จงให้ความสำคัญต่อสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าสิ่งที่ถูกใจ
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
3 พฤศจิกายน 2553
 
All Blogs
 
ตำรวจจับตำรวจ (ตอนที่ 1)

โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ

ผมไม่ได้มาคุยกับท่านผู้อ่านเสียนาน คราวนี้ มีเวลาพอที่จะส่งข้อเขียนมาร่วมสนุกในวงด้วย เขียนเรื่องตำรวจนี่มันง่าย แต่จะเขียนเรื่องอะไรให้มันเบา ๆ สมองนี่ต้องนึก แล้วก็นึกได้ เขียนเรื่องของตัวเองดีกว่า ไม่กระทบกระเทือนใครดี เอาเรื่องตำรวจจับตำรวจนี่แหละดี เพราะตำรวจผู้ที่ถูกตำรวจจับคนนั้นก็คือผมนี่แหละ

ครับ ผมถูกตำรวจจับ ตอนที่ผมยังอยู่ในราชการ มียศเป็นร้อยตำรวจโทครั้งหนึ่ง แล้วก็ถูกจับตอนมียศเป็นพันตำรวจเอกอีกครั้งหนึ่ง ห่างกันหลายปี

ความจริง เรื่องตำรวจจับตำรวจนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เคยมีแล้ว แต่ละยุค แต่ละสมัย จับทั้งที่รู้ว่าเป็นตำรวจนี่แหละ (นี่แหละบ่อยจัง เดี๋ยวก็คงจะมีอีก) นายตำรวจที่ชอบจับตำรวจเป็นของชอบ ที่รู้จักกันดีทั้งกรมตำรวจ ก็เห็นจะมีอยู่คนเดียว นายตำรวจผู้นั้นมีชื่อว่า พลตำรวจเอก หลวง
อคุลย์เดชจรัส ใครไม่เคยได้ยินชื่อนี่ ก็เห็นจะเชยเต็มที

คุณหลวงอดุลย์ ฯ สมัยที่ท่านดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจ ท่านชอบย่องไปตามโรงพักต่าง ๆ ไปจับนายร้อยเวรหนีเวรบ้าง ดักจับตำรวจหลับยามตามป้อมบ้าง ท่านชอบไปนอกเครื่องแบบ แล้วรูปร่างหน้าตาของท่านเหมือนแขก ตำรวจก็ไม่ค่อยจะรู้จักว่าเป็นใคร เวลาโดนท่านจับ ยังเถียงก็มี กว่าจะรู้ว่าคน ๆ นั้นคืออธิบดีกรมตำรวจก็สายเสียแล้ว เถียงไปนานแล้วจนจับใจท่าน ทีนี้ก็ต้องย้ายที่นอนไปอยู่ในกรง

จับเก่ง ๆ อย่างนั้นก็ยังไม่วายถูกจับเอง ใครจะคิดว่าอธิบดีจะมาถูกจับ และถูกจับโดยนายตำรวจยศเพียงร้อยตำรวจตรีเท่านั้นเอง

สมัยนั้นยังอยู่ในระหว่างสงคราม กรุงเทพ ฯ ต้องพรางไฟมืดสลัวไปหมดทั้งกรุง เพราะเครื่องบินสัมพันธมิตร คือ พวกอังกฤษ อเมริกันเป็นตั้วโผ ส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดกรุงเทพ ฯ เสียแหลกลาน ตอนกลางวันน่ะช่างเถอะ มันสว่างโร่อยู่แล้ว ใครจะไปพรางแสงอาทิตย์ได้ แต่ตอนกลางคืนนี้ มันมีเวลาเดือนหงาย (ความจริง ต้องเรียก เดือนคว่ำ มากกว่า เพราะพระจันทร์ท่านคว่ำเอาทางที่มีแสงสว่างมาส่องโลก) แสงพระจันทร์ก็ส่องสว่างไปทั่วเหมือนกลางวัน

พวกฝรั่งมันคำนวนเก่งนักว่า วันไหนเดือนหงาย มันก็ยกขบวนกันมาในคืนวันนั้น

พอเสียงหวอบอกเหตุภัยทางอากาศดังขึ้น ผู้คนก็ต้องมีอันไปวุ่นวายกันในเรื่องดับไฟให้มืด เตรียมลงหลุมหลบภัยบ้าง หอบลูกจูงหลานลงหลุมบ้าง บางคนยิ่งกว่านั้น พอได้ยินเสียงหวอทีไร เป็นต้องปวดท้องฉี่ทุกที ก่อนจะลงหลุมก็ต้องไปฉี่เสียก่อน คนประเภทนี้มักจะเป็นผู้หญิงเสียส่วนมาก พรรคพวกก็ต้องไล่ให้ไปฉี่เสียก่อน เพราะรู้ ๆ กันอยู่ว่า จะต้องปวดฉี่แน่ ๆ ตอนเสียงหวอดัง มิฉะนั้น จะวุ่นวายในหลุมกันใหญ่

ทีนี้ วันหนึ่ง นายตำรวจผู้นั้นเป็นนายร้อยเวรอยู่ที่สถานีตำรวจนครบาลสามเสน ตอนนั้น คำสั่งเรื่องพรางไฟมีแล้ว ทุก ๆ บ้านจะต้องมีผ้าสีน้ำเงินคลุมที่โป๊ะไปทุกดวง ไม่ให้ส่องแสงสว่างออกมาเต็มที่ เผื่อว่าข้าศึกแอบใช้เครื่องบินบินเข้ามาเงียบ ๆ จะได้มองไม่ค่อยจะเห็นทางพื้นดิน

ถ้ามาอย่างไม่เงียบก็ไม่เป็นไร เสียงหวอจะดัง แล้วก็จะมีคนปวดฉี่ แล้วทุกบ้านก็จะดับไฟฟ้ากัน หรือไม่ทางโรงไฟฟ้าก็จะดับสวิทช์ใหญ่เสียเอง

ร้อยตำรวจตรีผู้นั้นเดินตรวจตราไปในท้องที่กับตำรวจอีกคนหนึ่ง มาถึงบ้านหลังหนึ่งอยู่ในซอย ซอยอะไรใครจะไปจะได้จนป่านนี้แล้ว แหงนหน้าขึ้นไปมองพอดีเห็นหน้าต่างหนึ่งของบ้านหลังนั้นเปิดอยู่ทั้งสองบาน ที่ตรงหน้าต่างนั้น เขาเห็นแสงไฟลอดออกมาสว่างโร่จากดวงไฟ ที่ไม่มีผ้าสีน้ำเงินคลุมพรางไฟอย่างบ้านอื่น ๆ

ร้อยตำรวจตรีผู้นั้นเข้าไปเคาะประตูบ้านหลังนั้น เคาะอยู่นาน จึงได้มีเด็กออกมาเปิดประตู แล้วถามว่า
“ มาหาใครคะ ”

ร้อยตำรวจตรีผู้นั้นไม่ได้ตอบคำถาม เดินเข้าไปในบ้านที่ประตูเปิดแล้วนั้น ตรงดิ่งขึ้นไปบนบ้านทีเดียว เคาะที่ประตูห้องแรกที่ไปถึง เสียงคนข้าในห้องถอดกลอนประตู แล้วประตูก็เปิดออก ทีนี้ไม่ใช่เด็ก แต่เป็นผู้หญิงค่อนข้างจะสาวสวย หรือไม่สวย ไม่สำคัญกับท้องเรื่อง ผู้หญิงคนนั้นก็มองดูร้อยตำรวจตรีผู้นั้น ตั้งแต่หมวกจนถึงรองเท้า แล้วกระแทกเสียงออกมาว่า
“ มาหาใคร ”

“ ไม่ได้มาหาใครหรอกครับ ” ร้อยตำรวจตรีผู้นั้นตอบ “ แต่ผมอยากให้คุณพรางไฟเสียให้ถูกต้องอย่างบ้านอื่นเท่านั้นแหละ ”

ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น บุรุษผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากห้อง มายืนอยู่ที่หน้าประตู แล้วส่งเสียงออกมาว่า
“ อะไรกัน ”

ร้อยตำรวจตรีผู้นั้นไม่รู้จักบุรุษนายนั้น หรือจะรู้จักแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้จัก ก็ไม่มีใครเดาออก นอกจากเจ้าตัว เขาก็พูดอีกว่า

“ อะไรหรอกครับ ผมมาขอให้เจ้าของบ้านนี้พรางไฟเสียให้ถูกต้องอย่างบ้านอื่นเขา เท่านั้นแหละครับ ”

“ รู้จักไหมว่าคุณกำลังพูดอยู่กับใคร ” เสียงบุรุษนายนั้นดังแปร๋นออกมา ผู้หญิงที่ยืนอยู่หน้าประตู เชิดหน้ามองดูร้อยตำรวจตรีผู้นั้น

“ ผมไม่รู้จัก และยังไม่อยากรู้จัก ” ร้อยตำรวจตรีผู้นั้น ตอบเสียงเรียบ ๆ
“ แต่ตอนนี้ ผมต้องการให้เจ้าของบ้านหลังนี้ จัดการใช้ผ้าพรางไฟเสียเท่านั้น ”

“ มีอย่างเหรอ เป็นตำรวจชั้นสัญญาบัตร ไม่รู้จักหลวงอดุลย์ ฯ ” บุรุษผู้นั้นตวาด

ร้อยตำรวจตรีผู้นั้น ยกมือขึ้นทำวันทยหัตถ์ แล้วพูดว่า
“ ผมขอโทษครับ แต่ถึงแม้ท่านจะเป็นอธิบดีกรมตำรวจ ท่านก็ต้องให้เขาพรางไฟ ”

“ ถ้าไม่พราง คุณจะทำไม ” นั่นเป็นเสียงกระแทกเสียงถาม

” ผมก็ต้องจับ ”

“ จับหลวงอดุลย์ ฯ เชียวเหรอ ” ท่านเจ้าของเสียงกระแทกเสียงเสียงถามอีก

“ จับเจ้าของบ้านครับ ” เป็นคำตอบเรียบ ๆ ของร้อยตำรวจตรีคนนั้น

“ จับหลวงอดุลย์ ฯ ด้วยซี ” เสียงนั้นยิ่งดังชัดขึ้น “ หลวงอดุลย์ ฯ ไม่ให้พรางไฟ จับด้วยซี ”

“ ผมไม่จับ แต่ผมจะยืนอยู่ตรงนี้ จนกว่าบ้านนี้จะพรางไฟ ” เป็นเสียงตอบนุ่ม ๆ มือยังอยู่ในท่าวันทยหัตถ์ “ และถ้ายังไม่พรางไฟจนผมต้องยืนอยู่ตรงนี้นานเกินควร ผมจะจับเจ้าของบ้านหลังนี้ไป ”

เจ้าของเสียงดุดันท่านนั้น ยืนนิ่งมองดูร้อยตำรวจตรีโดยไม่พูด ครั้นแล้วก็ปิดประตูดังปัง

สักครู่ ดวงไฟฟ้าในห้องนั้นก็มีผ้าสีน้ำเงินมาพรางแสง นายตำรวจหนุ่มผู้นั้นก็ลงมาจากบ้าน เขาเดินตรวจท้องที่ต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เขาถูกย้ายไปเป็นผู้บังคับหมวดตำรวจภูธร อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยคำสั่งด่วนพิเศษในวันรุ่งขึ้น พร้อมทั้งให้เงินเดือนเพิ่มอีกสองขั้นเป็นพิเศษกลางปีนั้น

นายตำรวจหนุ่มผู้นี้เคยเป็นลูกหมวดของผม เมื่อตอนเป็นนักเรียนนายร้อย เพื่อนร่วมรุ่นของเขายังอยู่ในราชการก็มีขณะนี้ (ปีที่เขียนเรื่องนี้ คือ พ.ศ. ๒๕๒๕ - ธารน้อย) เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของทหารทุกเหล่า ใครอยากรู้ว่าเขาชื่ออะไร ไปถามท่านผู้นั้นดูได้ แต่น่าเสียดาย เขาสิ้นชีวิตเสียแล้วตั้งแต่ยังหนุ่ม ๆ หลายปีมาแล้ว

เป็นเรื่องตำรวจจับตำรวจที่ดังมาก ในสมัยนั้น

เรื่องพรางไฟนี้ ต้องคนรุ่นอายุเกินสี่สิบขึ้นไป (ปี ๒๕๕๓ นี้ก็น่าจะเจ็ดสิบ – ธารน้อย) จึงจะเคยได้รู้ได้เห็น แต่ตอนที่ได้รู้ได้เห็นนั้นก็ยังเด็กมาก เพราะตอนที่สงครามเข้ามาพัวพันเมืองไทยนั้น คนที่มีอายุเกินสี่สิบปีขึ้นไปไม่ถึงห้าสิบ (ปี ๒๕๕๓ นี้ ก็คงจะ เจ็ดสิบ – แปดสิบปี – ธารน้อย) ก็เห็นจะยังจำความไม่ได้

ตอนนั้น กรุงเทพ ฯ มือมิดจริง ๆ ตกกลางคืนจะมีแต่แสงสลัว ๆ พอมองเห็นหน้ากัน เวลาหวอดัง เสียงหวอนี้คือเสียงไซเรน แจ้งภัยทางอากาศ มันจะดังโหยหวนขึ้น เมื่อมีเครื่องบินเข้ามาในเขตป้องกันภัย พอสิ้นเสียงดังขึ้นก็หนาวกันทุกคน

อากาศร้อน ๆ อยู่ พอเสียงหวอดังขั้น ทำไมมันถึงกลับเป็นหนาวก็ไม่รู้ ความรู้สึกอันนี้เสียละกระมัง ที่ทำให้บางคนปวดฉี่ขึ้นมากะทันหัน

คนเดินถนนจะสวมเสื้อสีขาวก็ไม่ได้ จะถูกผู้คนจับถอด เพราะกลัวนักบินมันจะเห็นสีขาว ๆ บุหรี่ก็สูบไม่ได้ ต้องดับ กลัวแสงไฟบุหรี่จะทำให้นักบินมันเห็นอีกเหมือนกัน เป็นเหตุให้เกิดวิวาทต่อยกันไปบ้างก็มี

คนสวมเสื้อสีขาวที่เขารู้ว่ามันไม่ถึงกับทำให้นักบินมองลงมาเห็นได้ เขาก็ไม่ยอมถอด หรือคนที่สูบบุหรี่ เขารู้ว่าแสงไฟจากบุหรี่แค่นั้น มันไม่ทำให้คนบนฟ้าไกลลิบ ๆ นั้นมองเห็นได้ ก็ไม่ยอมดับ ทีนี้ก็เกิดเรื่อง มีหลายรายที่ถึงกับต้องขึ้นโรงพัก

วกวนไปจนถึงนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ถูกร้อยตำรวจตรีจับแล้ว ก็มาถึงเรื่องที่ผมถูกตำรวจจับเองละทีนี้





Create Date : 03 พฤศจิกายน 2553
Last Update : 3 พฤศจิกายน 2553 3:54:55 น. 4 comments
Counter : 799 Pageviews.

 
อ่านสนุกดีครับ



โดย: นายแมมมอส วันที่: 3 พฤศจิกายน 2553 เวลา:10:27:16 น.  

 
มีเรื่องดีๆๆอ่านอีกเเล้ว


โดย: ศรชัย IP: 223.205.227.78 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2553 เวลา:15:16:15 น.  

 
อ่านเรื่องเบา ๆ สมองบ้างก็น่าจะดีนะคะ
คลาดเครียดได้

ขอให้มึความสุข วันละนิด ก็ยังดีนะ

โชคดีและปลอดภัยทุกคนนะคะ



โดย: ธารน้อย วันที่: 4 พฤศจิกายน 2553 เวลา:1:56:30 น.  

 
..ชอบจังเลย..ขอบคุณมากๆ..


โดย: ก้นกะลา วันที่: 4 พฤศจิกายน 2553 เวลา:2:21:57 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ธารน้อย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ธารน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.