จงให้ความสำคัญต่อสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าสิ่งที่ถูกใจ
Group Blog
 
<<
มกราคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
11 มกราคม 2553
 
All Blogs
 
ชัยชนะ และ ความพ่ายแพ้ของ บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย (ตอนที่ 2)

ชัยชนะ และ ความพ่ายแพ้ ของบุรุษเหล็กแห่งเอเชีย
โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ

ตอนที่ 2

ก่อนจะเข้าสู่เส้นทางชีวิต

เผ่าเป็นใคร ?

ท่าน พล ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ เป็นใคร มาจากไหน ผมไม่รู้จักมาแต่ต้น ผมได้มาพบพานกับท่านเอาเผิน ๆ ตอนที่ท่านตั้งร้านขายอาหารอยู่ในบริเวณเนื้อที่ของโรงหนังศรีอยุธยา ซึ่งอยู่แถว ๆ ถนนอะไรก็ไม่รู้ที่เชื่อมต่อกับสะพานมอญ เดี๋ยวนี้ถูกรื้อถอนไปหมดจนจำไม่ได้แล้ว ผมเคยไปกินอาหารกลางวันที่ร้านนั้น ซึ่งมีชื่อว่า “ร้านกิ่งแก้ว”

ที่ร้านนั้นอาหารอร่อย ตอนนั้นแม่ครัวของร้านก็คือ คุณหญิงอุดมลักษณ์ ศรีภริยาของท่านเป็นคนทำอาหารอยู่ เจ้าของร้านยังชื่อว่า พันเอก เผ่า ศรียานนท์ เป็นใหญ่อยู่ในสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จะเป็นตัวผู้อำนวยการเสียเองหรือเปล่า ผมก็จำไม่ได้

ผมมียศเป็น ร้อยตำรวจโท อยู่ตอนนั้น และประจำอยู่ที่กองตรวจตำรวจนครบาล ซึ่งตั้งขึ้นมาใหม่สำหรับรับมือกับพวกคนร้ายที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองจบไปหมาด ๆ กองตรวจนครบาลนี้รวบรวมเอามือปืนของกรมตำรวจสมัยนั้นมาไว้เป็นกลุ่มใหญ่ ประเภทมือไวใจเร็วทั้งนั้น ชนิดชักปืนออกจากซองไวเหมือนพระเอกหนังคาวบอย และทุกคนมีปืนขนาด 11 มม. ซึ่งได้รับมาตอนที่ทำงานอยู่ในหน่วยเสรีไทยสมัยสงคราม นายตำรวจแทบทุกคนในกองนี้มาจากหน่วยเสรีไทยเมื่อหน่วยนี้สลายตัวไป ฉะนั้นเรื่องดับเครื่องชนไม่ต้องห่วง มีการจี้ปล้นแถวไหนหน่วยนี้ต้องไปถึง พร้อมที่จะเข้าชน ว่าง ๆ ไม่มีเรื่องจะให้เข้าชน พวกเขาก็ฝึกชนกันเองก็มี

ที่ทำงานขณะนั้นอยู่บนชั้นสี่ของสถานีตำรวจนครบาลกลาง ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีตำรวจนครบาลพลับพลาไชยเดี๋ยวนี้ กุมารจีนทั้งหลายที่เป็นตัวเต็งในย่านเยาวราชไม่กล้าเดินผ่านที่นั่น เขาเรียกกันว่า “ซี้เล้า” แปลว่า “ชั้นสี่” อย่าเข้าไปใกล้ เพราะเป็นที่รวมมือปืนหลายยี่ห้อ

ที่จะได้พบพานท่าน พันเอก เผ่า แห่งทรัพย์สิน ฯ ก็เพราะความคะนองของพวกมือปืนพวกนี้ เมื่อไม่มีโจรให้ปราบ ก็ต้องเที่ยวหาโจร เรียกกันว่า “ไปหาโจทก์” คือหมายความว่า เที่ยวไปหาคนที่จะเป็นโจทก์ฟ้องความในศาลให้ตัวเองเป็นจำเลย ก็ไปหาเรื่องชกต่อยเขาให้เขาฟ้องนั่นแหละ แต่พวกที่จะเป็นโจทก์นั้นต้องเป็นพวกเกะกะอันธพาลที่ไม่มีใครกล้าตอแย พวกเราก็ไปตอแยด้วย เกะกะมา เราก็เกะกะไป

ตอนนั้นมีข่าวเข้ามาที่กองว่า ที่ร้านอาหารกิ่งแก้วนั้น มีนักเลงคนหนึ่ง เวลาเมาได้ที่เป็นต้องระรานผู้คนแถวนั้นทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นร้านกิ่งแก้วหรือรอบ ๆ ร้านแถวนั้น ชาวบ้านแถวนั้นไม่มีอันเป็นสุข เขาก็บ่นกันจนได้ยินมาถึงหูพวกที่อยู่บนชั้นสี่พลับพลาไชย พวกมือปืนที่นั่นก็หูผึ่ง อยากเจออยู่แล้ว วันหนึ่งก็นัดกันยกขบวนไปในยามตะวันตกดิน ยามที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม เหมาะสำหรับการเมา

พวกเราสี่คนไปที่นั่นในเย็นวันนั้น ก็สี่คนที่เป็นตัวชนในทุกงานปราบปราม – ชื่อหรือครับ ... ไม่บอกละ – กระดาก – บอกได้แค่สามคน คนหนึ่งชื่อพันศักดิ์ คนหนึ่งชื่อชูลิต คนหนึ่งชื่อเทียน อีกคนหนึ่ง ขอไม่บอก เป็นร้อยตำรวจโทสาม ร้อยตำรวจตรีหนึ่งคือคนที่ชื่อชูลิต

ไปถึงร้านนั้นตอนเย็นสลัว ๆ พอดี เลือกหาโต๊ะนั่งได้ก็สั่งสุราอาหารมากินกัน สายตาก็ส่ายหาคนที่เหมาะจะมาเป็นโจทก์ไปทั่ว ๆ ยังไม่มีวี่แววอะไร กำลังจะอิ่มและคิดตกลงกันว่า ไปหาโจทก์ที่อื่นดีกว่า ที่นี่มันชักจะเหงา ก็พอดีได้ยินเสียงตะโกนโหวกออกมาจากบันไดทางขึ้นร้าน

“ เฮ้ย ... แถวนี้ ใครใหญ่วะ”

สายตาทั้งสี่คู่ที่โต๊ะมือปืน หันขวับไปทางนั้นโดยไม่มีการนัดหมาย

ชายในวัยหนุ่มใหญ่เกือบจะกลางคนคนหนึ่งเดินโงนเงนขึ้นมาทางบันไดนั้น เซแซ่ด ๆ มาทางโต๊ะที่ทั้งสี่คนนั่งอยู่ เข้ามายืนเกาะขอบโต๊ะ เพราะเป็นโต๊ะแรกที่อยู่ใกล้บันไดพอดีที่จะใช้เป็นที่เกาะพักแรงได้ เขาเกาะพยุงตัวอยู่นิ่ง มองดูบุคคลทั้งสี่ที่โต๊ะนั้น โงกเงก โยกตัว ตะคอกใส่ออกมาอีก

“ หรือพวกลื้อวะ”

ได้ที่พอดี คนที่เป็นร้อยตำรวจตรีไวกว่าเพื่อน ลุกขึ้นพรวดพราดปล่อยหมัดเปรี้ยงไปที่ใบหน้าที่ชะโงกเข้ามาถามนั้น เปรี้ยงเดียวแท้ ๆ ร่างเจ้าของปากก็ร่วงลงไปกองอยู่บนพื้นข้างโต๊ะนั้น.. เงียบ

คนที่นั่งอยู่บนโต๊ะอื่นอีกหลายคน ต่างลุกขึ้นยืนพึ่บพั่บ มือปืนทั้งสี่คนลุกขึ้นยืนเรียงหน้ากัน พร้อมที่จะปะทะกับใครก็ได้ที่จะเข้ามาปะทะด้วย ปืนยังอยู่ที่เอวภายในเสื้อแจ๊คเก้ตที่สวมทับอยู่ เพราะยังไม่มีใครที่จะเล่นด้วยปืนกัน

แต่ผู้คนที่ลุกขึ้นพื่บพั่บนั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะลุกขึ้นมาเอาเรื่องด้วย ต่างคนต่างคิดจะหนีออกไปจากที่นั่น ต่างวิ่งลงบันไดที่มีอยู่ทั้งสี่ด้านไป ครู่เดียวทั้งร้านก็เงียบ เหลือแต่มือปืนสี่คนยืนจังก้าอยู่ หาโจทก์ได้เพียงคนเดียวที่ยังนอนหลับสบายอยู่บนพื้นข้างโต๊ะนั่น

บุรุษร่างใหญ่คนหนึ่งเดินออกมาจากหลังร้านซึ่งเป็นที่ทำครัว เดินตรงรี่มายังมือปืนทั้งสี่ที่ยังยืนคอยรับเหตุการณ์อยู่อย่างสงบ

“อ้าว ไอ้นิด เป็นไงไป” ชายร่างใหญ่คนนั้นพูด เมื่อมาถึงที่โต๊ะนั้น พร้อมกับมองไปยังร่างของคนที่นอนสบายอยู่ที่พื้น แล้วเขาก็เหลือบตามองคนทั้งสี่อย่างตั้งคำถาม

“ทำไมไอ้นิดมานอนอยู่ตรงนี้” เขาถามด้วยเสียงหนัก ๆ “ใครทำอะไรมันหรือเปล่า”

“ผมเอง” ร้อยตำรวจตรีเจ้าของหมัดตอบ มองหน้าผู้ถามอย่างไม่เกรงกลัว

“มันหาเรื่องอะไรกับคุณหรือเปล่า” ชายร่างใหญ่ถาม “ไอ้นี่ เมาแล้วหาเรื่องรวนคนยังงี้ทุกที โดนเสียมั่งก็ดี – เฮ้ย” ประโยคหลังเขาหันไปตะโกนกับพนักงานรับใช้ที่ยังยืนออกันอยู่ข้างหลัง “ช่วยกันหามไปหลังร้านโว้ย กูจะเจ๊งก็เพราะไอ้นี่แหละ”

บ๋อยพากันเข้ามาช่วยหามร่างนั้นไป ชายร่างใหญ่คนนั้นก็พูดกับมือปืน

“พวกคุณมาจากไหนกันล่ะ เป็นตำรวจหรือเปล่า เห็นมีปืนตุง ๆ อยู่ในเสื้อ”

มือปืนทั้งสี่คนไม่ตอบคำถาม ยืนนิ่งสู้สายตาชายร่างใหญ่คนนั้นอยู่ ยังไม่รู้ว่าจะเอายังไงกัน

“ขอบใจทั้งสี่คน” ชายร่างใหญ่พูดต่อ “ วันหลังมาอีกบ่อย ๆ ก็ได้ จะได้ให้เล่นงานไอ้นี่สักทีสองที มันจะได้หายเกะกะเสียมั่ง ไม่มีใครกล้าทำอะไรมัน เพราะเห็นว่ามันเป็นเพื่อนผม ดีแล้วที่มีพวกคุณเล่นงานมันได้ นักเลงแถว ๆ นี่จะได้เงียบเสียมั่ง เมื่อวันก่อนก็มีมาสองคนเหมือนกัน ผมก็ชัก ๆ จะไม่สบายใจ วันนี้ไม่ต้องจ่ายก็ได้ ขอบใจล่ะ”

มือปืนทั้งสี่ควักกระเป๋า ล้วงเงินออกมาวางบนโต๊ะ

“คิดเงินมาเถอะครับ” คนหนึ่งในคณะพูด “ พวกผมไม่ชอบกินฟรี”
ชายร่างใหญ่มองหน้าคนพูด หัวเราะ

“ เป็นตำรวจจริงหรือเปล่า”

“ทำไมเล่าครับ” คนพูดเป็นคนที่นิ่งมานาน “ มันผิดกันยังไง ตำรวจหรือไม่ใช่ตำรวจ”

“ไม่ใช่อะไรหรอก” ชายร่างใหญ่คนนั้นหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ ถามไปยังงั้นเอง ถ้าเป็นตำรวจก็ชอบ เพราะไม่เคยเห็นตำรวจมือไวยังงี้ แล้วไอ้บ้านั่นก็มาเจอดีเอาวันนี้ ผมชอบใจก็เท่านั้น ที่สั่งสอนมันสมใจผม”

“โปรดคิดเงินมาเถอะครับ” ร้อยตำรวจโทอีกคนพูด “ พวกเราจะรีบไปที่อื่น”

ชายร่างใหญ่ซึ่งมีท่าทีว่าคงจะเป็นเจ้าของร้าน หัวเราะกั๊ก ๆ ชอบใจ

“เอาละ” เขาพูดทั้ง ๆ ยังหัวเราะอยู่ไม่จบ “ยี่สิบบาท ทั้งหมดนี่นะ”

คนทั้งสี่ยืนมองดูหน้าคนพูด มองดูเงินที่ควักกันออกมาที่วางอยู่บนโต๊ะ

“เอาไปเถอะครับ” คนหนึ่งพูด “ทั้งหมดที่วางอยู่นี่”

“ อะไรกัน ตั้งสี่ร้อย” เจ้าของร้านหัวเราะอีก “ ทั้งหมดนี่มันไม่ถึงสองร้อยด้วยซ้ำ”

คนหนึ่งในสี่มือปืนรวบเงินมาสองร้อย เหลือทิ้งไว้เท่าที่เจ้าของร้านบอก

“ถ้างั้นเอาไปสองร้อย” คนรวบเงินพูด “ไม่ต้องทอนหรอกครับ ที่เหลือให้บ๋อยไป พวกผมไปละครับ ยังมีเรื่องอื่นอีก”

มือปืนทั้งสี่เดินออกจากโต๊ะ ไปทางบันไดทางลง

“ วันหลังมาใหม่นะ จะได้ให้ไอ้นิดมันรู้จักคนที่เอามันลงได้ ”

มือปืนคนที่ปล่อยหมัดเด็ด หยุดเดินหันมาพูด

“ เขาชื่อนิดหรือครับ เป็นนักเลงอยู่แถวนี้งั้นหรือ ”

“ ก็ไม่ใช่นักเลงหรอก ” ชายร่างใหญ่พูดปนเสียงหัวเราะ “มันชื่อนิด เพื่อนผมเอง เวลามันเมามาจากที่ไหนก็ต้องมาวางท่ากับใครต่อใครบนนี้ยังงี้ทุกที ไม่มีใครกล้าทำอะไรมัน ก็ไม่รู้ทำไมต้องกลัวมัน มันเพิ่งจะโดนดีวันนี้ ผมอยากให้พวกคุณรู้จักกับมัน เวลามันไม่เมา มันเรียบร้อยดีออก ไอ้นี่”

“ครับ” คนหนึ่งพูด “เราจะมากันอีก”

“ไม่ยอมบอกชื่อให้รู้จักกันมั่งเหรอ แล้วก็เป็นตำรวจอยู่ที่ไหน”

“แล้วก็คงจะรู้จักกันเองหรอกครับ วันหลังเรามากันเมื่อไหร่ จะบอกชื่อเรียงตัวเลยครับ” คนพูดประโยคนี้ ไม่ใช่ไอ้เพื่อนสามคนนั่นของผม

“ก็ได้” เจ้าของร้านร่างใหญ่หัวเราะเบา ๆ ชอบใจ “รู้จักชื่อผมไว้ก่อนก็ได้ ผมชื่อ เผ่า”

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้จักท่านบุรุษร่างใหญ่ ใจนักเลง เจ้าของร้านกิ่งแก้ว ซึ่งมีชื่อเดิมว่า เผ่า ศรียานนท์




Create Date : 11 มกราคม 2553
Last Update : 11 มกราคม 2553 2:00:59 น. 2 comments
Counter : 1792 Pageviews.

 
เข้ามาอ่านค่ะ...

เคยได้ยินแต่ชื่อ...ไม่เคยรู้จักเหมือนกันจ้ะ....


ชื่อนี่คุ้น หู ทุกคนรับได้......


เผ่า ....


โดย: .................... (Opey ) วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:2:53:12 น.  

 
มันสะแด่วแห้วกรอบครับ


โดย: jesdath วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:3:32:19 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ธารน้อย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ธารน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.