จงให้ความสำคัญต่อสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าสิ่งที่ถูกใจ
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2553
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
9 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 
เงื่อนไขการปฎิวัติ (ตอนที่ 19)

โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ

ตอนที่ 19

ผมไม่ได้ตามขึ้นไปที่บนกรมโฆษณาการ ผมแยกไปหากำลังของผมที่บุญสมคุมมาว่าอยู่ที่ไหน ผมพบแต่รถถังสองคันจอดอยู่ที่เชิงสะพานเสี้ยว มีกำลังทหารหลายหมวดอยู่ที่นั่น กำลังวางแผนที่จะเข้าตีวังหลวง แต่ยังไม่รู้ว่าฝ่ายกบฏมีอาวุธหนักอะไรบ้าง จะต้องหาข่าวเสียก่อน เพื่อที่จะไม่ให้เกิดความเสียหายกับอะไร ๆ ที่อยู่ในวังหลวง

เจ้านายผมอยู่กับพันเอก สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นผู้บังคับการกรมทหารราบ ๑๑ ที่นั่น พอเห็นผมก็หันมาสั่งทันที

“ เฮ้ย ไอ้พุฒ มึงลองด้อม ๆ ไปหาข่าวทีวะ ข้างในมันมีอาวุธหนักอะไรมั่ง ”

ทำไปต้องใช้ผมก็ไม่รู้ ยังกับผมเป็นเจ้ากรมสรรพาวุธยังงั้น

ผมก็ต้องไปทั้ง ๆ ที่ยังมองไม่เห็นว่าจะทำยังไงถึงจะได้ข่าวอันนี้ พันศักดิ์อยู่ที่นั่นด้วย ผมไม่ทันเห็นมัน พอท่านสั่งมันก็ก้าวออกมาหาผม

“ มาวะ ไปด้วยกัน ” มันดึงแขนผมออกเดินไปข้างหน้า

ผมเดินเคียงข้างมันไป เดินดุ่ม ๆ ไปทางถนนราชดำเนินสายใหญ่นั่นแหละ ก้าวอาด ๆ ไปเรื่อย ๆ จุดที่หมายคือบริเวณป้อมตรงหัวมุมถนนข้างกระทรวงกลาโหม ตัดกับถนนที่จะไปทางท่าช้าง

ตรงนั้นเป็นมุมกำแพงวังหลวง มีป้อมอยู่บนเนินเทินกำแพง ผมกับพันศักดิ์เดินไปเรื่อย ๆ ไปทางนั้น ก้าวเรื่อยเข้าไปจนถึงหัวมุมถนน แหงนมองไปบนเชิงเทิน บนนั้นไม่มีอะไรผิดสังเกต สงบเงียบ ไม่มีสิ่งบอกเหตุว่าจะมีอะไรอยู่ที่นั่น ยืนพินิจพิจารณาอยู่ครู่ใหญ่ ก็เดินกลับมาหาพรรคพวกที่ยังชุมนุมกันอยู่ที่รถถังจุดเดิม

ผมมารู้ทีหลัง เมื่อเหตุการณ์ผ่านมาแล้วหลายปี โดยได้พบกับพรรคพวกที่เคยทำงานเสรีไทยด้วยกัน และเขาได้ร่วมอยู่ในคณะปฏิวัติที่เข้ายึดวังหลวงในวันนั้นว่า กลุ่มของเขาอยู่บนเชิงเทินในคืนวันนั้นแหละ มีปืนยิงรถถังด้วยกระบอกหนึ่ง กำลังประจำครบ เขาเห็นผมกับพันศักดิ์เดินอาด ๆ มาเหมือนกัน เขาจำได้ว่าเป็นใครเพราะรู้จักกันดี เขาเลยไม่ทำอะไร ถ้าเป็นคนอื่นก็โดนเล่นงานด้วยปืนยิงรถถังแหลกไปแล้ว

รอดตายมาอย่างไม่เข้าท่า

ผมกลับมาที่เดิม มารายงานนายว่า ไม่เห็นมีอะไรผิดสังเกต เขาก็เตรียมเคลื่อนขบวนเข้าตีทางด้านประตูสวัสดิโสภา ประตูที่อยู่ทางด้านกระทรวงกลาโหม

ตอนนั้น แสงไฟทางด้านประตูวิเศษไชยศรี สว่างไสว ผมหันไปมอง ก็เห็นรถคันเล็ก ๆ คันหนึ่งกำลังแล่นช้า ๆ เข้าไปที่หน้าประตู ประตูเปิดออก รถคันนั้นแล่นเข้าไป ประตูปิด ผมจำรถคันนั้นได้ เป็นรถเฟี๊ยตขนาดเล็กสีดำ เพราะผมเคยนั่ง

รถพี่เชื้อ ! ผมจำไม่ผิด แต่ผมไม่พูดกับใคร พี่เชื้อเอาเข้าแล้ว

ขบวนกำลังทั้งหมดก็เคลื่อนไปตามถนน พร้อมทั้งมีกำลังรถถังอีกหน่วย อ้อมไปทางถนนที่จะมุ่งไปทางประตูวิเศษไชยศรี เรียกว่าเข้าตีทั้งสองทางสายตรง ด้านหน้าและด้านข้าง เสียงขบวนรถเคลื่อนที่ดังสนั่นท้องถนน เมื่อขบวนไปถึงริมกำแพงวัง ก็ยังไม่มีเสียงยิงจากฝ่ายใด คงล้อมกันอยู่เงียบอย่างนั้น

ฝ่ายกบฏก็เงียบ คงจะไม่กล้ายิง เพราะกลัวจะเป็นการบอกที่หมาย ต่างฝ่ายต่างเงียบ

ฝ่ายรัฐบาลไม่กล้ายิงเพราะเกรงจะทำให้อะไรต่ออะไรในวังหลวงเสียหาย

ต่างฝ่ายต่างเงียบดูเชิงกัน เป็นการต่อสู้ที่แปลกประหลาด ไม่ยิงกันสักแปะ

กำลังฝ่ายรัฐบาลคงล้อมอยู่ทางด้านตรงประตูวิเศษไชยศรี และทางด้านหน้ากระทรวงกลาโหม ส่วนทางด้านถนนข้างวังทางที่จะไปท่าเตียนและท่าช้างนั้น ไม่มีกำลังฝ่ายรัฐบาลอยู่เลย ทางนั้นเป็นที่ตั้งของกองเรือกลฝ่ายไหนก็ยังไม่รู้ แต่เป็นแดนของทหารเรือเขา ปล่อยให้อยู่เฉย ๆ

ผมถูกเรียกตัวไปสั่งการอีก คราวนี้ให้คุมกำลังส่วนหนึ่งไประวังรักษาปีกทางด้านปากครองตลาดจนถึงสะพานพุทธ ฯ เพราะเกรงว่าทหารเรือจะยกข้ามสะพานพุทธ ฯ มากระหนาบหลังได้

เขาให้กำลังผมไปยี่สิบคน เป็นตำรวจทั้งนั้น ให้ปืนกลเบาไปหนึ่งกระบอก รถบรรทุกหนึ่งคัน ตอนนั้นจะรุ่งเช้าอยู่แล้ว ผมก็ต้องไป นำกำลังขึ้นรถไปเข้าทางบ้านหม้อ ออกทะลุสู่ถนนที่ตัดผ่านเชิงสะพานพุทธ ฯ มาจากทางจักรวรรดิที่จะไปโรงพักพระราชวัง

นายเขาสั่งการผมสั้น ๆ ก่อนจะออกมาว่า

เอ็งไประวังทางด้านนั้น ป้องกันไม่ให้กำลังของใครทั้งนั้นเข้ามาข้างในได้ หมาในไม่ให้ออก หมานอกไม่ให้เข้า ” เขาสั่งยังงั้น

ผมนำกำลังมาถึงจุดหมาย ก็ให้ตำรวจของผมยึดแนวคันถนนปากคลองตลาดทางที่จะขึ้นสะพานพุทธ ฯ ตลอดแนว กำลังยี่สิบคนกับปืนกลเบากระบอกเดียว มันจะทำอะไรได้เท่าไหร่ก็ต้องทำ

ผมวางกำลังเสร็จ ฟ้าก็เริ่มสางพอดี ขณะที่ผมนอนหมอบอยู่ข้าง ๆ ปืนกลที่มีพลประจำ ผมก็ได้ยินเสียงกัง ๆ ดังมาจากทางด้านสะพานพุทธ ฯ

ผมหันไปดูก็เห็นทหารเรือกลุ่มหนึ่ง ประมาณหนึ่งหมวด ลากปืนขนาดใหญ่ดูคล้ายปืนรถถังมาด้วย พอมาถึงตรงหน้าฝั่งตรงข้ามถนนกับที่ผมยึดแนวอยู่ เขาก็หยุด สั่งขยายแถวเข้าที่กำบังตามแนวขอบถนนตรงหน้าผม แล้วก็ตั้งปืนกระบอกนั้นที่ตรงนั้น หันกระบอกมาทางแนวตำรวจของผม ทหารทั้งหมดเรียงรายกันยึดขอบฟุตปาธ นอนหมอบ พาดปืนมาที่แนวกำลังของผม

ผมสั่งตำรวจของผมให้อยู่เฉย ๆ ก่อน แต่เตรียมยิง เมื่อได้รับคำสั่งจากผม

ทั้งสองแนวนอนหมอบยันกันอยู่อย่างนั้น ไม่ทำอะไรกันจนผมชักรำคาญ จะเอายังไงก็ไม่เอา

ผมลุกขึ้นยืนเต็มตัว ที่เอวผมมีซองปืน ๑๑ มม. แขวนอยู่ ผมชูมือขึ้นระดับไหล่แสดงให่อีกฝ่ายเห็นว่าผมไม่ตั้งใจที่จะใช้อาวุธ แล้วผมก็เดินข้ามถนนช้า ๆ ในท่านั้น

นายทหารเรือยศชั้นเรือตรีคนหนึ่งผุดลุกขึ้นยืนเหมือนกัน เขาเดินเข้ามาหาผม มองดูดาวบนบ่าผมซึ่งมีอยู่สามดาว เขายกมือขึ้นตะเบ๊ะตัวตรง ผมรับความเคารพเขาแข็งขันเหมือนกัน แล้วเราก็เดินเข้าหากัน พบกันกลางถนนพอดี


“ คุณมายึดตรงนี้ทำไปครับ ” ผมถามเขา

“ ผมได้รับคำสั่งให้มาป้องกันทางด้านนี้ครับ ” เขาตอบ

“ คุณเป็นฝ่ายไหน ” ผมถาม

“ ผมเป็นฝ่ายรัฐบาลครับ ” เขาตอบ

“ ผมก็เป็นฝ่ายรัฐบาล ” ผมว่าไป “ ทำไมเราจะมายันกันเอง ”
เขาทำท่าอึกอักอยู่พักหนึ่ง ยกมือขึ้นตะเบ๊ะอีก

“ ถ้างั้น ผมจะย้ายไปทางโน้น ” เขาชี้มือไปทางโรงพักพระราชวัง แล้วหันเดินกลับไปทางแนวของเขา แล้วขบวนทั้งขบวนก็ลากปืน กัง ๆ ไปทางหัวมุมสะพานข้ามถนนตรงหน้าโรงพักพระราชวัง ตั้งปืนเล็งไปที่ตัวโรงพัก

ถึงตอนนั้น ผมชักไม่แน่ใจเสียแล้วที่เขาว่าเป็นฝ่ายรัฐบาล

รัฐบาลของเขาอาจจะเป็นคนละรัฐบาลกับของผมก็เป็นได้ เพราะตอนที่พวกปฏิวัติเข้ายึดกระทรวงโฆษณาการได้นั้น เขาก็ประกาศตัวเป็นรัฐบาลเหมือนกัน

ของผมเป็นรัฐบาลเก่า ของเขาอาจจะเป็นรัฐบาลใหม่ก็ได้

ผมเดินตามเขาไปอีก เขากำลังสั่งการวางปืนตั้งเล็งไปที่โรงพัก กำลังทั้งหมดเรียงรายอยู่ทางฝั่งเชิงสะพานนั้น บนโรงพักมีตำรวจเดินกันพลุกพล่าน ยังไม่รู้ว่ากำลังที่ลากปืนมานั้นจะทำอะไร ที่หน้าโรงพักนั้นผมเห็นตัวสารวัตร ร้อยตำรวจเอก ประสาธน์ สุวรรณสมบูรณ์ รุ่นพี่ผมสองรุ่น กำลังยืนปะปนอยู่กับตำรวจหลายสิบคน ไม่รู้ว่อะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับตัว

ผมเข้าไปหาเรือตรีผู้นั้น สะกิดเขาอีก ถามเขาว่า
“
คุณตั้งปืนเล็งยิงอะไร ”

“ โรงพักนั่นไงพี่ ” เขาชี้ไปทางโรงพัก

นั่นปะไร ผมนึกไม่ผิด ผมดึงมือไว้แล้วพูด

“ นั่นก็พวกเดียวกัน ”

“ ใช่หรือครับ พี่ ” ทีนี้เขาชักไม่แน่ใจ

“ ใช่ซีครับ ” ผมยืนยัน “ เดี๋ยวผมจะไปถามเขาเอ ง แล้วจะกลับมาบอก ”

“ เอาซีครับ พี่ ” เขายอม

“ คุณให้คนของคุณเอาไหล่ออกจากพานท้ายปืนเสียก่อน ” ผมชี้ไปที่พลยิงของเขาที่กำลังประทับไหล่เข้ากับพานท้ายปืนกระบอกใหญ่นั่น

เขาหันไปสั่งพลยิงให้ถอยออกไปห่างจากพายท้าย ผมเดินเข้าไปที่ตัวปืน ตบเอาแม็กกาซีนกระสุนที่เสียบอยู่กับช่องลูกเลื่อนออก ถือติดมือเดินข้ามฟากถนนไปยังโรงพัก ผมไม่แน่ใจว่าตอนที่ผมเดินข้ามถนนไป ถ้าเกิดพลยิงมันมือขึ้นมา ผมก็จะแหลกไปด้วย

ผมเดินถือแหนบกระสุนปืนอันใหญ่ขึ้นไปบนโรงพัก พี่สาธน์ เดินเข้ามาหาผมทันที

“ ทหารเรือเขามาวางกำลังที่ตรงนั้นทำไม ” พี่สาธน์ถาม ชี้มือไปทางเบื้องหลังผม

“ พี่สาธน์ รีบ ๆ พาตำรวจเข้าไปหลังโรงพักเสียเหอะ ” ผมดึงมือพี่สาธน์เข้าไป “ เดี๋ยวได้พังทั้งคน ทั้งโรงพัก ”

พี่สาธน์เหลือบมองแหนบกระสุนปืนที่ผมถือติดมือมาอย่างงง ๆ

“ เข้าไปข้างในซี พี่ ” ผมรุนเขาอีก “ หลบเข้าไปให้หมด ”

คราวนี้เขารีบงุด ๆ ไปทางหลังโรงพัก สั่งตำรวจทั้งหมดตามไปด้วย

ผมกลับหลังเดินมาทางตั้งปืนอีก พอมาถึง ผมก็ส่งแม็กกาซีนนั้นให้เรือตรีคนนั้น

“ พวกเดียวกันครับ ” ผมว่า “ ผมให้เขาไปรักษาการณ์ทางด้านหลังโรงพักแล้ว ทางนี้ไม่มีอะไรแล้ว คุณปล่อยไว้ให้ผมก็แล้วกัน ผมว่า คุณไปรักษาแนวทางด้านสะพานพุทธ ฯ ดีกว่า ”

เขายกมือตะเบ๊ะผมอีก แล้วก็หันกลับไปสั่งคนของเขา ขนปืนกระบอกน้นแบกวิ่งไปเป็นแถว ไปทางสะพานพุทธ ฯ ผมเห็นเขาไปนอนหมอบเป็นแถวอยู่ที่ทางขึ้นลงสะพาน หันกระบอกปืนไปทางถนนตรีเพชรทั้งแถว

ว่าง่ายจัง

นี่แหละ ความกระจอกของทั้งทางฝ่ายกบฏและฝ่ายรัฐบาล ต่างไม่รู้อะไรเป็นอะไร ใครสติดีกว่าก็กินไป

ผมหมอบรักษาการณ์ตามคำสั่งที่ได้รับอยู่ที่ตรงนั้น หมาในไม่ให้ออก หมานอกไม่ให้เข้าได้ตามคำสั่งแล้ว เหตุการณ์จุดนั้นก็สงบเงียบ ผมอยู่ที่ตรงนั้นจนสาย

ประตูร้านรวงแถวนั้นค่อย ๆ เปิดออกมาทำมาค้าขายกันเป็นปกติ ชาวบ้านแถวนั้นไม่รู้อะไรเกิดขึ้นข้างใน ต่างออกมามองดูแถวขยายหมอบของผมอย่างไม่เข้าใจ เขาคงนึกว่าพวกผมมาซ้อมรบอยู่แถวนี้ เขาไม่เอาใจใส่ จัดร้านรวงของเขาตามปกติ

ผมหมอบอยู่ครู่ใหญ่ ๆ จนตะวันส่องฟ้า ก็มีรถจี๊ปเล็กคันหนึ่งแล่นมาจากทางข้างในด้านวังหลวง ในรถนั้นมีตำรวจในเครื่องแบบนั่งมาเต็มคัน และมีเสียงประกาศออกไปโครโฟนแถลงการณ์ถึงการที่ฝ่ายรัฐบาลได้ทำการปราบปรามพวกกบฏได้เรียบร้อยแล้ว โดยยึดวังหลวงได้ ขับไล่พวกกบฏถอยหนีออกไปหมด จับได้สองสามคน พร้อมอาวุธหลายกระบอก

แถลงการณ์ที่เขาเอาออกมาอ่านนั้นก็คือแถลงการณ์ที่ผมเขียนในตอนหัวค่ำอันนั้นเอง ผมจำได้ ผมฟังแล้วยังเลื่อมใส ไม่คิดว่าตัวเองจะเขียนออกมาได้ยังงั้น คุยมากไปหน่อย – ขอโทษ

อีกสักครู่ ก็มีรถบรรทุกคันหนึ่งมาจอด นายตำรวจบนรถลงมาบอกให้พวกผมถอนกำลังได้ แล้วเขาก็บรรทุกพวกผมกลับ

ขณะที่รถบรรทุกพวกผมแล่นผ่านแถวของเรือตรีผู้นั้นที่ยังนอนยึดแนวเชิงสะพานพุทธ ฯ อยู่นั้น เขามองดูรถบรรทุกพวกผมอย่าง
แปลก ๆ

เขาคงจะเพิ่งรู้ว่าไอ้ที่ว่าพวกเดียวกันนั้นมันคงไม่ใช่ รัฐบาลของเขากับของผมเห็นจะเป็นคนละรัฐบาลเสียแล้ว เพราะพวกเขาไม่มีใครมารับกลับ ผมไม่ได้หยุดดูว่าเขาจะอยู่ที่นั่นอีกนานเท่าไหร่

ผมมาทราบภายหลังว่า ฝ่ายกำลังรัฐบาลได้ใช้รถถังดันประตูวิเศษชัยศรีพังลง จนยกกำลังเข้าไปกวาดล้างในวังหลวงได้ ผมสอบถามว่ามีคนชื่อ ร้อยตำรวจเอก เชื้อ สุวรรณศร ถูกจับไหม ปรากฏว่าไม่มีชื่อพี่เชื้ออยู่ในรายนามผู้ถูกจับ แต่เมื่อผมเข้าไปในวังหลวง หลังจากที่รถรับกลับมาแล้ว ผมพบรถเฟี๊ยตเล็กของพี่เชื้อจอดอยู่ในนั้น ตัวพี่เชื้อคงจะหลบออกไปกับพรรคพวกทางประตูด้านข้าง ที่เปิดออกไปทางกองเรือกลได้ ทางด่านนั้นฝ่ายทหารบกไม่ได้ไปยุ่มย่าม คงจะเกรงใจทหารเรือ

เหตุการณ์สงบเรียบร้อยลงอีกครั้งหนึ่ง พวกที่ถูกจับก็ถูกสอบสวนตามระเบียบ ผมไม่ได้เป็นฝ่ายสอบสวน เพราะเป็นฝ่ายบู๊ มือสอบสวนฝ่ายบุ๋นมีมาก เขาตั้งกรรมการฝ่ายสอบสวนขึ้นมาอีกพวกหนึ่ง สอบไปก็ตามจับตัวไป ผมกลับไปติดตามเจ้านายต่อตามหน้าที่

เงื่อนไขของการปฏิวัติ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๒ ครั้งนั้น ไม่ปรากฏแจ้งชัด เพราะเมื่อคณะปฏิวัติเข้ายึดกระทรวงโฆษณาการได้นั้น ก็ประกาศแต่เพียงการยึดอำนาจได้บางส่วน ไม่ทราบด้วยซ้ำว่า ทางฝ่ายทหารหน่วยใดบ้างที่เข้าร่วมการคิดปฏิวัติครั้งนี้ เป็นที่เข้าใจกันว่า กำลังส่วนใหญ่เป็นกำลังของฝ่ายทหารเรือ

ข่าวมีมาภายหลังว่า กำลังนาวิกโยธินจากสัตหีบได้ยกมาทั้งกอง แต่มาติดอยู่ที่ท่าข้ามบางปะกง เพราะสมัยนั้น สะพานข้ามแม่น้ำบางปะกงยังไม่ได้สร้าง การไปมาระหว่างเมืองชล ฯ กับกรุงเทพ ฯ ด้วยรถยนต์ จะต้องมาหยุดที่ท่าข้ามที่บางปะกง แล้วใช้แพขนานยนต์บรรทุกข้ามฟากมาขึ้นทางฝั่งสมุทรปราการ

วา่กันว่า ในตอนเช้าวันนั้น ระดับน้ำแม่น้ำบางปะกงลดต่ำ ยังไม่ขึ้น แพขนานยนต์ใช้ไม่ได้ กำลังของนาวิกโยธินจึงต้องติดอยู่ที่ท่าข้ามตรงนั้น ยกเข้ากรุงไม่ได้ พอน้ำขึ้นแพขนานยนต์ใช้การได้ ทางกรุงก็แพ้เสียแล้ว กำลังส่วนนั้นจึงต้องยกกลับสัตหีบ

ในวันนั้น จากการสอบสวนได้ความว่า ท่านปรีดีก็เข้ามาบัญชาการด้วยในเครื่องแบบทหารเรือยศชั้นจ่า จะเป็นจ่าชั้นไหนก็ไม่ปรากฏชัด เท็จจริงอย่างไรผมยืนยันไม่ได้ เพราะไม่ใช่เป็นฝ่ายสอบสวน ฟังฝ่ายนั้นเขาเล่าให้ฟัง ไม่ได้ติดตามความจริง

ที่เอากับเขาจริง ๆ ก็พี่เชื้อของผมนั่นแหละ เพราะผมเห็นรถแล่นเข้าไปในวังหลวง ซ้ำพี่เชื้อยังทิ้งรถประจำตัวคันโปรดที่ผมเคยนั่งไว้ในวังหลวงเสียด้วย หนีไปแต่ตัว คนอื่นจะไม่มีสิทธิ์ได้ขับรถคันนี้นานอน พี่เชื้อหวงยังกับอะไรดี

เมื่อมีพี่เชื้อก็ไม่มีปัญหาอะไร ที่จะไม่ใช่ท่านปรีดีที่เป็นหัวหน้า

ขณะนั้น ฝ่ายรัฐบาลได้ตั้งกรรมการสอบกรณีสวรรคตอยู่ ผลการสอบสวนออกมาว่า คนของท่านปรีดีมีส่วนเกี่ยวข้องในกรณีนั้นด้วย มีหมายจับหลายคน

เงื่อนไขของการกลับเข้ามาทำการปฏิวัติครั้งนั้น จึงมีกรณีสวรรคตเกี่ยวข้องอยู่ด้วย เพื่อที่จะเข้ามาเคลียร์ชื่อเสียงของฝ่ายตนอยู่ด้วย แต่ไม่ทันได้ประกาศเงื่อนไขออกมา เพราะทำการไม่สำเร็จ ถูกปราบเสียก่อน จึงต้องเตลิดกลับออกไปนอกประเทศอีก ไม่ทันได้ประกาศเจตนารมณ์ของการปฏิวัติครั้งนั้น

เงื่อนไขอื่น ๆ ไม่ปรากฏ เพราะคณะรัฐบาลเพิ่งจะครองอำนาจได้เพียงปีกว่า ๆ จากเดือนพฤศจิกายน ๒๔๙๐ ถึงกุมภาพันธ์ ๒๔๙๒ ก็ได้หนึ่งปีกับสามเดือนกว่า ๆ เท่านั้น แต่ยังงั้นก็ยังเกิดการคิดปฏิวัติถึงสองครั้ง คือเมื่อ ๑ ตุลาคม ๒๔๙๑ ที่เรียกว่า กบฏเสนาธิการ ที่ได้เขียนมาแล้วนั้น คดียังคาอยู่ในศาล ก็เกิดคดีกบฏ ๒๖ กุมภา นี่ขึ้นมาอีก ฝ่ายสอบสวนก็ทำงานกันอานไป ฝ่ายบู๊สบายหน่อย ออกแต่กำลังเข้าปราบปราม แต่ก็อย่างว่า ถ้าพลาดก็ไม่ได้มานั่งเขียนอย่างนั้

ก็ตอนที่เดินเทิ่ง ๆ ไปสองคนกับพันศักดิ์ ตอนที่ถูกสั่งให้ไปสืบสวนว่า ฝ่ายกบฏมีอาวุธหนักหรือเปล่านั่น ยังไงถ้าไม่ใช่พวกเดียวกันที่เคยทำงานเสรีไทยมาด้วยกันเฝ้าปืนอยู่ตรงนั้น และถ้าเขาไม่นึกถึงความหลัง ก็คงเรียบร้อยไปเหมือนกัน ผมจำชื่อเขาได้แล้ว เขาชื่อ คุณดอน บุนนาค

เหตุการณ์สงบลงอีกวาระหนึ่ง เป็นระยะยาวนานพอดู ในระหว่างนั้น ไม่มีเหตุการณ์อะไรที่มาทำให้ต้องเหนื่อยกันอีกนาน แต่ก็สงบอยู่ได้เพียงสองปีกว่าเท่านั้น ก็ได้เหนื่อยอีก

ครับ นั่นคือการปฏิวัติเมื่อ ๒๙ มิถุนายน ๒๔๙๔ หรือที่เรียกกันว่า กบฏแมนฮัตตัน



Create Date : 09 พฤษภาคม 2553
Last Update : 9 พฤษภาคม 2553 22:16:09 น. 1 comments
Counter : 762 Pageviews.

 
..อ่าน 3 ตอนรวดเลย...

..จะรออ่านต่อไป...ขอบคุณมากๆ..


โดย: ก้นกะลา วันที่: 10 พฤษภาคม 2553 เวลา:1:28:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ธารน้อย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ธารน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.