช่วยให้แจ่มขึ้นเยอะเลย ขอบคุณอย่างแรง
โดย: orangesky IP: 125.25.34.117 วันที่: 16 ตุลาคม 2550 เวลา:21:46:25 น.
ตอนที่ดูก็งงค่ะ งงมากด้วย
แต่พอมาอ่านแล้วก็เข้าใจ ทำให้อยากดูหนังเรื่องนี้อีกสักรอบ ขอบคุณค่ะ โดย: Akiko IP: 61.91.167.177 วันที่: 31 ตุลาคม 2550 เวลา:21:59:04 น.
ผมว่าประเด็นของหนังเรื่องนี้คือต้องการบอกว่า
ศาสนาคริสต์ คือ ศาสนาเดียวกับพุทธ เป็นเรื่องของอีฟกับอีเดนที่เผลอกินผลไม้แห่งความรู้ และเกิดมาเป็นชาติภพต่างๆ จนภาคสุดท้ายที่อดัมใกล้จะหลุดพ้นนั้น ท่านเลือกกลับไปดูอดีตสองจุดคือ ตอนสเปน และตอนปัจจุบัน และพยายาม Modify อดีตเพื่อไขปริศนาการหลุดพ้น และคิดว่าการยื้อความตายเป็นคำตอบ แต่จากภพปัจจุบันเห็นได้ชัดว่า แม้ตัวอดัมภาคสุดท้ายจะพยายามยื้อชีวิตอีฟเท่าไหร่ ก็หนีความตายไม่พ้น นั่นคือแก่นของหนังเรื่องนี้ ปล. ชอบมากที่สุดประจำปี 2550 เลยครับ โดย: โต้ง IP: 125.27.91.184 วันที่: 2 มกราคม 2551 เวลา:22:44:16 น.
ผมมั่นใจว่า ผมจะชอบหนังเรื่องนี้อย่างแน่นอน เดี๋ยวขอไปเช่ามาดูก่อนแล้วจามาบอกว่า รู้สึกยังไง...
โดย: YoiChi_KunG วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:9:30:25 น.
เป็นหนังที่ภาพสวยมากๆ แม้จะดูเข้าใจยากอยู่สักหน่อย
โดย: artijus IP: 210.246.159.254 วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:12:50:29 น.
หนึ่งในหนังในดวงใจ แต่แนว สามภพ นี่เล่นกันประจำ
โดย: หมาป่าดำ IP: 125.24.49.169 วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:2:20:23 น.
ดูไปรอบเดียวแล้ว รู้สึกยังไม่ 100%
เวลาก็ไม่ค่อยมี ง่วงก็ง่วง ถ้ามีโอกาสจะดูอีกซักรอบ เจ้าของ blog เขียนได้ดีจริงๆ โดย: YoiChi_KunG วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:13:42:47 น.
+ เนื่องจากผมเพิ่งจะได้ดูเรื่องนี้จากในทีวีจอเล็กๆ ที่ห้องตัวเอง ก็เลยเก็ทไอเดียกับเก็บรายละเอียดได้ไม่หมด พอจะเข้าใจแต่ไม่ถึงกับเคลียร์ทุกประเด็น โดยเฉพาะสัญลักษณ์ต่างๆ ที่หนังใส่เข้ามา จนต้องตามกลับมาอ่านที่อีกทีนี่แหละครับ ถึงรู้สึกกระจ่างขึ้นมาอีกเยอะเลย
+ ผกก. ดาเรน อโรนอฟสกี ช่างเข้าใจนำแก่นของศาสนา (ไหนก็ตาม) มาผนวกเข้ากับอภิปรัชญา, การเวียนว่ายตายเกิด, อาจพิจารณาว่าเป็นไซ-ไฟ รวมทั้งเรื่องราวของความรักได้อย่างกลมกล่อมเลยนะครับ (ถึงแม้ว่าต้องอาศัยสมาธิอย่างสูงในการดูก็ตาม) เรเชล ไวส์ กับฮิวจ์ แจ๊คแมน ก็แจ่มทีเดียว โดย: บลูยอชท์ วันที่: 27 มีนาคม 2551 เวลา:19:22:24 น.
ฟังดู น่าดูมาก บางทีอาจจะโปรโมทผิด คนคิดจะเข้ามาดูหนังไซไฟบู๊ล้างผลาญ
โดย: zz IP: 203.146.49.141 วันที่: 8 มกราคม 2552 เวลา:11:53:44 น.
ขอบคุณมากครับ
บังเอิญซื้อดีวีดีลดราคามาดูแล้วเบื่อหน่าย ดูไม่ถึง 15 นาทีก็หยุดไม่ดูต่อแล้ว เกือบพลาดของดี ต้องรีบไปดูต่อ โดย: พิรฌาน วันที่: 15 มกราคม 2552 เวลา:0:51:41 น.
ดิฉันคิดว่า หนังเรื่องนี้ดีนะค ะ
แต่ที่ไม่ค่อยมีคนปลื้มเท่าไหร่นั้น มันอาจขึ้นอยู่กับว่า หนังเรื่องนี้มันคงยังไกลไปหน่อย คือหมายถึงระดับความคิดของผู้สร้างกับผู้ชม มันอาจจะไกลกันไปหน่อย โดย: นิรนาม IP: 117.47.88.77 วันที่: 6 ธันวาคม 2552 เวลา:11:41:16 น.
สงสัยอยู่หน่อยหนึ่ง ดูหลายเที่ยวแล้วไม่เข้าใจซักทีว่า
ทำไมอยู่ดีๆพระเอกถึงเข้าถึงความจริงได้ง่ายๆว่าตัวเองก็กำลังจะตายเหมือนกัน? หนังเรื่องนี้มันสะดุดแค่ตรงนี้ที่เดียวเลย โดย: blackholesun IP: 58.10.147.211 วันที่: 2 มีนาคม 2554 เวลา:13:01:06 น.
บทความทั้งหมด
|
|
หลังวันที่ 11 จะยังอยู่มั๊ยคะ
เจ้าของ blog เปน robot รึป่าวเนี่ย ...