จงให้ความสำคัญต่อสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าสิ่งที่ถูกใจ
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2553
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
24 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 
พริกขี้หนูเผ็ด (ตอนที่ 5)

โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ

ตอนที่ 5

บทที่ 3

คุณพี่กลับมาสำนักงานตอนบ่ายโมงครึ่งกว่า ๆ มาถึงก็สั่งงานอีกสอง-สามอย่างให้ผมทำ เป็นงานที่ต้องออกไปติดต่อข้างนอกทั้งนั้น ผมต้องเกาหัวแกรก นึกถึงค่าพาหนะที่ต้องจ่ายล่วงหน้าตามธรรมเนียมของสำนักงาน อย่างที่คุณพี่บอก ก็ไม่ค่อยจะเข้าใจธรรมเนียมอันนี้ของสำนักงานนี้นัก เงินก็หมดแล้ว เห็นจะต้องใช้กำลังขากันละทีนี้

พอคุณพี่เข้าไปในห้อง กัณหาก็วางลูกกุญแจรถไว้ที่มุมโต๊ะ แล้วมองผม

“ ผมเห็นจะต้องทนเดินเอาเสียแล้วทีนี้ ออกจะมากไปสักหน่อยที่ต้องใช้รถของคุณบ่อย ๆ ” ผมพูดยิ้ม ๆ มองดูหล่อน

ผมขยับจะเดินลงบันได หล่อนก็พูดว่า
“ ทั้งหมดที่คุณต้องทำนั่นน่ะ ถ้าเดินเอาก็คงจะเสร็จไม่ทันสี่โมงวันนี้แน่ อาจจะเสียงาน ”

ผมหยุดก้าว หันมามอง
“ ผมนึกว่า คุณสงสารว่าผมจะเดินเมื่อยเสียอีก ” ผมคว้าพวงกุญแจรถแล้วควงเล่น พูดว่า “ ขอบคุณอีกครั้ง ”

หล่อนมองดูผม คราวนี้ ผมแปลไม่ออกว่า สายตาของหล่อนพูดว่าอะไร

ผมกลับมาถึงสำนักงานบ่ายสามโมงเศษ ขนาดใช้รถยังต้องเสียเวลาถึงขนาดนั้น ถ้าได้เดินก็ยังคงงุ่มง่ามอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ผมส่งกุญแจให้กัณหา พร้อมกับกล่าวคำขอบใจ หล่อนไม่พูด ไม่มอง

พอผมเข้าไปในห้องเพื่อที่จะรายงานผลการติดต่อให้คุณพี่ทราบ เสียงห้าว ๆ ของอีตาผู้การคนนั้นก็ระเบิดออกมา
“ มาแล้วหรือ ไอ้ลูกกรอก ”

ผมไม่ได้ทันนึกว่าจะเจอแกเร็วยังงั้น เพราะก่อนที่จะเข้าห้องก็ไม่ได้ยินเสียงของแกอย่างเคย พร้อม ๆ กับเสียง ร่างของแกก็พุ่งปราดจากเก้าอี้ตรงมาหาผม มือข้างซ้ายของแกคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อผม รวบแน่น ผมรู้สึกเหมือนตัวถูกดึงลอยขึ้นจากพื้น

และก่อนที่ผมหรือคุณพี่หรือใครจะทันได้พูดอะไร กำปั้นของแกก็ยัดโครมเข้าที่ปากครึ่งจมูกครึ่ง ผมรู้สึกมึนตื้อเหมือนเดินไปชนเอากำแพงเข้า พอแกปล่อยมือ ขาก็หมดกำลัง หล่นฮวบลงไปกองอยู่บนพื้น
ผมได้ยินเสียงคุณพี่ร้องออกมาเหมือนเสียงดังมาแต่ไกล ๆ ว่า
“ อะไรกัน คุณพิทักษ์ ”

ผมค่อย ๆ โงเงลุกขึ้น ปาดเลือดที่ไหลริน ๆ ออกมาจากริมฝีปาก

“ ไอ้ลูกกรอกนี่ไปบอกให้คนรถของผมกลับกอง หน็อย.. ผู้การให้กลับไปได้ ไม่ต้องรอ ท่านจะกินข้าวที่นี่ ... มันไปหลอกไอ้เทียมของผมเสียเชื่อสนิท ”
เสียงผู้การแผดออกมาลั่นห้อง พร้อมกับชี้หน้าผม

“ ค่อย ๆ พูดกันก็ได้นี่นะ คุณพิทักษ์ ทำไมไปทำเด็กยังงั้น ” เสียงคุณพี่พูด

“ ค่อย ๆ พูดได้ยังไง มันทำเอาผมต้องเดินหาแท็กซี่ตั้งไกล ไอ้นี่ร้ายนัก ”

“ ทำไมคุณไม่บอกฉันเมื่อกี้ว่า มันเรื่องอะไร คนของฉัน ฉันจัดการเองได้ คุณถืออำนาจอะไรมาชกต่อยคนของฉันบนที่ทำงาน ”
คุณพี่เสียงแข็ง

“ คุณลินจงเห็นว่าทันดึกว่าผมยังงั้นหรือ ” เสียงผู้การชักจะอ่อนลง
“ ฉันไม่เห็นใครดีกว่าใครทั้งนั้น และคุณแน่ใจอย่างไรว่า พ่อดนัยเป็นคนทำ ”

“ ผมถามไอ้เทียมของผมแล้ว มันบอกรูปร่างลักษณะไม่ผิดไอ้ลูกกรอกนี่ จะมีใครเสียอีก มันโกรธที่ผมไปล้อมัน ”

“ ยังงั้นก็เถอะ ” เสียงคุณพี่พูดปนเสียงหัวเราะที่กลั้นไว้ไม่อยู่ “ เขาผิดยังไงก็ควรจะพูดกันให้รู้เรื่องเสียก่อน นี่ ชกต่อยเอาเฉย ๆ ถูกที่ไหน คุณก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ”

ผมควักผ้าเช็ดหน้า ออกมาเช็ดเลือด แล้วหันกลับจะเดินออกจากห้อง

“ จะไปไหนล่ะ พ่อดนัย ” คุณพี่พูดไล่หลังมา “ มาดูซิ เจ็บแค่ไหน ”

“ ผมจะไปให้หมอเขาดู ” ผมหันมาพูด

“ ถึงกับต้องไปหาหมอทีเดียวรึ ” คุณพี่พูด “ มาให้ฉันดูหน่อยซิ มันหนักหนาแค่ไหน ”

“ ผมจะไปให้หมอเขาลงความเห็นด้วยว่า บาดแผลรักษากี่วันหาย ”

“ อ้าว ! ทำไมล่ะ ” คุณพี่อุทาน

“ ถ้าไม่รู้ว่าบาดแผลรักษากี่วันหาย ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นบาดแผลสาหัสหรือเปล่า ”

“ เฮ้ย ! นั่นมันฟ้องกันนี่หว่า ” เสียงผู้การร้องออกมา

ผมหันไปมองหน้าเขาและพูดว่า
“ แล้วผู้การคิดว่า ผมจะทำอะไรไม่ทราบ ”

“ ถึงกับจะฟ้องร้องกับทีเดียวหรือ ” คุณพี่พูด

“ ผมจะฟ้องให้เป็นตัวอย่าง ตำรวจรังแกราษฎร มีที่ไหน ”

“ แล้วราษฎรรังแกตำรวจได้ยังงั้นหรือ ไอ้หนูหริ่ง ” ผู้การพูด
“ หัวหมอเสียด้วยมัน ”

“ เขาเป็นธรรมศาสตร์บัณฑิต ” คุณพี่พูดเป็นเชิงเตือนผู้การ
“ เคยเป็นทนายความมาแล้วด้วย ”

ผู้การมองคุณพี่อย่างไม่เชื่อหู

ผมหันไปมองหน้าผู้การ สายตาของเขาบอกถึงแววกังวล ผมหันไปพูดกับคุณพี่
“ ผมจะต้องเอาคุณพี่เป็นพยานด้วย ”
แล้วผมก็ก้าวออกเดิน

“ เดี๋ยวก่อน พ่อดนัย ค่อยพูดค่อยจากันก่อนก็ได้ อย่าหุนหันไปเลยน่ะ ” คุณพี่เข้ามาฉุดแขนผม

“ คนที่หุนหัน ไม่ใช่ผม ” ผมหยุด หันไปพูด
“ นั่น อยู่นั่น ” ผมชี้ไปที่ผู้การ

“ คุณพิทักษ์ก้อ ขอโทษเด็กเสียหน่อยก็แล้วกัน ”
คุณพี่พยายามจะไกล่เกลี่ย

“ เอาวะ อั๊วขอโทษ ” ผู้การพูดออกมา เสียงห้วน ๆ

“ ผมไม่ใช่คนที่ใครจะต่อยเอาได้เปล่า ๆ แล้วหาทางออกไปได้ด้วยการขอโทษ ” ผมพูด จ้องหน้าเขา

“ ลื๊อจะเอายังไงกับอั๊ววะ ” ผู้การพูด เท้าเอว

“ ฟ้อง ” ผมพูดสั้น ๆ ทำท่าจะก้าวเดินไปอีก

“ ขอให้พี่เสียเถอะน่ะ ” คุณพี่เข้ามายึดแขนผมไว้อีก

“ ผมเจ็บ คุณพี่ ” ผมพูดกับคุณพี่ “ แล้วผมก็ไม่เคยถูกใครต่อยฟรี ๆ ”

คุณพี่ยึดแขนผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดว่า
“ ออกไปคอยพี่ข้างนอกสักครู่หนึ่งก่อน อย่าเพิ่งไปไหนนะ พ่อดนัย พี่จะจัดการให้เอง ”

ผมออกไปข้างนอก นั่งคอยบนเก้าอี้

กัณหามองบาดแผลที่ริมฝีปากของผม สายตาของหล่อนบอกถึงความสงสาร หล่อนพูดเบา ๆ ว่า
“ ฉันบอกคุณแล้วยังไง ทีนี้คุณรู้แล้วละซีว่า แกยังไง ขนาดไหน ”

ผมไม่พูด

ครู่ใหญ่ ๆ เสียงคุณพี่ก็เรียกผมดีงออกมาจากข้างใน

ผมลุกขึ้นเดิน ผลักบังตาเข้าไป

คุณพี่เข้ามาจับแขนผม แล้วพูดเสียงนุ่มนวลว่า
“ ผู้การเขาจะให้ค่าทำขวัญร้อยบาท ไม่เจ็บเปล่าหรอก พ่อดนัย ”

ผมหันไปมองผู้การ ที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ข้าง ๆ โต๊ะ แล้วหันมามองคุณพี่ ดึงแขนออกจากการเกาะกุมของคุณพี่ แล้วก็หันกลับออกเดินจะออกไปนอกห้อง

“ สองร้อย เอา ” เสียงผู้การพูดไล่หลังมา

ผมไม่หันไปมอง เดินเรื่อยออกมาเหมือนไม่ได้ยิน มือผลักบังตา

“ สามร้อย ” เสียงผู้การเลื่อนเก้าอี้ก่อนพูด

ผมก้าวออกมาพ้นนอกห้อง

“ สี่ ” เขาเข้ามายึดแขน ก่อนที่ผมจะเดินไปถึงบันได

ผมแหงนขึ้นมองหน้าเขา ไม่พูด ดึงแขนออก จะเดินต่อไปที่บันได

“ ลื้อจะเอาเท่าไหร่วะ พูดกันให้มันชัด ๆ ลงไปถี ” เขาพูด ยังไม่ยอมปล่อยแขนผม

ผมหยุด มองหน้า พูดว่า “ พันนึง ”

มือที่ยึดแขนผมอยู่หลุดตกไปข้างตัว เขามองผม นัยน์ตาค้าง

“ นี่มันขู่เข็ญกันนี่หว่า ” เขาพูดออกมา

“ ไม่ใช่ขู่เข็ญ นี่เป็นค่าทำขวัญที่ถูกที่สุดแล้ว ”
ผมพูด ยกมือป้ายเลือดที่ปาก

“ จะไปฟ้องที่ไหนก็ไปเถอะวะ” เขาพูด เสียงมีโมโห
“ ไม่มีให้โว้ย ”

“ อย่าลืมว่า ตำแหน่งของผู้การมีราคามากกว่าพันบาท เรื่องนี้ถึงกับถูกออกเคยมีมาแล้ว กรมตำรวจสมัยนี้เอาจริงนัก เรื่องตำรวจรังแกราษฎรนี่ และผมรู้จักวิธีทำให้คนออกจากราชการได้ ” ผมพูด
“ เมื่อผมฟ้องลงไปแล้ว จะมาขอเลิกความไม่ได้ ผมไม่มีหยุดอยู่แค่นั้น หากผมเดินลงบันไดนี่ไปแล้ว ค่าทำขวัญมันจะแพงขึ้นอีกกว่าพันบาท ถ้าจะให้ผมยอม ”

ผมเดินไปจวนถึงบันได จะก้าวลง เสียงผู้การก็ตะโกนขึ้นข้างหลังว่า

“ เดี๋ยว ไอ้หนู ”

“ ผมชื่อ ดนัย ” ผมหันมาพูด

“ เออ ดนัย หยุดก่อน เอาละ คราวนี้เป็นทีของลื้อ อั๊วยอม ” เขาพูด “ แต่อั๊วมีเงินติดตัวอยู่ไม่ถึงพันบาท ” เขาล้วงกระเป๋าธนบัตรออกมา ดึงเอาธนบัตรที่บรรจุอยู่ในนั้นออกมายับ มันมีอยู่ห้าใบ เป็นใบละร้อย “ อั๊วมีอยู่เท่านี้เอง ”

“ ทำใบกู้ให้ผม ไอ้ที่เหลืออีกห้าร้อย ” ผมพูด

“ ไม่มีลดราวาศอกเลยทีเดียวนะ ไอ้หนู ”

“ ลดราวาศอกได้ยังไงกัน – ห้าร้อย ”

“ อ้าว ! พูดกันดี ๆ โว้ย หน็อย ไอ้นี่ เดี๋ยวพ่อยอมเสียอีกพันหนึ่ง ”

“ ผมพูดไม่ดียังไง ผู้การฟังไม่ดีเอง ผมว่า ลดได้ยังไงกัน อีกตั้งห้าร้อย ”

“ ก้อทำไมไม่พูดออกมาให้มันชัด ๆ ยังงั้นล่ะ ลื้อเว้นวรรคห้าร้อยทิ้งท้าย มันฟังไม่เข้าหู ”

“ ทำหูให้มันเหมือนคนธรรมดาเขาเสียบ้างซี ผู้การ ถึงคราวที่จะใช้หูตำรวจ ถึงค่อยใช้ คราวนี้หัดใช้หูราษฎรธรรมดาสามัญเสียบ้าง ”

“ เอ้า เอาไป ” เขายื่นใบละร้อยทั้งห้าใบนั้นให้
“ แล้วไปให้พ้น ๆ อั๊วไม่อยากเห็นหน้าลื้อ ”

ผมหยิบห้าร้อยบาทนั้นเข้ากระเป๋า พูดว่า

“ ผมทำงานอยู่ที่นี่ ผู้การมาหาผมเองต่างหาก ผมเองก็ไม่ได้เชิญ ”

“ อั๊วมาเตะลื้อนะซิ ” ผู้การพูด ก้าวเข้ามาหา

“ ระวัง เดี๋ยวอีกพันหนึ่ง ” ผมพูดเบา ๆ เน้นถ้อยคำ
“ จะมาเตะ จะมาต่อยยังไง แล้วก็ใบกู้นั่นอีกด้วย ผู้การยังไม่ได้ทำให้ผม ห้าร้อย – เอ๊ย – อีกห้าร้อย ”

เขามองหน้าผม แล้วพูดเม้มริมฝีปากว่า

“ วันหนึ่ง อั๊วคงฆ่าลื้อเข้าให้จนได้ ”

“ นี่มันเป็นคำกล่าวพยาบาทมาดหมาย ผู้การควรจะรู้ว่า มันเข้ากฎหมายอาญามาตราไหน ”

ผู้การมองตาผม พลางยกมือขึ้นลูบไล้ที่ใต้คาง

“ ไหนล่ะครับ ใบกู้อีกห้าร้อยบาท ” ผมพูด แบมือ

“ ลื้อทำมา อั๊วจะเซ็น ” เขาพูดเสียงห้วน ๆ

ผมดึงเอากระดาษเปล่าบนโต๊ะทำงานของกัณหามาแผ่นหนึ่ง ดึงปากกาออกมาเขียนข้อความวงไปบนกระดาษแผ่นนั้นว่า

“ ข้าพเจ้า พันตำรวจเอก พิทักษ์ ...” หยุดชะงักอยู่แค่นั้น เงยหน้าขึ้นมองเขา พูดว่า “ ผู้การนามสกุลอะไรไม่ทราบ ”

เขาดึงกระดาษแผ่นนั้นออกไปจากผม แล้วพูดว่า “ อั๊วเขียนเอง ”

เขาขีดฆ่าตัวอักษรที่ผมเขียนไว้เดิม แล้วเขียนข้อความใหม่ลงไป เซ็นชื่อแล้วส่งให้ผม ในนั้นเขียนไว้สั้น ๆ ว่า

“ ข้าพเจ้าเป็นหนี้ผู้ถือหนังสือนี้อยู่ห้าร้อยบาท ”
ที่ข้างท้ายข้อความนั้น มีลายเซ็นอ่านยากปรากฏอยู่

ผมแหงนหน้าขึ้นมองเขา แล้วพูดว่า
“ นี่ลายเซ็นผู้การแน่หรือครับ ”

“ อย่าโยกโย้นักเลยวะ ” เขาพูดเสียงรำคาญ ๆ
“ นี่มันก็มากพอดูอยู่แล้วนะโว้ย ทีนี้ทีลื้อที่ต้องทำหนังสือยอมความไม่ฟ้องร้องอั๊วบ้างละ ทำมาเสียดี ๆ ”

“ มันจะมีประโยชน์อะไร ผู้การ ” ผมพูด
“ ถ้าจะให้เกิดผลจริง ๆ มันก็ต้องไปทำกันที่สถานีตำรวจ ลงประจำวันไว้เป็นหลักฐาน มันไม่เหมือนใบกู้ที่จะที่ไหนก็ได้ ถึงผมทำให้ผู้การที่นี่ มันก็ไม่มีผลบังคับที่จะไม่ให้ผมฟ้องร้องได้ มันเป็นความอาญา ยอมความกันได้ที่ไหน พอบาดแผลหายมันก็หายไปเอง ผมจะเอาบาดแผลที่ไหนมาอ้างอิงได้ตอนนั้น พยานบุคคลก็มีแต่คุณพี่คนเดียว ถึงมันจะเป็นบาดแผลผิวหนังฉีกขาด มันก็ไม่ใช่บาดแผลสาหัสอะไร หรือผู้การจะไปทำหนังสือยินยอมความกันที่สถานีตำรวจ ”

เขาครางอะไรออกมาเบา ๆ ในลำคอ มองหน้าผมนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ยกมือขึ้นลูบคาง แล้วครางเสียงเบา ๆ ออกมาอีกสอง-สามครั้ง ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องทำงานคุณพี่

ผมหันไปหลิ่วตากับกัณหาครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องคุณพี่

เสียงคุณพี่พูดพอจับเสียงได้ ตอนที่ผมก้าวเข้าไปว่า “ ... ยังค้างอยู่อีกสี่วัน จะไล่ไปยังไง แล้วอีกอย่าง...” เสียงคุณพี่ขาดตอนสะดุดลงเมื่อผมก้าวเข้าไปถึงโต๊ะ

ผมทำเป็นไม่ได้ยินถ้อยคำนั้น พูดว่า
“ คุณพี่มีงานอะไรอีกไหมครับ ”

คุณพี่ยิ้มกลบเกลื่อน พูดว่า
“ เลยเวลาทำงานแล้ว คุณกลับบ้านได้แล้ว พรุ่งนี้ก็มาอย่างวันนี้ ”

ผมออกมาจากห้อง กัณหากำลังเก็บของบนโต๊ะ ผมพูดกับหล่อนว่า
“ คุณจะกลับเหมือนกันหรือ ”

หล่อนชี้ให้ดูนาฬิกาข้อมือ และพูดว่า “ ห้าโมงเป็นเวลาเลิกงาน ”

ผมดูนาฬิกาของผม มันบอกเวลาห้าโมงสิบนาที พูดว่า
“ ให้ผมไปส่งคุณได้ไหม ”

หล่อนมองหน้าผม พูดว่า “ ฉันขับรถเป็น ”
สายตาของหล่อนอ่านได้ว่า อย่าให้มันมากนักนะ

“ เปล่า ผมไม่ได้คิดจะทะลึ่งอะไรกับคุณ ให้ผมขับรถไปส่งคุณ แล้วผมจะบอกอะไรให้ ” ผมพูด

“ ถ้าคุณอยากจะรู้จักบ้านฉัน ก็เอาไว้ให้เรารู้จักกันดีกว่านี้อักสักหน่อย ” หล่อนพูด

“ ผมไม่อยากจะรู้จักบ้านคุณเอาไปทำอะไรหรอก ที่อยากจะขับรถไปส่งคุณนี้ ให้ผมขับแล้วคุณจะรู้ว่า ผมขอขับรถไปส่งทำไม ”

หล่อนมองผมนั่ง นัยน์ตาค้นหาคำตอบบนใบหน้าของผม แล้วหล่อนก็เดินไปที่บันไดทางลงโดยไม่ได้พูดอะไร

ผมเดินตามลงไป

หล่อนเดินใสถึงที่จอดรถก็หยุด ผมเข้าไปหยุดอยู่ใกล้ ๆ ข้างหล่อน หล่อนส่งกุญแจรถให้ผม แล้วเดินอ้อมไปเปิดประตูอีกด้านหนึ่ง ขึ้นนั่ง โดยไม่พูดอะไรอีกเช่นเดิม

ผมเปิดประตูด้านคนขับ ก้าวขึ้นไปนั่ง สตาร์ทเครื่องเข้าเกียร์ พารถพุ่งออกไป

ผมขับรถมาตามถนนสายต่าง ๆ มองด้วยหางตา เห็นหล่อนหันมามองผมเป็นพัก ๆ แต่ไม่พูด คงจะสงสัยว่าทำไมผมจึงไม่ถามทางไปบ้าน และคงอยากจะพูดเหมือนกันว่า ผมจะพาไปไหน

เมื่อมองเห็นปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งอยู้ตรงหน้า ผมก็หักพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าไป พารถไปจอดสนิทอยู่ตรงปั๊มน้ำมัน คนประจำปั๊มออกมาหาที่ข้างรถ ผมถอดกุญแจรถออกส่งให้ พูดว่า

“ เติมให้เต็มถัง ”

กัณหาหันมามองผม สายตาของหล่อนบอกว่า ชักจะเข้าใจอะไร ๆ บ้างแล้ว

ผมเปิดประตูรถลงไป เมื่อคนขายเติมน้ำมันเสร็จ แล้วนำกุญแจมาส่งคืน จัดการจ่ายค่าน้ำมันเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินมาที่รถด้านที่กัณหานั่งอยู่ ส่งกุณแจให้หล่อน แล้วพูดว่า

“ ทีนี้คุณก็ขับไปเองได้แล้ว ผมไม่ขึ้นไปกับคุณอีกละ ขอบคุณอีกครั้ง คุณกัณหา ”

หล่อนมองที่มือผมที่ยังมีกุญแจรถคาอยู่ที่นิ้ว แล้วเงยหน้ามองผม พูดว่า “ ทำไมคุณต้องทำยังงี้ ”

“ มันถูกต้องที่สุดในโลก ” ผมพูด ยิ้มให้
“ ผมใช้รถของคุณตั้งหลายเที่ยววันนี้ ไม่รู้ว่ากินน้ำมันเข้าไปเท่าไร ถ้าผมไม่ได้ชดใช้คุณ มันก็ออกจะเป็นการเห็นแต่ตัวมากไปสักหน่อย ผมได้เงินมาวันนี้ห้าร้อยบาทเปล่า ๆ ยังมีใบกู้อยู่อีกห้าร้อยบาทในกระเป๋า ผมไม่เดือดร้อนอะไร ”

“ ถ้าคุณจะคิดละเอียดถี่ถ้วนยังงั้นจริง ๆ มันก็ไม่ถูกนัก เพราะเดิม น้ำมันรถคันนี้มันไม่เต็ม ไอ้ส่วนที่เกินมาจนเต็มถังนี่ คุณจะให้ฉันคิดยังไงกับคุณ ฉันมิต้องคิดเงินคืนให้คุณหรือ ” หล่อนพูด

“ ก็ได้ ถ้าคุณรู้ว่าเดิมมันมีอยู่เท่าไร คิดกันเป็นลิตรให้ถี่ลงไปก็ยังได้ ”

“ จะคิดยังไงก็ขยับรถเสียหน่อยเป็นไงคุณ ” เสียงนี้เป็นเสียงของคนขายน้ำมันที่เข้ามาข้าง ๆ เมื่อไรไม่รู้ตัว
“ มีคนเขามาเติมน้ำมัน ”

ผมจึงถอยห่างออกมาจากรถ หลีกทางให้หล่อนขยับรถออกไปจากที่นั่น หล่อนไปหยุดรถอยู่ห่างจากที่เดิมเล็กน้อย หันมามองผมคล้ายกับอยากจะพูดอะไรอย่างหนึ่ง แต่เมื่อเห็นผมยืนนิ่งอยู่กับที่ หล่อนก็หันหน้ากลับ รถคันนั้นพุ่งปราดออกไป

ผมเรียกสามล้อเครื่องคันหนึ่งที่ผ่านมา ขึ้นนั่ง ให้ไปส่งบ้าน




Create Date : 24 พฤษภาคม 2553
Last Update : 25 พฤษภาคม 2553 4:33:28 น. 1 comments
Counter : 772 Pageviews.

 
วันนี้เข้ามาอ่านไวหน่อย..พอดีเอาคอมมาที่ทำงานด้วย..

กำลังสนุก..จะติดตามอ่านตลอดไป..ขอบคุณมากๆ...


โดย: ก้นกะลา วันที่: 25 พฤษภาคม 2553 เวลา:14:52:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ธารน้อย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ธารน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.