Lemony Snicket's A Series of Unfortunate Events , การดัดแปลง"โชคร้าย"ที่ทำได้"ดี"

...ผมหยิบหนังสือA Series of Unfortunate Events มาลองยืนอ่านหลายรอบตั้งแต่วางแผงแรกๆ เคยคิดจะซื้อเพราะกิตติศัพท์ที่โค่นHarry Potterลงจากอันดับ1ได้ในหลายแห่ง แต่ผมอ่านแล้วอ่านอีก ผมก็ยังไม่ชอบอยู่ดี หรือ
ผมจะแก่เกินไป?........ผมเข้าไปดู Lemony Snickets A Series of Unfortunate Events ไม่ใช่ในฐานะแฟนหนังสือ กล่าวได้ว่าผมยังไม่เคยอ่านเป็นเรื่องเป็นราวติดต่อกันเสียด้วยซ้ำ(เท่าที่รู้ตอนนี้มีไปถึง11เล่มแล้ว และผู้เขียนตั้งใจจะจบที่เล่ม13) แรงดึงดูดอย่างแรงที่หนังดึงผมเข้าไปดูคืองานกำกับศิลป์จากหนังตัวอย่างที่ลึกลับมีเสน่ห์อย่างน่าตื่นตะลึง พร้อมการกัดหยอกยั่วล้อชวนเข้าไปดูจากหนังโฆษณา (ใครดูsunnyน้องคนเล็กแล้วไม่ชอบบ้าง) นั่นคือเหตุผลที่ผมเข้าไปดูที่SF Emporium เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมารอบ19.00น.
.....หนังเล่าเรื่องโดยJude Law(ที่มาแค่เสียง) เป็นเรื่องของ3พี่น้องBaudelaire ที่ประสบเคราะห์พ่อแม่เสียชีวิต ทำให้ต้องไปอยู่ในการอุปการะของCount Olaf และนั่นนำมาสู่ความโชคร้าย ซวยซ้ำซวยซาก การกลั่นแกล้ง อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เคราะห์ดีที่แต่ละคนต่างมีความสามารถ และ มีความรักความสามัคคีที่ยึดเหนี่ยวให้ฝ่าความเลวร้ายไปได้อย่างไม่ย่อท้อ
....ผมไม่ชอบหนังสือ(เท่าที่ยืนอ่านจนเกือบจบ เพราะอ่านหลายรอบ55) เพราะ มันเหมือนไม่มีเนื้อเรื่อง มันเหมือนกับการต้องเจอเรื่องที่เคราะห์ร้ายที่ผู้เขียนพยายามใส่เข้าไปแล้วใส่เข้าไปอีก แล้วให้สามพี่น้องใช้ความสามารถความสามัคคีผ่านเหตุการณ์ต่อเหตุการณ์ เพื่อให้ตรงกับเจตนารมย์ที่จะให้ผู้อ่านรับรู้ว่านิยายเล่มนี้ต่างจากเล่มอื่นๆที่คุณอ่านนะ ไม่มีนางฟ้า ไม่มีความสมหวัง ไม่เจอHappy endings แต่ผมอ่านแล้วผมก็ยังรู้สึกว่ามันไม่มีเนื้อเรื่องด้วยซ้ำ
หรือผมจะแก่เกินไป?....ผมชอบหนังมากกว่าหนังสือ เพราะ ความเด่นในด้านอื่นมันกลบสิ่งที่ผมไม่ชอบไปได้แบบไม่รู้ตัว การกำกับศิลป์ กำกับภาพและงานสร้างทำให้ผมหลงใหลกับฉากแต่ละฉากที่หนังเอามาล่อหลอกให้คนดูทึ่งไปด้วย ทุกอย่างของหนังมันกลมกลืนกันไปหมด ถ้าไม่บอกผมอาจคิดว่าตัวเองกำลังดูหนังของTim Burtonอยู่ด้วยซ้ำ และกับการแสดงของทั้งสองฝ่ายที่เรียกคนดูได้อย่างน่าชื่นชม ทั้งฝ่ายร้ายที่Jim Carrey เล่นได้กวนโอ๊ยอย่างน่าดูชมไม่น่ารำคาญ(สำหรับผมกวนโอ๊ยแบบน่ารำคาญคือการแสดงในTheGrinch) และฝ่ายดีมีสามพี่น้องที่รวมตัวกันแล้วมีเสน่ห์เป็นอย่างยิ่ง
....จุดเด่นอีกอันหนึ่งที่ผมชอบหนังมากกว่าหนังสือ และผมชอบหนังเรื่องนี้มากกว่าHarry Potter2ภาคแรกด้วยคือ หนังเรียงร้อยเรื่องราว เล่าเรื่อง ได้ดูสนุกเหมือนดูหนังเรื่องหนึ่ง(ถึงแม้ผมจะรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรคล้ายๆกับหนังสือก็ตาม) ในHarry Potter 2ภาคแรก ผมเชื่อว่าถ้าคนที่ไม่ได้อ่านหนังสือมาก่อนหลายคนไม่น่าสนุกไปกับมันเท่าไหร่ เพราะมันเหมือนการพยายามจับหนังสือยัดเข้าไปใส่จอภาพยนตร์ แปลตัวอักษรให้เป็นภาพสามมิติบนจอ โดยไม่กล้าที่จะดัดแปลงเรื่องราวมากนัก จึงเหมือนกับการอ่านหนังสือบนจอหนังมากกว่า คนที่สนุกคือสนุกกับการได้เห็นสิ่งต่างๆในหนังสือมาโลดแล่นบนจอ แต่ไม่สนุกในฐานะการดูหนังเรื่องหนึ่ง ตรงข้ามกับเรื่องนี้ที่การดัดแปลงมาเป็นหนังทำได้อย่างดูสนุก คนที่ไม่เคยอ่านหนังสือมาก่อนก็น่าจะติดตามไปได้อย่างไม่รู้สึกตะขิดตะขวงอะไร(ยกเว้นบางตอนที่ผมก็งง เรื่องเปลือกกล้วยกับปลิง)
สิ่งที่ชอบ1.การดัดแปลงมาเป็นหนัง....หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่สร้างจากนิยายที่ผมคิดว่าทำได้ดี คนสร้างเข้าใจภาษาหนังและรู้ว่าหนังต่างจากหนังสืออย่างไร เป็นการดัดแปลงที่เหมาะสมไม่ใช่บิดเบือนเสียเรื่องเดิม และก็ ไม่ใช่ยกหนังสือมาใส่จอหนัง
2.งานกำกับภาพ งานสร้าง ฉาก การกำกับศิลป์....แค่ได้ดูก็รู้สึกคุ้มแล้ว ไม่เสียแรงที่ได้ผู้กำกับภาพEmmanuel Lubezki ที่เคยฝากฝีมือไว้กับหนังอีก2เรื่องมาร่วมงาน ซึ่งผมเองชอบภาพและงานสร้างของมันมากๆเช่นกันคือGreat Expectations / Sleepy Hollow สำหรับผมข้อนี้คือส่วนที่ดีที่สุดของหนัง และดีในระดับยอดเยี่ยม
3.Jim Carrey
....(ไม่น่าเชื่อว่าอายุ43ปีแล้ว)กลับมาเล่นในบทที่ตัวเองถนัด และทำได้ดีดังที่กล่าวไปแล้วคือเล่นได้กวนโอ๊ยแบบไม่น่ารำคาญ ไม่ต้องแปลกใจที่เขาจะพยายามเปลี่ยนตัวเองไปเล่นหนังดราม่าได้ดีขนาดไหนก็ตาม แล้วคนจะไม่ลืมภาพเมื่อเค้ามาเล่นcomedy เพราะไม่ว่าจะเป็นบทในThe Mask/The grinch หรือแม้แต่ Count Olaf มันเป็นภาพที่จะติดตาคนดูได้อย่างยากจะลบภาพออก (ทั้งที่การแสดงของเขาในMan on the Moon The Majestic และ Eternal Sunshine of the Spotless Mind ก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้นักแสดงดราม่าดีๆคนไหนเลย)
4.Violet และ Sunny Baudelaire
....คนแรกน่ารักจริงๆรับบทโดยEmily Browningที่เคยรับบทนำตอนเด็กแต่คว่ำและจำหน้าเธอไม่ได้ในDarkness falls เรื่องนี้เธอโดดเด่นขึ้นจอเหลือเกิน คนหลังรับบทโดยฝาแฝดที่มาสลับกันเล่น(เหมือนกับเจ้าเด็กน้อยในmeet the fockers นั่นก็แฝด) เป็นอีกคนที่เล่นได้น่ารักน่าชังเหลือเกิน
4.ฉากเปิดเรื่อง....Anmationตอนต้นเป็นการเปิดเรื่องที่กล้าและฉลาดอย่างยิ่ง เรียกความสนใจได้เป็นอย่างดี
5.มุขและการจิกกัด....ผมชอบมุขในเรื่องหลายๆมุข มันไม่ใช่มุขที่กะเอาฮากันสนั่น แต่เป็นมุขที่กัดให้เจ็บๆแสบๆ เรียกรอยยิ้มได้อยู่เรื่อยๆ เช่น ตอนต้นที่Count Olafต้องจดชื่อ3พี่น้องไว้ในมือ /บุคลิกของป้าโจเซฟีนผู้วิตกจริตและสิ่งที่กลัวก็กลายมาเป็นจริงตอนท้ายทั้งตู้เย็นทั้งลูกบิด / สิ่งที่sunnyพูดหรือคิด /ความหลงไหลในไวยากรณ์ /บุคลิกและลีลาของCount Olaf ที่ชอบมากคือตอนท้ายที่Count Olaf ตอกกลับ Mr. Poe (ทำให้หนังเรื่องนี้ดูจะเป็นเหมือนมีกลิ่นอายการเรียกร้องสิทธิความชอบธรรมจากเด็ก ให้ผู้ใหญ่ที่มักมองว่าสิ่งที่เด็กพูดไม่น่าใส่ใจ ไม่สนใจ ได้ลองนึกถึงตอนที่ตัวเองเป็นเด้ก "ฟังฉันบ้างถึงฉันเป็นเด็กก็ตาม หรือคุณไม่เคยเป็นเด็ก")
สิ่งที่ไม่ชอบ1.หนังไม่มีเนื้อเรื่อง....พล้อตของการตามหาความจริงและชมรมกล้องส่องทางไกล ดูน่าจะเป็นพล้อตหลักที่น่าสนใจในการติดตามแต่หนังดูเหมือนให้ความสนใจในเรื่องการใส่ความโชคร้ายและสนใจในคาแรกเตอร์ของตัวละครทั้งหลายมากกว่า เงื่อนงำความลับที่หนังวางไว้อย่างน่าสนใจพอถึงท้ายเรื่องแล้วเฉลยกลับไม่มีอะไรเท่าที่วางไว้ตอนแรก โชคดีที่หนังทำได้ดีในส่วนองค์ประกอบอื่นๆ เพราะถ้าเรื่องนี้หนังไม่ได้ผู้กำกับที่มีฝีมือ ไม่ได้งานสร้างที่ให้คนดูหลงใหล ไม่ได้ทีมนักแสดงที่มีฝีมือชุดนี้ ผมรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นหนังอีกเรื่องที่น่าเบื่อมากเรื่องหนึ่ง เพราะเนื้อเรื่องมันมีแค่การใส่ความโชคร้ายไปเรื่อยๆจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งแล้วให้แก้ปัญหาออกมาแล้วก็ไปเจอใหม่
สรุป....ภายใต้เครื่องเครา(นักแสดง/งานสร้าง/การกำกับภาพ/การเล่าเรื่อง/ลูกเล่น) ที่อยู่ในระดับยอดเยี่ยม ทั้งที่เนื้อใน(เนื้อเรื่อง)แล้วตัวผมเองไม่ได้ชอบเท่าไหร่เลยบวกกับฉบับหนังสือที่ผมไม่ประทับใจ แต่มันก็กลบความน่าเบื่อไปได้ชนิดดูได้เรื่อยๆยิ้มๆเพลินๆจนหนังจบ เชื่อว่าคนที่ชอบหนังสือเรื่องนี้น่าสนุกกับหนังเรื่องนี้ไปด้วยอย่างแน่นอน สำหรับผมเองถ้าโชคร้ายยังตามมาเป็นครั้งที่สอง และไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่หรือเครื่องเคราไม่ได้ต่างจากเดิมมากนัก ครั้งหน้าผมคงจะรอดูจากแผ่นมากกว่าเข้าโรง
หรือผมจะแก่เกินไป?ปล....ระหว่างนี้ใครที่คิดจะไปดูการหมั้นที่ยาวนาน ผมแนะนำเป็นอย่างยิ่งว่า30นาทีแรกมีสมาธิและจดจำตัวละครพร้อมกับเนื้อเรื่องให้ดี เพราะอะไร แล้วกลับมาคุยกันครับกับ A very long engagement
ปล2. ช่วงนี้เป็นช่วงที่คนชอบดูหนังน่าจะเหนื่อยแน่ๆ อย่างผมแฟนพันธุ์แท้The Ringอย่างผมคงไม่พลาดที่จะชม แต่กับCafe Lumereที่พลาดจากงานเทศกาลก็ยังไม่ได้ดู แถมสัปดาห์หน้าที่ต้องเจอผมคงเริ่มต้นกับcrying out of love.. แถมตามมาด้วย บุปผาราตรี 2 /Tokyo Godfathers / Boogeyman / Don't Move /Bride & Prejudice คุณจะตัดเรื่องไหนออกกันครับ
***เชิญชวนแวะไปอ่านไปคุย กับหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนในหมวดนี้ที่ไม่แสดงรายชื่ออีก40+เรื่องได้ที่ ---> ห้องเก็บหนัง