จงให้ความสำคัญต่อสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าสิ่งที่ถูกใจ
Group Blog
 
<<
เมษายน 2553
 
18 เมษายน 2553
 
All Blogs
 

ชัยชนะและความพ่ายแพ้ของ "บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย" (ตอนที่ 81)

โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ

ตอนที่ 81

น้ำใจเพื่อน

เพื่อนรักของผมอีกคนหนึ่ง ออกชื่อก็ต้องรู้จักหลายคน “ ไอ้อิ๊ด ” หรือ บรรณสมบูรณ์ มิตรภักดี นั่นยังไง ไอ้นี่มันดั้นด้นไปเยี่ยมผมถึงเจนีวา แล้วมันยังไม่ไปมือเปล่า มันหอบเอาเงินไปเยี่ยมด้วย มันรู้ว่าผมไม่มีเงิน

เมื่ออยู่เมืองไทยก็เที่ยวด้วยกันเป็นประจำ ในทุกแห่งที่มีเหล้ามีผู้หญิง เพื่อนรักของไอ้อิ๊ดเป็นเจ้าของโรงสังกะสีที่ปากน้ำก็ติดไปเที่ยวด้วยกัน เขาชื่อ บุญถม เย็นมาโนช พ่อคนนี้อยู่เมืองไทยก็เที่ยวด้วยกันแทบทุกคืน คณะเดียวกันกับไอ้อิ๊ด พ่อคนนี้ไม่กินเหล้า แต่ก็เมาได้เหมือนกัน สนุกกับวงเหล้าได้อย่างไม่เคอะเขิน คุยกันกับคนเมาได้สนุก เพื่อนคู่หูสองคนนี่หอบเอาเงินไปให้ เขาว่า “ เอามาทอดกฐิน ” ทุกคราวที่เขามีโอกาสแวะไปเยี่ยม เขากลัวผมอดตาย

น้ำใจของเพื่อนที่หลั่งออกมา ให้เห็นยามยากนี่ เป็นน้ำใจที่มีคุณค่า ชนิดที่ตีราคาไม่ได้ ผมได้รู้จักเพื่อนแท้และเพื่อนเทียมในยามตกอับนั้น ไม่มีวันลืม

เพื่อนยามยากทั้งหมดนี้ ผมนำเข้าพบเจ้านาย ได้พูดได้คุยกัน ฝากความมาถึงผู้ใหญ่ในรัฐบาล ไอ้อิ๊ดนั้น มันเข้านอกออกในบ้านท่านจอมพล สฤษดิ์ ฯ ได้ มันเป็นพ่อค้าชั้นดี ฉะนั้น เรื่องการติดต่อผู้หลักผู้ใหญ่ไม่ต้องห่วง มันทำได้ถึงลูกถึงคน และไอ้คนนี้มันใจนักเลง

สมัยที่ผมอยู่ในตำแหน่งสำคัญในสันติบาล มันเคยถูกจับในข้อหากบฏร่วมกับคณะนายทหารเสนาธิการ ถูกจับไปขังไว้ที่สันติบาล ผมก็ไม่รู้ว่ามันโดนจับเมื่อไหร่ เพราะไม่ได้เข้าไปยุ่งกับฝ่ายสอบสวนเขา มารู้เอาตอนที่ผมขึ้นไปห้องทำงาน เดินผ่านห้องขัง มันก็เรียก ผมถึงหันไปเห็นมันในห้องขัง ถามมันถึงรู้ว่ามันถูกจับเรื่องกบฏ

คนอย่างไอ้นี่มันจะคิดกบฏกับใครยังไงได้ ผมให้ไขมันออกมาจากห้องขัง เอามาไว้ในห้องทำงานผม ไม่ต้องเข้าห้องขัง ผลสรุปสำนวนมันได้รับการปล่อยตัว เพราะไม่มีหลักฐาน

ผมจะปล่อยให้เพื่อนเข้าคุกได้ยังไง ถึงมันจะเอากับเขาจริง ๆ เมื่อผมรู้ มันก็ต้องไม่เอาด้วย ผมเชื่อว่ามันต้องรักผมมากกว่าพวกอื่น ระหว่างอยู่ในฐานะถูกควบคุม ผมยังต้องพามันออกไปเที่ยว ไอ้คนนี้ขาดผู้หญิงไม่ได้ เที่ยวด้วยกันเสร็จก็ยังต้องเอามันมานอนในห้องทำงานผม ให้ตำรวจเฝ้าหน้าห้องคนหนึ่ง เผื่อตอนผมไม่อยู่มันจะเอาอะไร ก็ให้บอกตำรวจคนนั้น สำนวนที่เกี่ยวกับไอ้คนนี้ สรุปได้เร็วกว่าคนอื่น ไม่มีหลักฐาน ปล่อยตัวไป ก็จบแค่นั้น

ที่มันไปเยี่ยมผมถึงเจนีวา ไม่ใช่เพราะเรื่องคดีไม่มีหลักฐาน มันไปเพราะความเป็นเพื่อนที่รู้ใจกันมาตั้งแต่ยังรุ่น ๆ น้ำใจของเพื่อนมันลึกซึ้งกว่าสิ่งใด

พวกที่ไปเยี่ยมด้วยเหตุผลแปลก ๆ ก็มี ไปชวนให้กลับไปปฏิวัติในเมืองไทยยังงี้ บอกว่าพวกเขามีกำลังพอที่จะก่อการปฏิวัติได้ คนที่มาพบนั้นเป็นนายทหารชั้นนายพลที่คุมกำลังสำคัญคนหนึ่งในกองทัพบก อย่าไปเอ่ยชื่อเขาเลย ถึงขณะนี้เขาจะเกษียณไปแล้ว ก็ยังมีตัวตนอยู่

ชวนเผ่า ฯ ปฏิวัติ

เมื่อนายพลคนนั้นไปพบ เจ้านายก็เรียกผมไปหาทันที ผมกับไอ้อ้วนก็ต้องไปพบ เพราะท่านบอกมาแต่เพียงว่ามีเรื่องสำคัญ

ผมรู้จักท่านนายพลคนนี้ดี เขาเป็นนักเรียนนายร้อยรุ่นก่อนผมเพียงรุ่นเดียว และอยู่ในยศและตำแหน่งคุมกำลังที่สำคัญคนหนึ่งจริง ๆ เราก็พูดคุยกันสนิทสนม เขามาชวนให้ท่านแอบเข้าเมืองไทยเงียบ ๆ ตามวันเวลาที่เขาจะทำงาน โดยเขาจะส่งโทรเลขเข้าโค้ดมาบอก เขาบอกว่า คนของผมก็ยังมีมาก เขารู้ว่าในสมัยที่ผมยังอยู่สันติบาล ผมมีกำลังแค่ไหน ที่ไหน เขาระบุชื่อออกมาด้วย ซึ่งก็ใกล้เคียงกับความเป็นจริง แสดงว่าเขารู้จริง ไม่ใช่พูดส่งเดช เจ้านายยังหันมาถามผมว่า

“ จริงหรือวะ ”

เมื่อผมตอบว่าจริง ก็เชื่อเขาทันที ทำท่าจะเอาด้วย เขาขอเงินจำนวนหนึ่งเพื่อเอาไปใช้ในการนี้ ก็ตกลงจะให้เขา หันมาถามผม

“ มึงว่ายังไงวะ ”

ผมก็บอกว่า ผมก็ว่าดี แต่ขอเวลาคิดสักวัน พรุ่งนี้เช้าจะให้คำตอบ เขาก็กลับไป

เมื่อเขากลับไปแล้ว ผมก็บอกว่า อย่าไปยุ่งกับเขาดีกว่า เราอยู่เฉย ๆ ของเรายังนี้ดีแล้ว จะกลับไปอีกทำไม ตอนที่ยังอยู่ กำลังของผมมีพร้อม ผมก็บอกท่านแล้ว ท่านก็ไม่สู้ ยอมเข้าไปพบเขา ให้เขาคุมตัวส่งออกนอกประเทศ แล้วโดนคำสั่งปลด จนเป็นคนเร่ร่อน ไม่มีตำแหน่งอยู่นี่

เมื่อยอมเขาแล้ว ก็ยอมให้มันหมดเรื่องไป และอีกประการหนึ่ง เขาอาจจะมาลองหยั่งใจเราดูก็ได้ ว่ายังคิดอะไรอยู่อีกหรือเปล่า ดีไม่ดี ขืนเข้าไป อาจจะเป็นศพในเมืองไทยก็ได้

ผมรู้ว่าเขาเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ นอกจากจะคุมกำลังแล้ว เขายังเป็นหัวหน้าหน่วยข่าวกรองของกองทัพบกอีกด้วย ผมรู้จักเขาดี เคยทำงานด้วยกันมา เขาไม่ทิ้งงานของเขาหรอก

เจ้านายมองหน้าผม ถอนหายใจ รำพึงออกมาดัง ๆ

“ มึงก็ขัดกูเสียเรื่อย ”

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมก็ต้องไปพบนายทหารคนนั้นอีก ผมบอกเขาว่า ท่านไม่คิดที่จะทำอะไรอีกแล้ว ขอพักผ่อนอยู่สบาย ๆ ที่นี่จนกว่าจะถึงเวลากลับไป อย่างหมดข้อกล่าวหา

“ พี่เผ่า เอายังงั้นหรือครับ ” เขายังไม่เชื่อผม หันไปถามท่าน

“ ไอ้นี่เขาว่ายังงั้น ก็แล้วแต่มัน ” ท่านหันมาพยักหน้าทางผม

เขาหันมาทางผม

“ ทำไมล่ะครับ ไม่อยากกลับเมืองไทยหรือ ” เขาถาม

“ อยู่ยังงี้ก็สบายแล้ว พี่ ” ผมตอบไป “ ผมไม่อยากให้ท่านไปยุ่งอะไรกับการเมืองอีก ”

เขาไม่พูดอะไร ลากลับไป

จบไปรายหนึ่ง ยังมีมาอีกรายหนึ่ง

ทีนี้เป็นผู้แทนเก่า สมัยที่ท่านเป็นเลขาธิการพรรค เสรีมนังคศิลา นายคนนี้เป็นลูกพรรคคนหนึ่ง เป็นผู้แทนทางภาคอีสาน

เขามาพบบอกว่า ท่านหัวหน้าคณะปฏิวัติจะปล่อยให้มีการเลือกตั้งในเร็ว ๆ นี้ เพื่อให้เป็นประชาธิปไตยเสียที จะเลิกกุมอำนาจแต่ผู้เดียวแล้ว ตัวเขาเองและพรรคพวกเก่าก็จะเดินเรื่องนี้ โดยใช้การเคลื่อนไหวทางการเมือง ค่อย ๆไป เมื่อถึงเวลาจะได้มีรากฐานการเมืองแน่นอย่างเคย เขาอยากได้เงินสักสิบล้านเพื่องานนี้ เพราะจะต้องใช้จ่ายมากในระยะยาว

ผมถูกเรียกให้ไปพบอีก และได้ฟังเรื่องราวที่เขาพูด ผู้แทนคนนั้นผมก็รู้จักดี เคยพบกันบ่อยที่วังปารุสกวัน ผมเคยจ่ายเงินให้เขาอยู่สมัยนั้น

ผมก็ให้เขามาใหม่วันรุ่งขึ้น ขอคิดก่อน เงินมันมาก แล้วก็ติงท่านอีก เรื่องอะไรจะไปเสียเงินตั้งสิบล้าน ถ้าจะเอาจริง ๆ ผมจะเข้าไปเอง ผมยังมีพรรคพวกที่เป็นผู้แทนชั้นดีอีกหลายคน ที่พอจะพูดกันได้ ที่เป็นเพื่อนชอบ ๆ กันก็มีแยะ ทำไมจะให้ผู้แทนเป็นใครก็ไม่รู้จักมาหลอกเอาเงินไปง่าย ๆ จะเสียเงินเปล่าเอา แล้วยังแถมให้เขาไปคุยกันว่า เราหลอกได้ง่าย

ถ้าคิดจะกลับไปเล่นการเมืองจริง ๆ ก็ใช้ผมดีกว่า ผมจะเข้าไปเอง

“ กูไม่ให้มึงไป ” เป็นคำตอบที่สวนมาทันที

เรื่องก็จบลงแค่นั้น

รุ่งเช้า นายผู้แทนคนนั้นก็มาตามนัด ใกล้เวลาอาหารกลางวัน ผมก็ชวนให้ท่านพาเขาไปกินอาหารจีนในเมือง ผมมีแผนของผมที่จะเล่นกับนายผู้แทนคนนี้ให้สนุก

ผมได้สังเกตมาหลายวันแล้วที่หน้าตึก ทุกเช้าจะมีชายคนหนึ่ง ขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดที่หน้าตึก แล้วคนขี่ก็ลงจากรถ มายืนอยู่ข้าง ๆ รถ แหงนหน้าขึ้นมองบนตึก แล้วยืนอยู่อย่างนั้น สักครู่ก็จะขี่รถไป แล้วย้อนมาจอดที่เก่าอีก พอไม่มีอะไรเคลื่อนไหว ก็จะกลับไปตอนค่ำ ๆ เมื่อคนขับรถเอารถเก็บแล้ว
ผมลืมเขียนไปว่า ท่านทูตได้ส่งรถของท่านมาให้เจ้านายใช้คันหนึ่ง เป็นรถเบนซ์ มีคนขับให้ด้วย ตอนที่มาอยู่ที่ตึกนี้แล้วไม่กี่วัน คนขับเป็นคนสวิส ฯ ต่อมา เจ้านายก็เลยขอซื้อรถคันนั้นเสียเลย ท่านทูตก็ให้คนขับมาอยู่ด้วย หมดหน้าที่ทางสถานทูตไป มากินเงินเดือนทางเรา
คนขับรถคนนี้เป็นยอดคนขับจริง ๆ เท่าที่ผมสังเกต เมื่อได้นั่งรถที่เขาขับบ่อย ๆ ก็รู้ฝีมือทันทีว่า เป็นโชเฟอร์ชั้นเยี่ยม รู้จังหวะรถดีมาก
วันนั้น คนขี่มอเตอร์ไซค์คนเดิมก็มาจอดรถของเขาที่หน้าตึกอีก ผมชะโงกหน้าต่างดู ก็เห็นเขายืนเตร่อยู่ใกล้ ๆ มอเตอร์ไซค์ นาน ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมองมาบนตึกเสียที ผมรู้ของผมคนเดียว ไม่ได้บอกใครให้ตื่นตกใจ ผมรู้ว่านั่นเป็นตำรวจแน่ ๆ และที่เขามาจอดรถเตร่อยู่ทุกวัน ก็เพื่อมาเฝ้าดูเรา ให้เรารู้
เรื่องอย่างนี้ก็ต้องตำรวจที่เคยทำงานแบบนี้มาก่อน จึงจะสังเกตออก เขามาเฝ้าในลักษณะที่ให้เรารู้ จะเพื่ออะไรก็ยังไม่ทราบแน่ ถ้าเขาจะมาเฝ้าด้วยความจริงจัง ก็ต้องเงียบกว่านี้ ตำรวจสวิส ฯ คงไม่โง่ที่จะทำอะไรให้ฝ่ายที่เขาต้องการเฝ้าพฤติกรรมจริง ๆ รู้ตัว
ผมสั่งให้คนขับรถเอารถมาจอดรอที่หน้าตึก ก่อนที่เราจะลงไป เมื่อเราลงไปกันแล้ว รถของท่านก็มาจอดรอแล้วที่หน้าตึก พอรถเราเคลื่อนที่ มอเตอร์ไซค์คันนั้นก็ตามรถเราไป เขาขี่ชะลอช้า ๆ ตามเราไปในระยะห่างๆ พอเห็นกัน ระยะห่าง ประมาณสิบเมตร ผมมองดูเป็นพัก ๆ ก็เห็นเขาขี่รถในลักษณะนั้น ไม่เร่งร้อนที่จะขึ้นหน้าไป ถึงแม้ว่าจะมีโอกาส
รถเราจอดที่หน้าร้านอาหารจีนในเมืองแห่งหนึ่ง เขาก็จอดรถอยู่ห่าง ๆ ท่าทางของเขาดูออกทันทีว่าเป็นตำรวจ คนรู้จักตำรวจจึงจะดูออก เราเดินเข้าร้านอาหาร เขาก็เดินอยู่แถว ๆ นั้น ผมไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง ในระหว่างอาหาร เดี๋ยวอาหารจะไม่อร่อย
เสร็จจากอาหาร เราออกมาขึ้นรถ เขาก็เดินอยู่แถวนั้น เกร่ไปเกร่มา พอเราขึ้นรถเรียบร้อย รถออก เขาก็ขึ้นมอเตอร์ไซค์ของเจาตามมาห่าง ๆ เว้นระยะเดิม ขี่เอ้อระเหยเรื่อย ๆ มายังงั้น
“ เฮ้ย ” ท่านร้องออกมาเบา ๆ “ ไอ้มอเตอร์ไซค์คันนั้น มันตามเรามาทำไมวะ ” พลางชี้ไปในกระจกมองหลัง “ กูเห็นมันขี่ตามมาตั้งแต่ออกจากบ้านแล้ว นี่มันก็ตามมาอีก ตั้งแต่เราออกจากร้าน ”
“ เขาตามมาหลายวันแล้วครับ ” ผมตอบ “ มาจอดรถอยู่หน้าตึกสอง-สามวันแล้ว ”
“ อ้าว ทำไมมึงไม่บอกกู ”
“ บอก เดี๋ยวก็ตื่นเต้นเปล่า ๆ” ผมพูด “ เขาตามดูว่า มีใครมาพบเราบ้างเท่านั้น ”
ผู้แทนคนนั้นหันไปมองข้างหลังบ้าง หันมาพูดด้วยเสียงสั่น ๆ
“ เขามาดูทำไมครับ ตามดูทำไม ”
“ เขาก็คอยดูว่า จะมีใครมาติดต่อเราบ้าง ” ผมหันไปตอบเขา “ สวิส ฯ นี่ เขาไม่ยอมให้ใครมาเล่นการเมืองในประเทศของเขา เขาก็ต้องคอยเฝ้าดูว่า จะมีใครมาพบ ติดต่อกับเรา ถ้ายิ่งเป็นนักการเมือง เขายิ่งเฝ้าดูให้รู้แน่ว่าเป็นใคร ”
“ รู้ไปทำไมครับ ” นายผู้แทนคนนั้นยังซักต่อด้วยเสียงตื่นเต้น
“ อ้าว – ถ้าเขาสืบได้ว่า เป็นนักการเมืองหรือสมาชิกสภา เขาก็แจ้งไปให้รัฐบาลไทยรู้ว่า เป็นใคร ชื่ออะไร ที่มาพบเรา ”
“ เขาจะรู้ได้ยังไงว่า ชื่ออะไร ”
“ เขาตามไปดูที่โรงแรมที่พัก เดี๋ยวก็รู้ว่าเป็นใคร ชื่ออะไร มาจากไหน ง่ายจะตายไป ”
เสียงเขาเงียบไป สักครู่ เขาก็พูดออกมาว่า
“ ท่านครับ ปล่อยผมลงตรงนี้ก็ได้ครับ ผมจะเดินซื้อของสักหน่อย ”
พอรถหยุดข้างถนน เขาก็เปิดประตูก้าวลงไป เดินอ้าว ไม่เหลียวหลังมามองอีกเลย
“ เฮ้ย จริงหรือวะ ” เจ้านายหันมาถามผม “ มันมาดูเราหลายวันแล้ว ตั้งแต่ไอ้ ... นี่มันมาหากู จริง ๆหรือวะ แล้วมันจะรายงานไปเมืองไทยจริง ๆ หรือวะ ”
“ เขาไม่ยุ่งถึงยังงั้นหรอกครับ ” ผมตอบ “ เขามาเฝ้าเรา ให้เรารู้ว่า เขาเฝ้า ไม่ยังงั้น เขาไม่ขี่รถตามให้เรารู้หรอกครับ และไอ้ที่เขามาจอดรถหน้าตึกทุกเช้า ก็จอดให้เราเห็น เรารู้ แบบนี้เขามาดี ไม่ต้องการให้ใครมารบกวนเรา ใครไป ใครมา เขาไม่เอาใจใส่หรอกครับ เขาเพียงแต่จะบอกเราว่า เขามาอารักขาเราเท่านั้น ”
“ แล้วมึงไปขู่ ไอ้ ... มันทำไมวะ ”
“ ผมรำคาญ มาชวนให้เสียเงิน พอบอกตำรวจมาเฝ้า ก็หางจุกตูด เห็นไหมครับ ไอ้แบบนี้จะไว้ใจได้ยังไง ให้เงินไปก็สูญเปล่า ”
ที่ผม ... ไว้นั้น เป็นชื่อของผู้แทนคนนั้น ผมไม่เขียนชื่อจริงลงไป กลัวเขาจะอาย ถ้าได้มาอ่านหนังสือเรื่องนี้เข้า ตอนนั้นเขายังอยู่ในสภา อายุเขาเพิ่งจะสามสิบกว่า ๆ
วันรุ่งขึ้น ผมแอบโทรศัพท์ไปที่โรงแรมที่เขาพัก ถามหาคนชื่อนี้ ทางโรงแรมบอกว่า เขาเช็คเอ๊าต์ออกไปตั้งแต่เมื่อวานนี้ คงตาลีตาเหลือกกลับไปแล้ว
พวกที่แวะมาเยี่ยมก็มีหลาย ๆ พวกแบบนี้ มาดีก็มี มาร้ายก็มี มาหลอกก็มี มีหลายแบบ พวกมาแสวงหาเงินชนิดแบมือขอเอาดื้อ ๆ ก็มาก เห็นว่ากำลังอับชะตา อาจหลอกเอาง่าย ๆ ก็ได้
ในช่วงระยะหนึ่ง ท่านจอมพล สฤษดิ์ ฯ เดินทางไปรักษาตัวที่อังกฤษด้วยโรคประจำตัว และมอบให้จอมพล ถนอม กิตติขจร รักษาการแทนอยู่พักหนึ่ง เจ้านายก็ยังคิดจะบินไปพบเขาที่อังกฤษ ผมต้องทัดทานไว้ ไม่ให้ไป อยู่เฉย ๆ จะดีกว่า เรื่องอะไรจะถ่อไปหาเขาให้เสียเหลี่ยม ไหนก็มาถึงขั้นนี้แล้ว จะไปหาเขาเพื่อต้องการอะไร มีแต่เสียถ้าเป็นข่าวออกไป ข่าวที่ออกมามันก็คงไม่เป็นข่าวที่น่ายินดีนัก เราเดินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว จะเอาศักดิ์ศรีไปให้เขาเหยียบย่ำทำไม

ผมถูกด่าอีกว่า คอยขัดคอเสียเรื่อย แต่ท่านก็รับฟัง ไม่ได้คิดจะไปอีก ยังไง ๆ ก็ต้องด่าเอาไว้ก่อน มันเคยปาก

จอมพล สฤษดิ์ ฯ อยู่อังกฤษไม่กี่วัน ก็รีบเดินทางกลับ เมื่อได้ข่าวไม่ดีทางเมืองไทย ก็อยู่ ๆ ลุกขึ้นมาทำการปฏิวัติ แล้วกลับมอบอำนาจให้คนอื่นรักษาการ ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานยังงั้น เคราะห์ดีที่รีบกลับทันการ ถ้ากลับตัวไม่ทัน ก็มีหวังไม่ได้กลับเหมือนกัน การเมืองมันก็ต้องเป็นไปรูปนั้น ขี่หลังเสือแล้ว จะลงมาอย่างไม่มีท่ามีทาง มันก็ไม่ใช่นักเลง

ท่านจอมพล สฤษดิ์ ฯ เดินทางกลับทั้ง ๆ ที่การรักษายังไม่เสร็จสมบูรณ์ โรคภัยยังไม่หายขาด มันจึงเป็นเรื่องที่คุกคามร่างกายอยู่ แต่ห่วงทางการเมืองมันหนักกว่า ก็ต้องยอมให้หมอไทยมาดูแลใกล้ ๆ บ้าน ในบ้านดีกว่า

ส่วนท่านอธิบดีเผ่า ฯ นั้น โรคภัยไข้เจ็บทุเลาลงมากแล้ว ด้วยการดูแลรักษาของหมอชั้นเยี่ยม ที่ชำนาญเรื่องโรคหัวใจโดยเฉพาะ จนเดินเหินออกกำลังได้เกือบเหมือนปกติ แต่ก็ยังต้องไปให้หมอ โอเดียร์ ตรวจเช็คอยู่เป็นครั้งคราว ตามหมอสั่ง ผมคอยดูแลติดต่อให้เป็นระยะ ๆ




 

Create Date : 18 เมษายน 2553
4 comments
Last Update : 18 เมษายน 2553 22:07:59 น.
Counter : 1551 Pageviews.

 

..อ่านรวดเดียว 3 ตอน...ขอคอมเม้นต์ทีเดียวเลย (ตามเคย)...

นี่คงเป็นช่วงที่คุณไปอยู่ที่นั่นด้วยแล้วสินะ..

..สนุกมากๆ..จะรออ่านเรื่อยๆ...

ขอบคุณมาก...

 

โดย: ก้นกะลา 19 เมษายน 2553 2:56:49 น.  

 

เเหม อ่านสามตอนที่เเล้วเครียดเลยหละนอนไม่หลับเลยin กับบทหรือเปล่าก็ไม่รู้เเต่มาอ่านสามตอนนี้หาเครียดเเล้วหละคุณคงไปเรียนหนังสือที่นั้นหละซิเดี่ยวนี้ก็หกสิบกว่าหละมั้ง(ขอโทษที่พูดเรื่องอายุครับเเต่เป็นการเดาครับผมเคยอ่านประวัติของลุงพุฒ)ครอบครัวของท่านคงสบายดีผมชักอยากจะเห็นท่านตอนเเก่ท่านคงจะใจดีมากผมอ่านเเล้วผมสงสารลุงพุฒของผมจริงๆๆๆเอาหละครับผมติดตามทุกวันตื่นเช้ามาจิบกาเเฟเเล้วเข้ามาอ่านสนุกครับที่ได้อ่านบทความดีๆๆๆที่เป็นความจริงในสมัยที่ผมยังไม่เกิดผมชอบจริงๆเเตกต่างกับบทความสมัยนี้เน้นธุรกิจเกินไปผมเคยอ่านบทความที่คนอื่นเขียนถึงอธิบดีเผ่าเเตกต่างกับของลุงพุฒเยอะหาว่าท่านอธิบดีเอาอัศวินไปนอกสามคนมีพ.ต.อ. อรรณพ ด้วยทำให้ผมเชื่อผิดๆเลยครับเเค่นี่ก่อนขอมคุณมากครับ

 

โดย: ศรชัย IP: 112.142.112.203 19 เมษายน 2553 7:13:28 น.  

 

สารภาพบาปครับ วันนี้ผมอู้งานมาอ่าน ตั้งแต่ตอนที่ 74 ละ


คุณพุฒนี่แก้เผ็ดคนเก่งจริงๆ

 

โดย: บักบุญเถิง IP: 180.8.5.227, 203.146.217.35 19 เมษายน 2553 12:52:32 น.  

 

เพื่อน ๆ ร่วม Bloggang ทุกท่านคะ
ตอนไปอยู่กับคุณพ่อที่นั่นก็ประมาณ สิงหาคม ปี 2501 ตอนนั้นจบแค่ ม. 1 สมัยนี้ก็คือ ป. 6 (เลยรู้เลยว่าปัจจุบันกี่ขวบแล้วนิ !)
ภาษาไทยก็จบแค่นั้นเอง ไปเรียนต่อเอาที่โน่น เริ่ม ม. 1 ใหม่ โดนลดชั้นเพราะภาษาฝรั่งเศษยังอ่อนมาก ขนาดตอบสอบวิชาเลข ครูยังต่อมาแปลฝรั่งเศษเป็นฝรั่งเศษให้เลย ไม่งั้นไม่รู้เรื่อง แต่โรงเรียนเขาเมตตามาก ขนาดสอบได้แค่ 3/10 ยังยอมให้ขึ้นชั้น เพราะได้คะแนนขยัน
ปีต่อมาก็แซงฝรั่ง ไม่กลัวแล้ว เพราะเราเข้าใจภาษาเขาดีมากแล้ว

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงล้วน ๆ ที่คุณ ๆ ได้อ่านทีอื่นนะ เขาไม่รู้ความจริง บางทียังคันมือ คิดจะเขียนต่อเติมของคุณพ่อด้วยซ้ำ แต่กลัวคุณพ่อมาเข็กหัวเอา เอาไว้ว่าง ๆ อาจได้อ่านภาคพิสดาร (รุ่นลูก) มั่ง

ยิ่งตอนที่หนังสือพิมพ์ไปเยือน ยิ่งมีเรื่องสนุก ฮาแยะ


 

โดย: ธารน้อย 20 เมษายน 2553 19:35:10 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ธารน้อย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ธารน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.