Cars , 20 ปีของ Pixar กับเรื่องของ "คาร์" (ซึ่งก็คือเรื่องของ "คน")


...Pixar ฉลองครบรอบปีที่ 20 ของการสร้างสรรค์ผลงานหนังอนิเมชั่น ด้วยผลงานล่าสุดของ ผู้กำกับ John Lasseter ที่เคยฝากการกำกับ อนิเมชั่นเรื่องที่ผมชอบมากสุดในชีวิตนั่นก็คือ A Bug's Life และ งานชิ้นโบแดงที่ผมเองก็ชอบไม่แพ้กันอย่าง Toy story ทั้งสองภาค

...Lightning McQueen เป็นพระเอกคนล่าสุดในโอกาสฉลอง 20 ปีของ Pixar เขาเป็นรถแข่งน้องใหม่ไฟแรงสีแดงแปร๊ด ว่าที่แชมป์ของถ้วยพิสตั้นคัป ถ้วยรางวัลรถแข่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปี



สิ่งที่อยู่ในหัวของเขายามหลับตา คือ การทำอย่างไรจะไปให้ถึงเส้นชัย เขาท่องแต่ จำนวนของผู้ชนะกับผู้แพ้ และ หมกมุ่นครุ่นคิดวาดภาพในใจว่า เมื่อชนะแล้วจะฉลองความสำเร็จนั้นอย่างไร

ด้วยความสามารถของเด็กใหม่ไฟแรง และความสามารถที่มีอยู่จริง บวกความมั่นใจในตัวเองสูง เขากลายเป็นคน(รถ) ไม่แคร์ใคร และ ไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา

เขาพร้อมที่จะเลิกใช้บริการผู้ช่วยในการแข่งขัน รังเกียจสปอนเซอร์ของเขาที่เป็นแค่บริษัทกระจอกๆ

เขามุ่งหวังแต่วันที่ดีกว่า วันที่คว้าถ้วยพิสตั้นคัป และ ได้เป็นนายแบบให้กับสปอนเซอร์เจ้าใหม่ที่ใหญ่กว่าและโด่งดังกว่าเจ้าเดิม



นั่นคือระบบความคิดของ”คาร์” ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรจากระบบความคิดของ”คน” หลายๆคน


อย่าไปโทษ Lightning McQueen เลย เพราะเขาก็เหมือนกับเด็กชาวกรุงที่เติบโตมาพร้อมกับการแข่งขัน และ เอาชนะ

การมีชีวิตอยู่ในแต่ละวันที่ต้องให้เร่งให้ไวเผลอไผลอาจตกรถเมล์ได้แบบไม่รู้ตัว นั่นจึงทำให้ ระบบความคิดและการใช้ชีวิตของคนกลุ่มนี้ จึงมีแต่ต้องเร่งไปให้ถึงข้างหน้า ไม่มีเวลาแม้แต่จะดูคนหรือวิวทิวทัศน์ข้างๆ

...การเร่งนี้เองเป็นเหมือนที่หนังบอกไว้ว่า มนุษย์ให้ความหมายของคำว่า การใช้เวลาที่เป็น good time เปลี่ยนไป จากที่ มันควรหมายถึง การได้ใช้เวลาดีๆกับชีวิต แต่มันกลับหมายถึง การต้องรีบเร่งทำเวลาให้เร็วให้ทัน

และชีวิตเช่นนี้ก็หล่อหลอมให้เราต้องพึ่งตัวเองมากขึ้น ครั้นพึ่งตัวเองมากขึ้นหลายคนก็ลืมคนอื่นมากขึ้นเช่นกัน ยิ่งใครที่เป็นคนเก่งหรือคนมีความสามารถ ยิ่งขึ้นไปได้สูงเพียงไรก็ยิ่งแคร์ใครต่อใครน้อยลง เพราะเชื่อใน ทฤษฎี One man show

และ ระบบความคิดเช่นนี้มักเกิดกับเด็กใหม่ไร้ประสบการณ์ที่มาพร้อมความสามารถสูงเหมือนกับพระเอกในเรื่อง เขาไม่เคยได้ตระหนักว่า ในทุกวงการ การทำงานล้วนต้องอาศัยทีมเวิร์ค เช่น การผ่าตัดถ้าหมอไม่มีพยาบาล หมอก็ไม่สามารถจัดการให้ผ่านลุล่วงด้วยดี หากไม่มีผู้ช่วยพยาบาล หากไม่มีเจ้าหน้าที่ห้องแล็บ การผ่าตัดก็ไม่มีทางสะดวกโยธิน

ไม่เพียงแค่ความสำคัญที่จะทำให้งานออกมาสำเร็จ แต่การที่เราเคารพคนอื่น ให้เกียรติคนอื่น มันก็บ่งบอกถึง ความเป็นคนทำงานที่มีคุณภาพและคนอื่นก็พร้อมจะให้เกียรติเรากลับไปเช่นกัน

แต่หลายคน ยิ่งโต ยิ่งสูง อัตตา ยิ่งใหญ่ ยิ่งบังตา จนมองไม่เห็นหัวใคร


และคนเหล่านี้จะยิ่งน่าสงสารมากเข้าไปใหญ่ในกรณีที่พวกเขา ไม่รู้ตัว และ คนกลุ่มนี้จึงต้องมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว เพราะการที่เราไม่แคร์ใคร ก็ย่อมไม่มีใครคิดจะแคร์เรา

...โชคดีของ Lightning McQueen ที่เขาโอกาสหลุดไปอยู่ในเมืองบ้านนอกอย่าง Radiator Springs และ นี่นั่นก็เหมือนแสงสว่างที่ส่องให้เขามองทะลุอัตตาตัวเองจนมองเห็นโลกรอบตัว



จากเดิมที่ ชีวิตเขามีแต่วิ่งตะบึงไปข้างหน้า เพื่อนเชยๆเด๋อด๋าอย่าง Mater กลับสอนให้เขา วิ่งถอยหลัง , Sally Carrera รถปอเช่สาวอย่างกลับสอนให้เขา วิ่งช้าๆแล้วชมวิวข้างๆ

นั่นทำให้เขาได้เรียนรู้ว่า

ชีวิตไม่ได้มีแค่ การไปถึงหรือไม่ถึงเส้นชัย ชีวิตไม่ได้มีแค่ การเป็นผู้แพ้หรือผู้ชนะ

ความสุขของชีวิตไม่ใช่มีแค่เสียงปรบมือ คำเยินยอ หรือ ชื่อเสียง


เราหลงลืมความสุขง่ายๆ ความสุขเล็กๆน้อย ความสุขที่สงบแท้จริงโดยไม่ต้องแข่งกับใคร

ความสุขที่เกิดขึ้นได้จากการเล่นเช่นขับรถถอยหลังโดยไม่ต้องแคร์ว่าจะไปถึงข้างหน้าหรือไม่

ความสุขที่เกิดขึ้นได้จากการแวะชมความงามของธรรมชาติและของชีวิต อันนำมาซึ่งความสงบสุขของจิตภายใน

...จริงอยู่ว่า การไปถึงเป้าหมาย หรือ การเข้าเส้นชัย เป็นสิ่งสำคัญ แต่ชีวิตยังมีอะไรมากไปกว่านั้น เพราะหากเรามุ่งไปแต่ข้างหน้าไปไม่สนใจ เส้นทางระหว่างทางเลย เราจะพบว่า เราได้ทำอะไรในชีวิตตกหล่นไปมากมาย เหมือนกับ พระเอกใน Click ที่กดรีโมทวิเศษข้ามทุกสิ่งที่มองว่าไร้สาระ ทั้งที่ความไร้สาระเหล่านั้น คือ การอยู่ร่วมกันของครอบครัว

...เป้าหมายปลายทางนั้นสำคัญ แต่การเดินทางไปถึงเป้าหมายนั้นก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะ ระหว่างการเดินทางของชีวิต ช่วงเวลาจากจุดเริ่มต้นไปถึงเส้นชัย นั่นก็คือ ชีวิต

ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ เราก็ได้บทเรียนและได้รู้จักชีวิต

ไม่ว่าจะไปถึงหรือไม่ถึง เราก็ได้ประสบการณ์ชีวิตที่จะทำให้เราเติบโต


เพียงแต่ในโลกที่ชื่นชมความสำเร็จ จึงทำให้เรามุ่งมั่นแต่ปลายทาง จนกลายเป็นชีวิตที่ไม่เคยหยุด ไม่รู้จักพอ เรานึกว่าไปได้ถึง จุดหนึ่ง ตำแหน่งหนึ่ง แล้วเราจะพอ แต่กลายเป็นว่า เมื่อเราไปถึงแล้ว เราอยากไปได้มากกว่านั้นอีก กว่าเราจะรู้จักหยุดก็คือวันที่สิ้นสุดลมหายใจ

แล้วสุดท้ายเราก็จะได้มาพบว่า ทุกสิ่งที่เรามองว่ามีคุณค่ามากกมาย ไม่ว่าจะเป็น ตำแหน่ง เงินทอง ยศฐาบรรดาศักดิ์ ฯลฯ สิ่งเหล่านั้นอาจไม่มีความหมายอะไรเลย เหมือน ถ้วยพิสตอนคัป สามสมัยที่เวลาผ่านไป มันก็เป็นแค่ถ้วยเก่าๆใบหนึ่งเท่านั้น ตรงข้ามกับความรัก ความห่วงใย ครอบครัว ที่หากเราใส่ใจ เมื่อเวลาผ่านไป กลับทวีคุณค่ามากขึ้นและอยู่กับเราอย่างมีความหมายต่อจิตใจไปชั่วชีวิต



...ผมเป็นแฟนานุแฟนของ Pixar ชนิดไม่เคยพลาดแม้เรื่องเดียวในโรงหนัง แต่ผมกลับไม่คิดอยากดู Cars แม้แต่น้อย

ผมไม่ชอบหนังตัวอย่างที่ออกมา ผมไม่รู้สึกพิสมัยคาแรคเตอร์ตัวละครในหนังเลย จนตอนแรกคิดว่าจะรอแผ่นแล้วค่อยดูเสียมากกว่า

การตัดสินใจซื้อตั๋วเข้าไปดู Cars เป็นเพราะว่าได้อ่านความเห็นหลายคนที่ไปดูมาล้วนเป็นไปในแนวทางชื่นชม จนผมสงสัยว่า หรือนี่จะเป็นกรณีผ้าขี้ริ้วห่อทอง บวกกับ ผมตั้งใจจะไปซื้อโน้ตบุคที่งานคอมเวิล์ดแล้วก็ไม่ได้เครื่องที่ตรงสเป็คดังใจ ก็เลยตรงไปเคาเตอร์เพื่อซื้อตั๋ว Cars

ช่วงแรกๆผมเคลิ้มๆง่วงๆอยู่ด้วยความอ่อนเพลียและคิดไปว่า ท่าทางเราจะคิดผิด แต่เวลาผ่านไปแทนที่ผมจะง่วงมากขึ้น กลับกลายเป็นผมตื่นและสนุกกับหนังมากยิ่งขึ้น ตัวละครต่างๆที่ดูไม่น่ารักน่าชังกลับน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเหล่าตัวประกอบเพื่อนๆทั้งหลายได้โชว์ความน่ารักน่าจดจำกันทั้งหมดในช่วงท้าย(guido เท่ระเบิด) แล้วเมื่อดูจบผมก็พบว่า เป็นอีกครั้งที่ผมเกือบพลาดหนังดีๆที่น่าจะดูในโรงหนังไปอีกหนึ่งเรื่อง




...สำหรับผม เมื่อเทียบ Cars กับการ์ตูนที่ผ่านมาของ Pixar

Cars อาจจะไมได้มีตัวละครที่น่ารักน่าชังเหมือนการ์ตูนเรื่องก่อนๆ

Cars ขาดเสน่ห์บางอย่างเหมือนที่ Monsters, Inc. หรือ A Bug's Life มี

Cars ไม่ได้มีสีสันสดใสภาพที่ทำให้ตื่นตาตื่นใจชนิดตกตะลึงพรึงเพริศ เช่น Finding Nemo ให้ภาพในท้องทะเล

แต่ความรู้สึกหลังดูหนังจบคือสิ่งที่ Cars ให้ได้เหมือนกับหนังยุคเก่าๆของ Pixar ที่ทำให้ผมอิ่ม

...ข้อคิดสอนใจใน Cars โดดเด่นและผสมผสานได้กลมกลืนมากที่สุดในผลงานชิ้นหลังๆของ Pixar และ Cars ทำให้ผมอิ่มเอมหลังดูหนังจบมากกว่าสองเรื่องล่าสุดอย่าง The Incredibles กับ Finding Nemo ที่แม้จะภาพสวย เนื้อหาดี แต่ ผมดูจบกลับรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่มันพร่องๆไป ยิ่งเป็นในส่วนของอารมณ์ดราม่า ผมกลับไม่รู้สึกร่วมไปกับตัวละครเหมือนอย่างตอนดู Toy story หรือ Monsters, Inc.



ผลงานด้านภาพอาจไม่ใช่การพัฒนาแบบก้าวกระโดด จึงทำให้หลายคนรู้สึกว่าไม่แตกต่างอะไรนักกับงานชิ้นก่อน แต่หากลองสังเกตงานประเภทฉากหลังหรือรายละเอียดแสงเงาของตัวละคร จะพบว่า Cars ทำได้อย่างยอดเยี่ยมขึ้นไปอีกเมื่อไปเปรียบเทียบกับผลงานที่ผ่านๆมา

สิ่งที่ชอบ

1.ข้อคิดจากหนัง ... เป็นหนังที่ให้ข้อคิดในการใช้ชีวิตที่ดีมาก และ หนังก็ประยุกต์ออกมาได้เข้าใจง่าย กลายเป็น หนังที่ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ในยุคปัจจุบันน่าจะหามาดู

2.บทภาพยนตร์ ... เริ่มต้นก็ดูได้เรื่อยๆแต่ก็ไม่ชวนให้เชื่อว่าน่าจะดีกว่าเรื่องก่อนๆ ผมเองก็คิดว่ามีแนวโน้มจะอีหรอบเดียวกับสองเรื่องก่อนของ pixar เป็นแน่ คือ หนังดีดูสนุกแต่ผมไม่อิน ไม่อิ่มและไม่ชอบ แต่ ยิ่งดูหนังยิ่งทวีความน่าสนใจ นั่นคงเป็นเพราะบทภาพยนตร์ที่แน่นปึ้ก จึงทำให้นอกจากผมจะสนุกแล้ว ยังรู้สึกซาบซึ้งและอินไปกับหนัง พร้อมกับรู้สึกอิ่มเอมเมื่อดูหนังจบลง

3.ภาพในหนัง ... ดูเผินๆตอนแรกก็ธรรมดา แต่พอมาตั้งใจดูเก็บรายละเอียดแล้วพบว่า ภาพในหนังเรื่องนี้ สวยมาก เก็บรายละเอียดเล็กๆน้อยได้หมด โดยเฉพาะฉากหลังมีรายละเอียดน่าจดจำอยู่หลายฉาก

สิ่งทีไม่ชอบ

1.หนังตัวอย่าง ... แค่ตัวละครที่เห็นในตอนแรก ผมก็ไม่ประทับใจเท่าไหร่แล้ว ยิ่งหนังตัวอย่างยิ่งดูจะธรรมดาจนไม่คิดที่จะดูเสียด้วยซ้ำในตอนแรก (แต่ก็ดีเหมือนกัน ตรงที่ของดีๆถูกเก็บไว้ให้คนดูหนังฉบับเต็ม)

สรุป ... Cars ไม่ใช่ที่สุดของ Pixar , Cars ไม่ได้มีภาพที่โดดเด่นจนต้องตะลึง แต่ Cars ก็ยังเป็นความคุ้มค่าตั๋วในการจ่ายเข้าไปดูในโรงหนัง เพราะแค่ ฉากแข่งรถ+ฉากขับรถชมวิวริมน้ำตก เชื่อได้เลยว่าต่อให้ดูจอไวด์สกรีนที่บ้านใหญ่โตแค่ไหนก็ไม่สามารถเก็บความประทับใจเท่ากับได้ไปดูในโรงหนัง

ป.ล. One Man Band หนังสั้นก่อนนำเข้าหนังใหญ่ ดูไปยิ้มไป แล้วพอถึงประชันฝีมือก็อดนึกถึง โหมโรง ไม่ได้ เป็นหนังสั้นอีกเรื่องที่น่ารัก สีหน้าเด็กก็ขำๆดี ดีรองลงมาจากตาแก่เล่นหมากรุกที่เป็นหนังสั้นที่ผมชอบที่สุดของ Pixar





Blog ช่วงนี้ ขอกินเนื้อที่โฆษณา(ด้วยเกรงว่าเด๋วจะขายไม่ออก) กับ พ็อกเก็ตบุ้คเล่มแรก ที่จะออกในงานมหกรรมหนังสือใน สัปดาห์ข้างหน้าครับ



"หนังสือรัก"
หนังสือที่แม้จะเกี่ยวกับ หนัง แต่ ไม่ใช่ รวมบทวิจารณ์หนัง ที่จะบอกว่า หนังเรื่องนี้ดีไม่ดีอย่างไร ไม่ได้บอกว่า หนังเรื่องนี้มีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ซ่อนเร้นอย่างไร "หนังสือรัก" คือ การนำ 25 ความรักหลากรูปแบบจากภาพยนตร์ มาช่วยให้คุณเข้าใจตัวละคร และย้อนมาเข้าใจตัวเองกับคนรอบข้างได้มากขึ้นและลึกซึ้งกว่าเดิม

230 หน้า ราคา 175 บาท จ้า

สนพ. Bynature


ต้องขอบคุณทุกๆคำนิยมที่เพื่อนสละเวลามาเขียนให้ และ ต้องขออภัยที่เนื้อที่หนังสือมีจำกัดจึงไม่ได้สามารถลงคำนิยมได้ครบทุกคนครับ (ไว้ยังไงค่อยเอาไปใส่เล่ม 2 แล้วกันเนาะ )





ชวนไปอ่านบทความเรื่องอื่นๆ คลิก >> หน้าสารบัญ

เริ่มต้นอ่านครั้งแรก ชวนคลิก ชวนคุยกันที่ --> หน้าแรก

รวบรวมรายชื่อหนังเรื่องเก่าๆที่เคยเขียนไว้แล้วที่ ---> ห้องเก็บหนัง



ขอคิดค่าบริการต่อการอ่าน 1 หน้าในอัตราเพียง

ความเห็น
ของคุณมีประโยชน์กับผู้อ่านคนถัดมา คำทักทายของคุณเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน คำติชมหรือคำแนะนำของคุณจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพัฒนาหากคุณเข้ามาอ่านครั้งถัดไป


Create Date : 11 ตุลาคม 2549
Last Update : 11 ตุลาคม 2549 13:22:39 น.
Counter : 6714 Pageviews.

23 comments
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๗ มาช้ายังดีกว่าไม่มา
(2 ม.ค. 2567 07:30:30 น.)
The Last Thing on My Mind - Tom Paxton ... ความหมาย tuk-tuk@korat
(1 ม.ค. 2567 14:50:49 น.)
สวัสดีปีใหม่ Rain_sk
(1 ม.ค. 2567 21:38:33 น.)
BUDDY คู่หู คู่ฮา multiple
(3 ม.ค. 2567 04:49:04 น.)
  
สงสัยต้องไปดูเเล้วครับ
เรื่องนี้ตย. ไม่น่าดูเลย ธรรมดามากๆๆ
โดย: bigwores IP: 203.114.118.54 วันที่: 11 ตุลาคม 2549 เวลา:8:48:27 น.
  
ชอบมากเช่นกันค่ะ
.......
ดูแล้วไม่ผิดหวัง ทุกตัวละครน่ารักน่าจดจำ
ข้อคิดที่ได้จากหนังตรงตามทุกข้อเลย
โดย: ลูกแพนด้า IP: 221.6.19.195 วันที่: 11 ตุลาคม 2549 เวลา:11:06:35 น.
  
คิดเหมือนกันเลยครับ ที่ตอนแรก ไม่ได้รู้สึกอยากดูเลยเมื่อเห็นตัวอย่าง แต่ก็ตัดสินใจไปดูเพราะว่า อยากดูหนังการ์ตูน
(คิดว่าดูเรื่องนี้ น่าจะดีกว่า The Ant Bully) แต่คงเพราะไม่ได้ตั้งความหวังกะหนังมาก เลยรู้สึกว่า ดูแล้วสนุกมากๆ
ยิ่งช่วงหลังๆหนังสนุกมากๆเลยครับ ชอบตอนจบมาก ทำให้ผมน้ำตาซึมได้เลยครับ เป็นหนังการ์ตูนอีกเรื่องของ Pixar
ที่ไม่ควรพลาดจริงๆครับ (แถมฉากสุดท้าย หลังCredit ฮามากๆเลยครับ)
(ได้เห็นตัวอย่างในเวบของ Ratatouille หนังของ Pixar ที่จะฉายซัมเมอร์หน้าแล้ว รู้สึกไม่ค่อยน่าดู คล้ายๆหนังตัวอย่างเรื่อง Cars เลยครับ 555)
โดย: Woodyhanks IP: 203.146.244.49 วันที่: 11 ตุลาคม 2549 เวลา:11:54:19 น.
  
เห็นด้วยมากๆเลยว่า ตัวอย่างหนังไม่น่าดูเลย คิดว่าจะผ่านเหมือนกัน แต่พออ่านที่คนมาชมกันก็เลย ลองดูก็ได้ พอได้ดูก็รู้สึกว่า หนังดีมากจริงๆ ดูแล้วทำให้อิ่มใจเดินยิ้มออกมาจากโรงเลย หลังจากเจอวันที่เครียดๆมา เห็นด้วยกับที่เขียนรีวิวเลยค่ะ

ปล ตอนแรกว่าจะอ่านอย่างเดียวเหมือนทุกที แต่เหลือบไปเห็นที่เขียนว่า "คนอ่าน Blog นี้ ช่วยรายงานตัวด้วยคร้าบ" ก็เลยมารายงานตัวจ้า
โดย: เนื้อตะไคร้ IP: 58.9.170.85 วันที่: 11 ตุลาคม 2549 เวลา:17:10:22 น.
  
ไปดูมากตั้งสามรอบแล้ว ชอบมากๆทั้งเนื้อหา และเนื้อภาพ
ดูแล้วได้คิดอะไรหลายอย่างกับชีวิตตัวเองเหมือนกัน รู้สึกตัวเองเหมือนแมคควีน ที่คอยวิ่งไล่เป้าหมาย โดยไม่สนใจว่า"ข้างทาง"เป็นอย่างไร
ชอบการวิจารณ์ของคุณมากครับ...
โดย: La O'clordor IP: 58.8.155.14 วันที่: 11 ตุลาคม 2549 เวลา:18:56:25 น.
  
ไปดูมาเเล้วครับ
ชอบมากๆ ภาพวิว น้าตก สวยมากๆ

ตัวละครกุยโด้ รถยก น่ารักมากๆ พูดน้อยต่อยหนัก...

หนังสั้นก่อนฉาย ฮาจริงๆ เหมือนโหมโรงอย่างที่จขบ บอกไว้จริงๆครับ

สรุป เกือบพลาดหนังดีๆ ไปเสียเเล้ว

เพราะตัวอย่าง มันไม่เวิร์คจริงๆๆๆๆๆ
โดย: bigwores IP: 203.188.6.68 วันที่: 11 ตุลาคม 2549 เวลา:19:46:09 น.
  
+ โอววว ... ไม่นึกเลยว่าคำเปรยของผม จะเป็นจริงไวเหมือนโกซิกส์เยี่ยงนี้ ยังไม่ทันถึง 3 ชั่วโมง คุณ จขบ. ก็มาโพสต์สวนเลย (อิๆ จริงๆ ไม่เกี่ยวหรอก ... คุณ จขบ. ร่างไว้แล้วแหละ คงเป็นเพราะช่วงนี้เวลาว่างเยอะขึ้น เลยได้กลับมารีวิวหนังบ่อยๆ เหมือนเดิม ... ก็ดีครับ พลอยเป็นกำไรให้ผู้อ่านอย่างพวกผมไปด้วย ... ว่าแต่ Food update ฉบับหน้า จะเลือกเรื่องไหนลงอ่ะคับเนี่ย? มีต้นฉ-บล็อก หลายเรื่องให้เลือกเลยน้อ รอบเนี้ยะ)
+ ผมกลับไม่ได้ดูหนังตัวอย่างของเรื่องนี้แฮะ แต่ที่ตั้งใจว่าจะดูตั้งแต่แรก เพราะมันเป็นอนิเมชั่นของ Pixar กับดูจากรายได้ที่สูงลิ่ว อีกทั้งยังมีเสียงชื่นชมจากผู้ชมที่เมืองนอก (เพราะเรื่องนี้มันฉายมาตั้งนานแล้ว) อ่ะคับ ... แหม ถ้าได้ดู อาจทำให้ไม่อยากดูเหมือนหลายๆ คนในบล็อกนี้ก็ได้อ่ะเนอะ เหอะๆ
+ ไปเสิร์ชดูเครดิตคนพากย์เรื่องนี้ ก็ไม่ใช่ขี้ไก่นะครับเนี่ย ... ไลท์นิ่ง แมคควีน โดย โอเว่น วิลสัน, ดอค โดย (ปู่)พอล นิวแมน, แซลลี่ โดย บอนนี่ ฮันต์, ชิค ฮิคส์ โดย ไมเคิล คีตัน, เมเทอร์ โดย แลรี่ เดอะเคเบิลกาย เป็นอาทิ ... เจ๋งคับเจ๋ง, ชอบ Guido กับ Luigi ด้วยคับ ดูเอ๋อๆ แต่เป็นเล็กพริกขี้หนูที่ซ่อนคมไว้มิดชิดทีเดียว ตอนเปลี่ยนยางให้พระเอกในสนามแข่งฮามั่กๆ
+ อย่างที่ผมเขียนไว้ใน 'หน้าแรก' ว่า โดยส่วนตัวผมว่าเนื้อเรื่องจริงๆ แล้วก็ได้มีอะไรใหม่มากมาย แต่สิ่งที่ดีก็คือ 'สาร' ที่สอดแทรกอยู่ในบทภาพยนตร์ และความลงตัวของเหตุการณ์และเรื่องราว เลยทำให้คนดูรู้สึก 'จับใจ' ขึ้นมาได้กระมังครับ, ส่วนภาพรถมากมาย (แฟนๆ นักบิดคงปลื้ม) + ภาพวิวของอเมริกาตอนกลางอันแสนอลังการที่เป็นฉากหลัง (อีกทั้งเรื่องเกี่ยวกับ Route 66 ที่ไม่ได้อยู่ที่ RCA ยิ่งทำให้ต่อมนอสตาเกลียทำงานขึ้นมาตงิดๆ) ... รวมทั้งเสียงรถอันกระหึ่มสะท้านใจ ... ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้ดูดีขึ้นมาอ่ะครับ
+ มีข้อสังเกตนิดนึงว่า หนังที่เกี่ยวกับกีฬาหรือการแข่งขัน ที่ตัวเอกไม่ได้ชนะที่ 1 เนื่องด้วยเพราะเหตุผลใดก็ตาม ช่วงหลังๆ นี่กลับจะได้รับเสียงชื่นชมเป็นพิเศษ ... อาจเป็นเพราะสังคมเมกา เริ่มตระหนักแล้วว่าการสอนให้คนเอาชนะคะคานกันแต่เพียงอย่างเดียว บางทีมันก็อาจทำให้สังคมเลวร้ายลงกว่าเดิมก็เป็นได้ ... เพราะนอกจากเรื่องนี้ เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้ดูเรื่อง Friday nights light ที่เกี่ยวกับอเมริกันฟุตบอล(จ๋าเลย) ทาง UBC - ที่ดูเพราะได้ยินว่าดี แล้วอารมณ์มันก็ออกมาประมาณนี้แหละครับ ... ถ้าเพียงแต่เราแพ้ในบางครั้ง เราอาจได้รับมุมมองใหม่ๆ จากเหตุการณ์ครั้งนั้นก็เป็นได้
+ การ์ตูนสั้น One man band ชอบดนตรีที่เค้าแข่งกันเล่นอ่ะคับ แต่ผมเหมือนจะไม่ได้ดูเรื่องตาแก่เล่นหมากรุกที่คุณ จขบ. ชอบแฮะ - -" หรือไม่ก็อาจจำไม่ได้ง่ะคับ
โดย: บลูยอชท์ IP: 202.69.140.233 วันที่: 11 ตุลาคม 2549 เวลา:21:42:12 น.
  
One Man Band น่ารักดีนะครับ
เด็กน้อยนี่สุดๆไปเลย 55+
แต่การ์ตูนสั้นเรื่องที่ผมชอบกลับเป็นเรื่อง Birds (รึเปล่า?) ที่เป็นนกเล็กกับนกใหญ่อะครับ ^^

เรื่องนี้ผมชอบรายละเอียดของภาพนะครับ ผมว่าเขาเก็บรายละเอียดดีอะ ขนาดรอยแตกของซีเมนต์บนถนนยังเหมือนเลย (มียางยี่ห้อ Lightyear ด้วยนะ ^^)
โดย: nanoguy IP: 203.113.35.7 วันที่: 12 ตุลาคม 2549 เวลา:1:40:49 น.
  
ยังไม่ได้ดูเลยค่ะ แต่ยังไงคงจะไม่พลาดแน่ๆ ในเมื่อดูหนังของ Pixar มาทุกเรื่อง (มีแค่ A Bug's life) เรื่องเดียวที่ไม่ได้ดูในโรง แต่ก็ยังชอบมากๆ

ชอบและทึ่ง Toy story 1 มากๆ ประทับใจ Monster Inc. สุดๆ และยังติดในความทรงจำมาจนถึงทุกวันนี้ และ Toy story 2 เป็นการ์ตูนแสนเศร้าของเรา และเป็นหนังของ Pixar ที่เรารักมากที่สุด

คิดคล้ายๆพี่ค่ะ ว่า Nemo และ Incredibles สนุกและน่ารักเหมือนเดิม แต่ความประทับใจแบบลึกซึ้งเหมือนขาดๆไป

แต่ก็ยังคาดหวังและตั้งตารอที่จะดู Cars อยู่ค่ะ (รอสอบเสร็จก่อนนะ)
ปล. หากระทู้เรื่อง 13 ในเฉลิมไทยแบบไม่สปอยล์ไม่ได้เลยแฮะ ถามพี่เลยละกัน มันเป็นหนังแนวไหนกันแน่คะ ไม่ใช่สยองขวัญใช่มั้ยเอ่ย แล้วน่าดูมากมั้ยคะ (ไม่เคยสนมาก่อน แต่เห็นคนพูดมากๆชักอยากดู)
โดย: azzurrini วันที่: 12 ตุลาคม 2549 เวลา:17:33:42 น.
  
สิ่งที่ชอบที่สุดของหนังเรื่องนี้ก็คือหนังสั้นก่อนฉายน่ะค่ะ อื่น ๆ เราเฉย ๆ อะ ทั้ง ๆ ที่ติดตามงานของ Pixar มาตลอด สงสัยคาดหวังมากไปหน่อย
โดย: unwell วันที่: 12 ตุลาคม 2549 เวลา:18:46:36 น.
  
Woodyhanks ...Ratatouille นี่ใช่ หนูกับเนย หรือเปล่าครับ

เนื้อตะไคร้ ... ขอบคุณคร้าบที่มารายงานตัว ถ้ายังไงว่างๆ มีอีกหนึ่งบล้อกที่จัดไว้ให้เพื่อนๆมาช่วยกันลงชื่อเป็นสำรวจมโนประชากรของบล้อกครับ (คลิกได้ที่ชื่อหัวข้อด้านบน)

บลูยอชท์ ... ผมละชอบจริงๆคำว่า "ต้นฉบล้อก" / ที่เขียนลงใน Food update เล่มหน้า ผมเขียนใหม่ครับ มีเชื้อเดิมจากเรื่องในบล้อกนี้นิดหน่อยแต่เนื้อหาส่วนใหญ่เขียนใหม่หมด ไว้ออกเมื่อไหร่จะเอาต้นฉบับมาลงบล้อกอีกทีนึง (ส่วนที่ลงใน Food update ตั้งใจว่าจะเขียนใหม่ทั้งหมดครับ)

nanoguy ... นกเล็กกับนกใหญ่บนสายไฟใช่มั้ยครับ ชอบเหมือนกัน

azzurrini ... ถามว่า 13 น่าดูมั้ย ตอบว่า น่าดูมาก / มันเป็นหนังแนวสยองขวัญ เขย่าขวัญ แฝงเสียดสีสังคม ตัวละครผ่านไปทีละด่านๆที่ต้องเลือกทำ เลือดอาจไม่โชกเท่าไหร่ แต่ก็ขยะแขยงขยึยได้ในหลายฉาก (สำหรับคอสยองรหัสคดีแบบนี้ไม่น่าพลาดเน้อ ไปดูเหอะ เชื่อเถอะว่าจะชอบ) / พี่เพิ่งได้แผ่นเรื่อง 12 มาจากคุณผู้อ่านในบล้อกนี้(คุณรบชนะ) ตั้งใจว่าจะดูคืนนี้แหละ จะได้เขียนถึง

ขอบคุณความเห็นเพื่อนๆคนอื่นๆด้วยครับที่แวะมาพูดมาคุยกัน
โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" วันที่: 12 ตุลาคม 2549 เวลา:20:04:37 น.
  
+ ขอบคุณที่ชอบนะฮับ พอดีมันแว้บขึ้นมาอ่า
+ อ๋อๆ เข้าใจล่ะ ... คุณ จขบ. เขียนต้นฉบับ (คราวนี้เป็นต้นฉบับจริงๆ) ส่งไปลงก่อน แล้วค่อยก๊อปมาลงในบล็อกอีกทีเหรอครับ ตอนแรกผมนึกว่าเขียนในบล็อกก่อนแล้วค่อยก๊อปไปลงในโน้นซะอีก ... เพราะอัน An inconvenient truth มันเหมือนจะเป็นข้อความเดียวกันเลยอ่าครับ แหะๆ
โดย: บลอทช์ยู IP: 202.69.140.233 วันที่: 13 ตุลาคม 2549 เวลา:12:13:02 น.
  
เราคงต้องมองต่างมุมกะจคบ.หน่อยละครับ จริงอยู่ว่าสุดท้ายแล้วมันสอนอะไรบางอย่างให้กะเรา(หรือเด็กๆที่ไปดู) แต่เราคิดว่าผกก.เขาลืมสร้างบางสิ่งบางอย่างที่ปกติพิกซาร์ทำได้มาเสมอ จริงอยู่ที่ภาพและกราฟฟิกต่างๆยังเป็นยี่ห้อพิกซาร์แท้ๆ แต่เขาไม่ได้สร้างตัวละครที่จะทำให้เรารู้สึกแคร์เหมือนกับเรื่องก่อนๆ มันไม่มีความรู้สึกร่วมเหมือนกับเมื่อเราเห็นวู้ดดี้กับเพื่อนๆที่ถูกทิ้งเป็นของเล่นเก่าๆ มันไม่มีความรู้สึกร่วมเหมือนกับเมื่อเราเห็นสัตว์ประหลาดที่ไม่สามารถหลอกเด็กให้กลัวได้
มันไม่มีความรู้สึกเหมือนกับเมื่อเราเห็นปลาพ่อลูกมาเจอกันในที่สุด

ดังนั้นไม่ว่าข้อคิดหรือบทเรียนสอนใจจะมีคุณค่ามากแค่ไหน ถ้าเขาไม่สามารถสร้างคาแรกเตอร์ที่ดีพอ สามมิติพอ เราก็คิดว่าพวกเขาล้มเหลวละครับ...

ขอโทษที่ไม่ชอบเรื่องนี้ครับ

ปล. เราก็มีรีวิวนะ ลองหลงๆไปกันดูงับ
โดย: BloodyMonday วันที่: 13 ตุลาคม 2549 เวลา:15:23:10 น.
  
^
^
สำหรับอนิเมชั่นหลายๆ เรื่องที่ยกๆ กันมา ผมชอบ Finding Nemo ที่สุดอ่ะครับ ... คงเป็นเพราะเรื่องของพ่อ-ลูก มันดูผูกพันกันมากกว่าเพื่อน-เพื่อน ที่มีในการ์ตูนส่วนใหญ่อยู่แล้วมั้งครับ ... อีกอย่างฉากใต้ทะเลมันคงโดนใจผมมากกว่าฉากบนบกด้วยละมั้ง เหอะๆ
โดย: บลูยอชท์ (อีกที) IP: 202.69.140.233 วันที่: 13 ตุลาคม 2549 เวลา:20:58:34 น.
  
บลูยอชท์ ... แหะๆ พอดีชิ้นแรกนั่นงานมาแบบกะทันหัน ผมมีเวลาเหลือแค่สองสามวันซึ่งเขียนเรื่องใหม่ไม่ทันแน่ๆ ก็เลยเอาบล้อกนั้นมาeditเล็กน้อย แต่ จริงแล้วๆ ตอนแรกเนื้อหาในบล้อกของ An inconvenient truth ไม่ใช่แบบตอนนี้หรอกครับ แค่ใกล้เคียงกัน แล้วพอหนังสือออก ผมก็เอาไฟล์ในหนังสือก็อปมาลงทับในบล้อกอีกทีนึง

BloodyMonday ... ไม่เป็นไรคร้าบ คิดต่างกันได้จะได้มีความเห็นที่หลากหลายครับ แค่เข้ามาตอบมาคุย เจ้าของบล้อกก็เป็นปลื้มแล้น
โดย: "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" วันที่: 14 ตุลาคม 2549 เวลา:0:53:13 น.
  
แงไม่ได้ดูหนังสั้น One Man Band
เรื่องนี้สนุกมากไม่เบื่อหรือน่าง่วงแบบที่คิดไว้ในตอนแรก สาระที่สอดแทรกเข้ามาเนียนมาก ทว่า มุขขำ ๆ ไม่ฮาก๊าก ที่ชดเชยคือความเป็นดราม่าและอารมณ์แบบหวนอดีตอันงดงาม
สอบผ่านด้วยคะแนนดีตามมาตรฐานอนิเมชั่นค่ายนี้ (มี Mosters Inc.เรื่องเดียวเท่านั้นแหละที่ทำให้เรานึกว่าโตเกินไปหรือเปล่า ง่วงแบบทรมานได้จัยเลย)
โดย: คนแปลกประหลาดตน IP: 58.64.81.233 วันที่: 15 ตุลาคม 2549 เวลา:21:11:43 น.
  
ชอบ one man band มากค่ะ เด็กน่ารัก ข้อสำคัญเสียงประกอบเนี่ย สุดยอดจิงๆ

ในหนังตัว cars เอง ถ้าสังเกตดีๆ (มีเพื่อนที่เล่นรถแข่งไปดูด้วย) เค้าอธิบายอะไรให้ฟัง ให้ดูจุดต่างๆ ที่หนังพยายามใส่มา ละเอียดมากๆ ให้ความสำคัญกับทุกจุด เหมือนดูการแข่ง F1 เลยค่ะ

แต่โดยส่วนตัวยังรักสีสรรของนีโม กะฉากใต้ทะเลที่น่าตื่นใจมากกว่าอยู่ดีค่ะ

โดย: แก้มยุ้ย (หมวยแก้มป่อง ) วันที่: 19 ตุลาคม 2549 เวลา:9:49:04 น.
  
เพิ่งได้มีโอกาสดู DVD
ดูไปตอนแรกๆ ยังไม่คิดว่าจะสนุกอะไร แต่ยิ่งดูไปเรื่อยๆ ยิ่งสนุกครับ แถมข้อคิดที่หนังสอดแทรกไว้ก็ดีมาก บางฉากเล่นเอาผมกลั้นน้ำตาแทบไม่อยู่เลย ด้าน graphics ก็สุดยอดมาก ลองสังเกตุดูฉากต่างๆ มีรายละเอียดเยอะมากเลยครับ
โดย: AronSun IP: 124.120.240.41 วันที่: 22 มกราคม 2550 เวลา:23:24:35 น.
  
เพิ่งได้ดูไม่กี่วันก่อนครับ ประทับใจเหมือนกัน แม้ว่าตอนแรกจะคิดว่าไม่น่าดูเลยก็ตาม ที่ชอบมากอีกอย่างคือเพลงประกอบครับ เพราะมากๆ โดยเฉพาะ Our Town ของ Randy Newman ขาประจำพิกซาร์ และ Find Yourself ของ Brad Paisley

ชอบ Guido เหมือนกันเลย เท่ๆๆ

ขอบคุณครับสำหรับบทวิเคราะห์
โดย: absent-minded IP: 222.212.66.38 วันที่: 24 มกราคม 2550 เวลา:15:07:01 น.
  
เพิ่งดูจบครับพี่ โห งานด้านภาพและฟิสิกส์นี่สุดยอดจริง ๆ ใครว่าไม่ก้าวกระโดด นี่มันเขย่งก้าวกระโดดตีลังกาหน้าสิบรอบด้วยซ้ำอ่ะ

บทไม่ค่อยหวือหวานะครับ รู้สึกว่าลูกล่อลูกชนน้อยไปหน่อย แต่เค้าเก็บรายละเอียดที่เป็นบทพูดค่อนข้างดีอ่ะ เลยฟังแล้วลื่นไหลๆ และจับประเด็นที่ต้องการนำเสนอได้อยู่หมัด

ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริง ๆพิกซาร์เนี่ย
โดย: กวาง IP: 203.157.44.226 วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:0:46:31 น.
  
พี่เขียนได้ดีมากค่ะ อ่านแล้วซื้อเลย! เมื่อไหร่จะเขียนออกมาอีกค่ะ รออยู่................จริงๆนะ
โดย: ying IP: 124.120.144.150 วันที่: 5 พฤษภาคม 2550 เวลา:23:50:56 น.
  
ชอบมากค่ะ
มากมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
โดย: บี IP: 125.26.79.112 วันที่: 11 มิถุนายน 2553 เวลา:13:02:08 น.
  
ถ้ามีคาร์ภาค 2 พี่จะเขียนอีกไหมค่ะ
โดย: อาย IP: 125.26.16.246 วันที่: 11 พฤศจิกายน 2553 เวลา:18:29:18 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Aorta.BlogGang.com

"ผมอยู่ข้างหลังคุณ"
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 72 คน [?]

บทความทั้งหมด