จงให้ความสำคัญต่อสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าสิ่งที่ถูกใจ
Group Blog
 
<<
เมษายน 2553
 
11 เมษายน 2553
 
All Blogs
 

ชัยชนะและความพ่ายแพ้ของ "บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย" (ตอนที่ 66)

โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ

ตอนที่ 66

ตำรวจค้าฝิ่น ?

พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ คุมคาราวานค้าฝิ่น จริงหรือ ?

เหตุการณ์อยู่ในความสงบอีกพักใหญ่ ก็มีเรื่องใหม่เข้ามาอีก ทีนี้เป็นเรื่องระดับชาติก็ว่าได้

สมัยนั้น เมืองไทยยังมีโรงยาฝิ่น ประชาชนเข้าโรงยาฝิ่น ไปพักผ่อนนอนสูบฝิ่นกันได้อย่างเสรีในนั้น มีโรงยาฝิ่นอยู่ทั่วกรุงหลายแห่ง สถานที่โรงยาฝิ่นนี้ ก็เป็นสถานที่ที่ตำรวจเข้าไปหาข่าวได้หลายประการ พวกนักเลงขี้ยาและพวกนักเลงต่าง ๆ ก็ใช้โรงยาฝิ่นเป็นที่พบปะกันเหมือนกัน ตำรวจจึงทำตัวเป็นนักเลงฝิ่น เข้าไปคลุกคลีหาข่าวได้ง่าย ๆ วิธีหนึ่ง

รัฐบาลมีสัญญากับทางประเทศอิหร่านที่เรียกกันว่า เปอร์เซีย ในสมัยนั้น การซื้อฝิ่นดิบจะต้องซื้อจากที่นั่นแห่งเดียว จะไปซื้อที่อื่นไม่ได้ สัญญานี้เป็นสัญญาระยะยาว นอกเสียจากถ้าทางเราจับกุมฝิ่นเถื่อนได้ ก็ใช้ฝิ่นเถื่อนที่จับได้นั้นได้ แต่ถ้าจะซื้อเข้าประเทศ ก็ต้องซื้อจากเปอร์เซียแห่งเดียว

ระยะนั้น ทางกระทรวงการคลังเกิดขาดเงินงบประมาณซื้อฝิ่น และฝิ่นดิบก็กำลังจะหมดคลังอยู่อีกไม่เท่าไหร่ ทำยังไงจึงจะหาฝิ่นมาเข้าสต็อกได้ เงินหมด ไม่มีงบ ฯ ซื้อเข้า

ทางการก็ประชุมกันคิดหาทางแก้ไข ผลของการประชุมมีออกมาว่า จะต้องขนฝิ่นเองโดยไปหาซื้อเอาจากกลุ่มชาวเหนือที่เป็นชาวเขา ที่นั่นเป็นดงฝิ่นของพวกหากินกับฝิ่นเถื่อน หาซื้อที่นั่นราคาถูกกว่า ขนเป็นของกลางมาเข้าคลังสรรพสามิต

ขบวนการค้าฝิ่นเถื่อนในเมืองไทยนั้นมีอยู่มากมายหลายคณะ และพวกเขาก็หักล้างกันเอง เหลือแต่พวกที่มือดีจริง ๆ ที่ทำงานอยู่ได้สองสามคณะเท่านั้น แบ่งกันหากินเป็นล่ำเป็นสัน โดยไม่มีใครไปรบกวน แต่พวกนี้เขาส่งของออกนอก ไม่เอาขายกับสรรพสามิต เพื่อใช้ในโรงยา

ราคาต่างประเทศมันสูงกว่าหลายเท่า ว่ากันว่า ราคาของมันคิดเป็นจ๊อย น้ำหนักจ๊อยหนึ่งประมาณกิโลครึ่ง ตกสามร้อยกว่าบาท เมื่อไปถึงต่างประเทศ ราคามันตกเป็นสอง-สามพันบาท ฉะนั้นเขาคุยกันว่า ขนมาสิบเที่ยว ถูกจับเสียห้าเที่ยวก็ยังมีกำไรมหาศาล เขาจึงขนกับอย่างไม่กลัวอะไร จับได้จับไป หลุดมาเที่ยวเดียวก็กำไรคุ้มแล้ว

ทางสรรพสามิตให้ความเห็นกับกระทรวงการคลังว่า น่าจะไปขนฝิ่นทางเมืองเหนือเอาเองในราคาถูก ถูกกว่าเปอร์เซียหลายเท่า กระทรวงการคลังเห็นด้วย เป็นวิธีที่จะเลี่ยงจากการซื้อจากคู่สัญญาเปอร์เซียที่ขายในราคาแพง ที่ประชุมลงความเห็นว่า เมื่อจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ ก็ต้องส่งคนขึ้นไปถึงแหล่งกำเนิดของมัน คือในถิ่นชาวเขานอกประเทศเหนือสุด ให้คนฝีมือดี ๆ ขึ้นไปทำงานนี้เพื่อประเทศชาติ

ตกลงในที่ประชุมระดับสูงแล้วก็สั่งการลงมาลับ ๆ ใครล่ะจะเป็นคนทำงานชิ้นนี้ คำสั่งนี้ก็ตกตูมลงมาที่กรมตำรวจ ที่มีอธิบดีเป็นบุรุษเหล็กแห่งเอเชีย ที่ปกครองกรมตำรวจซึ่งมีสโลแกนว่า “ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ”

เมื่อคำสั่งลงมาจากทางผู้ใหญ่ มีหรือที่ท่านบุรุษเหล็ก ฯ จะปฏิเสธ ยิ่งเป็นงานที่ไม่มีใครรับทำ เพราะไม่มีกำลังคนที่จะทำงานใหญ่อย่างนี้ได้ ตำรวจไทยก็ต้องทำได้ตามสโลแกนที่ว่าไว้อย่างโอหังนั้น

เมื่อรับงานนี้มาแล้วด้วยความเป็นสุภาพบุรุษทางการเมือง ไม่มีใครรู้ สุภาพบุรุษก็รับเอง ยิ่งเป็นงานระดับชาติที่เกี่ยวกับเงินและชื่อเสียงของประเทศด้วย หารายได้เข้ากองคลังที่กำลังย่ำแย่ ท่านสุภาพบุรุษก็แอ่นออกรับงานนี้ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า มันเป็นงานใหญ่ที่ต้องทำชนิดที่ไม่ได้ชื่อเสียง มีแต่จะถูกด่าจากฝ่ายที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของความจำเป็นอันนี้

ผมถูกเรียกตัวเข้าพบอีก

“ มึงไปจัดการให้สำเร็จทีเถอะวะ เอาพวกมึงไปช่วยด้วย มึงไปจัดการเอาเอง ”

สั่งการแค่นั้นก็หมดคำสั่ง นอกจากนั้น ให้ผมไปคิดเอาเอง

เรื่องโรงยาฝิ่นนี่ผมก็เคยคลุกเคล้ากับมันมา ตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กอยู่แถว ๆ บางลำพู เป็นนักเลงอยู่แถวนั้น สมัยอายุได้สิบห้าสิบหก เคยเข้าโรงยาฝิ่นมาแล้ว เข้าชนิดนอนหนุนหมอนกระเบื้องดูดกล้องเสียด้วย แต่เรื่องต้องไปหาซื้อฝิ่นนี่ ยังไม่เคย

ผมถามไปที่สรรพสามิตว่า มีงบประมาณให้ผมเท่าไหร่ สรรพสามิตให้ถามไปทางกระทรวงการคลัง บอกว่าเขาไม่รู้เรื่องงบ ฯ มีหน้าที่เพียงคอยรับของกลางที่จับได้เท่านั้น ถามไปทางกระทรวงการคลังก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ คงจะเป็นที่รู้กันเฉพาะเบื้องสูงคือ ระดับรัฐมนตรีและสูงไปอีก

ผมก็ต้องให้เจ้านายถามไป มือขนาดผม ถ้าจะถามไปคงไม่ได้รับคำตอบชัด ๆ วันรุ่งขึ้นนายก็ให้คำตอบว่า มีงบพอสำหรับจำนวนขนาดสิบตัน แต่ต้องไปแลกเป็นทอง พวกฮ่อเจ้าของฝิ่นเขาไม่รับเงินไทย รับแต่ทองคำหนักราคาเท่าราคาฝิ่น หน้าที่นี้เป็นของเจ้าหน้าที่เฉพาะกิจของเขา จะเดินทางเมื่อไหร่ เขาก็จะเอาของที่ใช้ชำระค่าฝิ่นได้นั้นไปให้พอเพียง

งานนี้เป็นงานลับอย่างยิ่ง รู้กันเฉพาะผู้ที่ทำงานวงในเท่านั้น จะไปเมื่อไหร่ให้บอกเขา เขาจะตามไปในขบวนด้วย พร้อมทั้งปัจจัยในการซื้อขายนั้น

ผมชวนเพื่อนรักของผมไปด้วย ก็ไอ้อ้วน พันศักดิ์ นั่น และเอาตำรวจที่ไว้ใจได้ใช้งานกันสนิทไปห้าคน มีอาวุธพร้อม เผื่อมีอะไรที่ต้องแก้ไข ในดินแดนนอกเขตไทยนั้น ไว้ใจไม่ได้ว่าจะมีอะไร

ผมมีพวกงานลับฝ่ายจีนของผมอยู่ในดินแดนนั้นอยู่แล้ว ตั้งสำนักงานอยู่ในถิ่นนั้น ผมเรียกเขามาคนหนึ่ง ไม่บอกว่าจะไปทำอะไร เพียงแต่บอกว่าผมจะขึ้นเหนือ เข้าเชียงตุงไปดูสำนักงานของเราที่นั่น ให้เขาเตรียมที่ทางและคนไว้ จะเดินทางทันทีที่วิทยุไปบอก

เขาก็ขึ้นไปเตรียมการตามสั่ง ผมวิทยุบอกไปเมื่อเขาบอกว่าเรียบร้อยแล้ว จะขึ้นไปในวันรุ่งขึ้นทันที เดินทางไปเงียบ ๆ พร้อมกับพันศักดิ์และตำรวจห้าคนนั่น บินตรงไปลำปาง ต่อรถไปเชียงราย

สมัยนั้น สนามบินเชียงรายยังไม่มี จากลำปางต้องไปทางรถยนต์ ถึงเชียงรายก็เข้าแม่สายทันที คืนนั้น ผมก็เข้าแดนพม่าที่พวกฮ่อยึดครองอยู่ เข้าไปที่หน่วยของผม

ที่นั่นมีนายพลจีนคนสำคัญคอยผมอยู่แล้ว เขาเป็นหัวหน้าใหญ่ของพวกกองพล 93 คุมพวกฮ่อส่วนใหญ่ด้วย

ผมให้เขาบอกไปทางพวกฮ่อให้ขนฝิ่นดิบมาให้มากเท่าที่จะมากได้ นายทุนของผม ผมให้อยู่ที่แม่สาย ไม่อยากให้เข้าไปรู้อะไรต่ออะไรของผมในแดนเชียงตุง ผมให้ตำรวจหน่วยสันติบาลพิเศษอยู่เป็นเพื่อนเขาคนหนึ่ง จะได้ไม่ว้าเหว่และรู้สึกอบอุ่นใจ

ทางพวกฮ่อรับทราบคำสั่งแล้วก็เตรียมการกันเต็มที่ เป็นครั้งแรกที่ทางการส่งคนขึ้นมาซื้อฝิ่นชนิดที่ไม่ต้องหลบหนีเจ้าหน้าที่ปราบปราม และคนที่ถูกส่งมานั้นมีตำแหน่งเชื่อถือได้

ตกกลางคืน อากาศที่นั่นหนาวเหน็บอย่าบอกใคร เครื่องแต่งตัวที่ใส่ไปเรียกว่าหนา ๆ แล้วก็ยังสู้อากาศหนาวเย็นอย่างเจาะกระดูกไม่ได้ ผมกับพันศักดิ์นั่งนอนหนาวสั่นคอยขบวนฝิ่นอยู่กลางดงกับพวกเจ้าของฝิ่นและตำรวจที่ไปด้วย ไฟฟืนก็จุดให้แสงสว่างไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะมีใครพวกไหนอยู่ใกล้ ๆ มั่ง

นั่งคอย นอนคอย กันอยู่กลางอากาศหนาวสั่นเป็นชั่วโมง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าสัตว์และเสียงข้าวของกระทบกันแผ่ว ๆ มาตามสันเขา
เจ้าของฝิ่นบอกว่า “ มาแล้ว ” ก็ลุกขึ้นชะเง้อมองกัน

ตามสันเนินที่อยู่สูงขึ้นไปจากหัวประมาณเมตรกว่า ๆ นั่น มีขบวนล่อบรรทุกของอยู่บนหลัง เดินตรงกันมาเป็นแถวยาวเหยียด ไม่รู้กี่ตัว เป็นแถวยาวตัดกับความมืด ขนวนนั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงที่พวกผมนั่งนอนกัน ขบวนนั้นหยุดด้วยเสียงสัญญาณผิวปากของเจ้าของฝิ่นที่อยู่ข้าง ๆ ผม

ใครคนหนึ่งจุดไม้ขีดไฟขึ้นจะจุดตะเกียง ก็มีเสียงร้องเป็นภาษาจีนฮ่อ ออกมาจากคนในขบวนนั้นว่า “ ม่อเจ๋ากู้ ม่อเจ๋ากู้ ” ไฟในมือก็ดับลง

ไอ้อ้วนเพื่อนผมร้องมั่ง “ ม่อเจ๋ากู้ ” มันเป็นคนตลกยังงี้ ไม่ว่าจะอยู่ในเหตุการณ์ยังไง เมื่อไปพม่าก็ส่งภาษาพม่าจนคนขับรถพม่าหันมาคุยด้วยทีหนึ่งแล้ว นึกว่ามันพูดพม่าด้วย

เมื่อขบวนคาราวานฝิ่นหยุดทั้งขบวน ก็มีการขนถ่ายของที่พวกฮ่อบรรทุกบนหลังล่อนั้น เขาใช้วิธีบรรทุกโดยใช้คานพาดหลังล่อ ห้อยลงสองข้าง เอาของวางบนแป้นที่ห้อยสองข้างสันหลังนั้นมา ของบนหลังล่อนั้นเป็นฝิ่นอัดอยู่ในกระป๋องขนาดใหญ่ ประมาณข้างละไม่รู้กี่กิโล แต่คงจะหนักหลายกิโล ไม่ต่ำกว่าสิบ

ผมกระซิบถามชาวคณะของผมที่เป็นจีนว่า ไอ้ที่พวกนั้นพูดออกมานั่นเขาว่ายังไง เขาบอกว่ามันแปลว่า
“ อย่าจุดไฟ ”
ก็ได้ภาษาฮ่อมาคำหนึ่ง “ ม่อเจ๋ากู้ ” “ อย่าจุดไฟ ”

การขนถ่ายฝิ่นลงบนที่บรรทุกของของเราเป็นไปอย่างทุลักทุเล นานกว่าจะหมดจากหลังล่อทั้งขบวน ซึ่งราว ๆ ห้า-หกสิบตัว เป็นกองพะเนิน เจ้าของเงินจัดการจ่ายทองเป็นกระสอบให้พวกฮ่อ โดยมีตัวหัวหน้ามารับไป ได้ยินเขาส่งภาษากันง่วน ก็คงจะขอบอกขอบใจกัน แล้วขบวนคนราวานล่อหลายสิบตัวนั้นก็ทยอยกันหันหลังกลับไปในความมืด

พลพรรคของเราก็ช่วยกันลำเลียงกระป๋องฝิ่นดิบนั้นขึ้นพาหนะที่เราเตรียมเอาไว้ เคลื่อนขบวนกลับเข้าแดนของเรา มีรถบรรทุกมาคอยรับอยู่ที่ชายแดนแม่สาย ข้ามสะพานแม่น้ำสายเข้าเขตไทย จากแม่สายก็เข้าเชียงราย ผ่านลงมาเรื่อย ๆ จนถึงลำปางเอาตอนสาย ๆ เสียเวลาเดินทางทั้งคืน

ตอนที่ผ่านแม่สายและเชียงราย ก็ต้องเอาเจ้าหน้าที่จากท้องที่เขาติดตามมาด้วย

เมื่อมาถึงลำปางก็ยกกันมาที่สถานีรถไฟ ติดต่อกับนายสถานีที่นั่น ขอรถตู้สำหรับบรรทุกฝิ่นทั้งหมดนั่น แจ้งเขาว่าเป็นฝิ่นที่จับมาได้จากทางเหนือ จะเอาไปเข้าคลังกรมสรรพสามิต

นายสถานีลำปางให้ความร่วมมือด้วยดี เขาจัดรถตู้ให้สองตู้ ขนกระป๋องฝิ่นขึ้นรถเต็มทั้งสองตู้ น้ำหนักทั้งหมดก็ร่วม ๆ สิบตัน ผมจำไม่ได้ว่าหนักจริง ๆ เท่าไหร่ เพราะไม่ได้ชั่ง ไปขนมาตามคำสั่งที่ทางฝ่ายจัดการเขาเตรียมไว้ให้เท่านั้น ไม่ได้สนใจเรื่องน้ำหนัก

รถตู้สองตู้นั้น เขาจัดการพ่วงให้กับขบวนรถตู้สินค้าที่จะล่องเข้ากรุงเทพ ฯ พ่วงต่อท้ายขบวนมา ผมกับพลพรรคต้องนั่งอยู่กับรถตู้นั้น ควบคุมของด้วย ทางเจ้าหน้าที่ที่ลำปางเข้าจัดการลั่นกุญแจตีตราเรียบร้อย แกะเปิดประตูอีกไม่ได้

ขบวนรถสินค้าขบวนนั้นล่องมาถึงอุตรดิตถ์ก็เกิดปัญหา

เจ้าหน้าที่หน่วยสรรพสามิตที่นั่นรู้ข่าวเรื่องการขนฝิ่นรายนี้ได้ยังไงก็ไม่ทราบ มาดักรออยู่ที่หน้าสถานี พอขบวนมาถึงก็ตรงรี่เข้ามาที่รถตู้ท้ายขบวน ที่ใช้บรรทุกฝิ่นมา เขาถามว่าใครเป็นคนคุมขบวนมา ผมต้องแสดงตัวให้เขารู้จัก บอกว่าผมเป็นคนรับผิดชอบฝิ่นของกลางรายนี้ เขาถามว่าจะเอาไปไหน ผมตอบว่าจะเอาไปเข้าคลังกรมสรรพสามิตที่กรุงเทพ ฯ

เขาบอกว่า เขาขอเปิดตู้ เพื่อตรวจน้ำหนักที่แท้จริง

ผมบอกเขาว่า ตู้รถนี้ทางลำปางลั่นกุญแจตีตราประทับครั่งเรียบร้อยแล้ว เปิดไม่ได้ ต้องไปเปิดที่กรุงเทพ ฯ เขาบอกว่าเขามีอำนาจที่จะเปิดตรวจได้ เพราะเขารับผิดชอบในท้องที่นี้

ผมก็ยืนกรานไม่ยอมให้เปิด เพราะถ้าเกิดอะไรเสียหายขึ้น ผมต้องรับผิดชอบ สงสัยอะไรก็สอบถามไปทางลำปางก็แล้วกัน เขาไม่ยินยอม จะเปิดตู้ให้ได้ เรียกพรรคพวกอีกสองสามคน ถือเครื่องมือมาจะเปิดตู้

ผมดึงปืนออกจากซอง
“ ถ้าใครมาแตะต้องตราประทับตู้นั้น ผมยิง ”

แล้วผมก็สั่งตำรวจของผมอีกคน ให้ไปอยู่ท้ายตู้ตัวหน้า ห้ามใครไปแตะต้องตู้นั้น ถ้าใครขัดขืนให้ใช้อาวุธได้ตามความจำเป็น ตำรวจมือดีของผมสองคนลงไปตามคำสั่ง

เหตุการณ์ตอนนั้นชักจะชุลมุน หัวหน้าสรรพสามิตอุตรดิตถ์กับผมยืนประจันหน้ากัน ที่เอวเขามีปืนห้อยอยู่เหมือนกัน ถ้าเขาขยับชักออกมาก็คงมีเรื่อง เขายืนจ้องผมนิ่งอยู่ ปืนของผมยังถืออยู่ในมือ ตาจ้องตากัน

เขาหันไปส่งภาษาอังกฤษกับคนของเขา คงนึกว่าผมไม่รู้ภาษา ฟังไม่ออก เขาพูดว่า ต้องดูว่าน้ำหนักจะตรงกับใบกำกับการขนหรือเปล่า เดี๋ยวไปถึงกรุงเทพ ฯ เกิดหายไป ไว้ใจไม่ได้

ผมเกือบจะเอาปืนกระแทกหน้าเขาเข้าให้ แต่ระงับใจไว้ได้ ทำเป็นฟังไม่รู้เรื่อง ยืนจ้องหน้าเขา และกราดสายตาไปที่คนของเขาด้วย

เขาเห็นผมเอาจริงก็ยืนนิ่งกันอยู่ ในที่สุดเขาก็พูดออกมาว่า
“ ถ้ายังงั้น ผมจะติดรถไปถึงกรุงเทพ ฯ ด้วย ”

ผมเห็นว่าพอจะยอมได้ เพื่อให้เรื่องมันไม่ยืดเยื้อ การตัดสินใจเรื่องนี้ก็ต้องทำกันในเวลาอันสั้น ทางรถไฟก็จะเคลื่อนขบวน ถ้าเรื่องมันยืดเยื้อ ก็อาจจะถูกปลดตู้ที่นี่

ผมบอกเขาว่า จะติดรถไปก็ได้ แต่เขาต้องไปเพียงคนเดียว นี่เป็นการผ่อนผันกันมากที่สุดแล้ว นอกจากนี้ผมยอมไม่ได้

เขายอม เรื่องก็ยุติลงได้ ขบวนรถเคลื่อนออกไปจากที่นั่น

ผมรู้จักเจ้าหน้าที่ชั้นหัวหน้าของสรรพสามิตจังหวัดคนนั้นว่าเขาชื่ออะไร ชื่อเสียงเขาดังมากในทางจับฝิ่นเถื่อนทางภาคเหนือ เขามีน้องชายเป็นตำรวจชั้นร้อยตำรวจเอก ผมรู้จักน้องชายเขาดี เพราะเคยอยู่ในบังคับบัญชาของผมมาก่อน น้องชายก็ชื่อดังเหมือนกัน ชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในกรุงดี

เขาก็ทำตามหน้าที่ มีเหตุผลที่จะสงสัยได้ ผมก็ทำหน้าที่ของผมในขอบเขต พบกันครึ่งทางได้ก็ยังดี เรียบร้อยไปได้

เมื่อขบวนมาถึงสถานีบางซื่อ ผมก็ให้ปลดตู้บรรทุกของผมไว้ที่นั่น แล้วก็ติดต่อมาทางข้างในให้ส่งคนไปรับของ ครู่เดียวก็มีรถของสรรพสามิตมาที่สถานี เขามีคำสั่งจากข้างในพร้อมทั้งให้ดูบัตรประจำตัวของเขา ผมตรวจดูเห็นเรียบร้อยแล้ว ก็ให้เขาจัดการเปิดตู้ ถ่ายเทขนของไปได้ พร้อมทั้งเซ็นรับของไว้ไห้ผม ก็เป็นอันเสร็จเรื่อง กว่าจะเรียบร้อย ก็เกือบจะได้ประลองกำลังกัน

จะไปโทษใครก็ไม่ได้ เพราะเรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องลับ เขาจะสั่งการมาทางเจ้าหน้าที่ตรง ๆ ก็ไม่ได้ ต้องแก้ปัญหาเอาเอง ถ้าได้คนแก้ปัญหามาออก ก็คงยุ่ง แล้วเรื่องแบบนี้ ทำไมมันต้องมาลงที่ผมทุกทีก็ไม่รู้

เสร็จเรื่องแล้ว ผมก็เข้าไปรายงานเจ้านายที่วังปารุสกวัน เล่าเรื่องที่เกือบจะได้ประลองกำลังกับหัวหน้าสรรพสามิตที่อุตรดิตถ์ให้ท่านฟังด้วย

“ มึงเก่ง ” เป็นคำชมหรือแดกดันก็ไม่รู้ “ ไปพักเสียให้สบายใจได้แล้ว หายเพลียใจเมื่อไหร่ค่อยมาหากู ”

ผมโค้งลาออกมา ไม่ต้องการพูดมากกว่านั้น

พอรุ่งเช้า หนังสือพิมพ์ทั่วกรุงก็พาดหัวข่าวกันตัวโต
“ ตำรวจไทยค้าฝิ่น ”

เนื้อข่าวบรรยายยืดยาวว่า มีขบวนการขนฝิ่นจากเมืองเหนือผ่านด่านสรรพสามิตลงมาจนถึงกรุงเทพ ฯ ครื้นเครง ตัวคนคุมมาเขาก็ระบุชื่อผมออกมาชัด ๆ เนื้อข่าวนั้นบรรยายอย่างกับอยู่ในขบวนด้วย เขารู้ไปหมดว่า ฝิ่นรายนั้นมาจากไหน มีหัวหน้าสรรพสามิตจากที่ไหนตามขบวนมาด้วย

นัยว่าเป็นการควบคุมตัวผมลงมาพร้อมของกลาง เอามาส่งสรรพสามิตที่กรุงเทพ ฯ ซึ่งรู้ข่าวแล้วมาดักจับอยู่ที่สถานีบางซื่อ แต่เอาตัวผมไม่ได้ เพราะเป็นนายตำรวจใหญ่ เกรงจะมีเรื่อง

มันก็แปลกที่ผมยอมให้เอาฝิ่นของกลางไปได้ ไม่ยักขัดขวาง แต่ว่าตัวผมเขาไม่กล้าจับ กลัวมีเรื่อง แต่ของกลางผมยอมให้เขายึดเอาไปได้ ข่าวยังงี้ก็มีคนอ่านแล้วตื่นเต้นได้

ทางการเราก็ต้องนิ่งเงียบ จะไปแถลงข่าวได้ยังไง เรื่องเป็นเรื่องตายของบ้านเมืองที่จะต้องไม่ให้ทางเปอร์เซียรู้ ถ้าทางนั้นรู้เข้าก็คงเป็นเรื่องใหญ่ ไปเบี้ยวเขาดื้อ ๆ อย่างนั้น ผิดสัญญาอย่างแก้ตัวไม่ได้ ก็ต้องนิ่งเข้าไว้ ใครจะเข้าใจยังไงก็ช่าง

นี่แหละครับ ผลลัพธ์ของสุภาพบุรุษทางการเมือง

ใครต่อใครเขาได้ประโยชน์ไป สุภาพบุรุษต้องเงียบเอาไว้ ทนต่อไป

เหตุการณ์ต่อมา มันยิ่งยุ่งใหญ่

เมื่อตำรวจค้าฝิ่นได้ ทำไมทหารจะค้ามั่งไม่ได้

ต่อมาอีกไม่กี่เดือน ผมก็ถูกเจ้านายเรียกตัวเข้าพบอีก

“ เฮ้ย มีสายมาแจ้งว่า จะมีการขนฝิ่นรายใหญ่มาจากเหนือโว้ย ” เจ้านายพูดกับผม “ เขามาบอกกูว่า มันจะมาลงที่ช่องแค สระบุรีนี่เอง คราวนี้เขาบอกว่า หลายตู้รถ หนักยี่สิบตันทั้งหมด มึงไปดูทีซิวะ อย่างนี้มันต้องจับ ปล่อยไว้ไม่ได้ ”

ผมถามว่าจะมาเมื่อไร

“ เช้าพรุ่งนี้แหละ มันจะมาถึงสถานีช่องแค กูก็ไม่รู้เวลาเท่าไหร่แน่นอน มึงไปสอบเอาเอง ”

“ ทำไมสรรพสามิตเขาไม่จัดการเองล่ะครับ เราบอกไปทางเขาก็ได้ ” ผมว่าไป ชักจะเหนื่อยกับได้เรื่องพรรค์นี้เสียแล้ว

“ คนที่มาแจ้งเป็นคนของสรรพสามิตเอง เขาได้ข่าวมาแน่นอน เรื่องนี้คงเป็นเรื่องไม่ใช่เด็ก ๆ สรรพสามิตถึงต้องวิ่งเข้ามาหาเรา ไม่กล้าจับเอง ”

“ เราทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเสียบ้างไม่ได้หรือครับ ” ผมบ่ายเบี่ยงไป

“ ทำได้ยังไง คนเขามาแจ้ง เขาต้องการเงินสินบนนำจับ ทำเป็นเฉย มันก็จะหาว่าเรามีส่วนด้วย เสียชื่อตายห่า ”

“ คราวก่อน เขาก็หาว่าตำรวจค้าฝิ่นไปแล้ว ” ผมทบทวนความจำให้
“ คราวนี้ เขาจะหาว่า ตำรวจเข้าไปขัดขวางคู่แข่ง เพื่อจะค้าคนเดียวเข้าให้ก็ได้ ปล่อย ๆ มันไปมั่งไม่ได้หรือครับ ”

“ ไอ้นี้ต่อความยาว ” ทีนี้เสียงชักดุ ๆ “ มึงไปจัดการ ไม่ต้องมาชักเรื่องให้เขว ไปได้แล้ว กูจะทำงาน ไป ”

นี่คือวิธีการสั่งงานที่ห้ามไม่บ่ายเบี่ยง ผมก็ต้องออกมาจากห้อง ไปทำงานชิ้นนี้ ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากจะไปข้องเกี่ยว รู้ ๆ อยู่ว่าอะไรเป็นอะไร

หลังจากที่ข่าวตำรวจค้าฝิ่นดังออกไปทางหน้าหนังสือพิมพ์แล้ว นักเลงฝิ่นทั้งหลายก็ตื่นตัว เข้ามาฝ่ายทหาร ไปยุแยงว่าตำรวจค้าได้ ทหารทำไมอยู่เฉย ๆ เงินทั้งนั้น ปล่อยให้ตำรวจรวยฝ่ายเดียวได้ยังไง

ในเวลาต่อมาอีกไม่นาน กิจการนี้ก็เข้าไปสิงสู่ในหน่วยทหารบางหน่วยที่เห็นดีเห็นชอบไปด้วย บางหน่วย เอาฝิ่นเข้าไปเคี่ยวให้เป็นฝิ่นสุกกันในกรมกองเลยทีเดียว ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ ๆ ได้กลิ่นกันทั่วหน้า ก็เอามาพูดกัน เรื่องนี้ก็เข้าหูตำรวจ ก็ได้แต่รับรู้ จะไปทำอะไรได้

หน่วยทหารที่ไม่เอาด้วยก็มีมาก และส่วนใหญ่ พวกนี้ไม่รู้จะว่ายังไง ยังรักในศักดิ์ศรีของทหาร ไม่ยอมเข้าไปร่วมวงการด้วย พูดไม่ออก

ระดับที่มีกิจการนั้นก็ไม่ใช่ระดับย่อย ๆ หลายคน ฝ่ายตำรวจที่มีหน้าที่ปราบปรามก็ได้แต่นั่งนิ่ง ไม่รู้ข้อเท็จจริงว่า ไอ้ที่ขึ้นไปขนกันมานั้น มันเป็นเรื่องของเบื้องสูงที่พูดอะไรไม่ได้ กรรมแท้ ๆ

ผมนำกำลังของผม พร้อมทั้งรถบรรทุกสามคันขนาดใหญ่ วิ่งขึ้นไปรออยู่ที่สถานีรถไฟช่องแค สระบุรี สอบถามเวลารถเข้าที่นั่นจากทางรถไฟเรียบร้อยแล้ว ก็ขึ้นไปให้ทันเวลาก่อนรถเข้า

เมื่อไปถึงที่นั่น ก็พบว่ามีรถทหารสองคันจอดรออยู่ที่หน้าสถานี บนรถมีทหารประจำพร้อมทั้งปืนกลหนัก คันละกระบอก พร้อมที่จะปฏิบัติการถ้ามีเรื่องไม่ปกติ ทหารบนรถมองดูรถผมอย่างแปลกใจ ตำรวจของผมแต่งเครื่องแบบ รวมทั้งผมด้วย เขายังไม่รู้ว่าพวกผมมาทำไม

ผมสั่งให้นายตำรวจมือดีของผมขึ้นไปบนรถทหารคันหนึ่ง ผมขึ้นไปอีกคันหนึ่ง สั่งให้ขึ้นไปควบคุมทหารบนรถที่มีอยู่คันละสองคน ประจำอยู่หลังปืนกลหนักบนรถนั่น ผมขึ้นไปปลดเอาสายพานกระสุนออก ทำสัญญาณให้ตำรวจของผมที่ขึ้นไปบนรถอีกคันหนึ่ง ทำตามอย่างผม ทหารที่ประจำปืนทั้งสองคันนั่งตะลึง ไม่รู้จะทำอย่างไร มันคงเป็นเหตุการณ์ที่เขาไม่ได้รับคำสั่งมาว่าให้ทำยังไง อยู่นอกเหนือการปฏิบัติการที่ควรจะเป็น เขาก็ต้องยอมอยู่นิ่ง เมื่อตกอยู่ในที่บังคับอย่างนั้น

ผมไม่ได้สังเกตว่า ที่บริเวณใกล้ ๆ คันนั้น มีรถบรรทุกอยู่อีกสองคันจอดนิ่งอยู่

พอผมขึ้นไปควบคุมทหารบนรถปืนนั้น รถบรรทุกสองคันนั้นก็ติดเครื่องออกไปจากที่นั่นทันทีอย่างรีบร้อน ผมไม่มีทางที่จะติดตามไป เพราะกำลังต้องควบคุมสถานการณ์อยู่อย่างนั้น




 

Create Date : 11 เมษายน 2553
3 comments
Last Update : 12 เมษายน 2553 3:42:05 น.
Counter : 1191 Pageviews.

 

 

โดย: dekmopai 11 เมษายน 2553 20:27:08 น.  

 

ไม่เคยรู้เลยนะเนี่ย...

ขอบคุณมาก...

 

โดย: ก้นกะลา 12 เมษายน 2553 2:29:41 น.  

 

Action Thiller ขึ้นทุกวัน

 

โดย: บักบุญเถิง IP: 124.157.253.15 14 เมษายน 2553 20:44:29 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ธารน้อย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ธารน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.