|
ชัยชนะและความพ่ายแพ้ของ "บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย" (ตอนที่ 55)
โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ
ตอนที่ 55
ฆาตกรรมทางการเมือง ในยุคสมัยนั้น การต่อต้านขบวนการคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย กำลังเป็นปัญหาที่รัฐบาลถือเป็นนโยบายอันสำคัญประการหนึ่ง หน่วยสำคัญในการดำเนินการตามนโยบายอันนี้ก็คือ กรมตำรวจ ซึ่งมีกองตำรวจสันติบาลเป็นหน่วยที่ถือเอางานนี้เป็นงานหลักงานหนึ่ง ตัวผู้บังคับการตำรวจสันติบาล ซึ่งในขณะนั้นคือ พลตำรวจจัตวา รัตน์ วัฒนมหาตม์ ก็ยศเท่ากับ พันตำรวจเอกพิเศษ สมัยนี้ ท่านผู้บังคับการ ฯ รับเอางานนี้เข้ามาอย่างเต็มมือ เพราะเป็นหน้าที่โดยตรงของกอง ฯ อยู่แล้ว แต่ท่านรับมาแล้ว ก็เอามาโยนให้ผมเต็มตัก คุณทำเรื่องนี้อยู่แล้ว มีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อม รับไปก็แล้วกัน ท่านพูดอย่างนี้กับผม ผมไม่ปฏิเสธ ชอบงานอย่างนี้อยู่แล้ว และกำลังสนุกอยู่กับมัน ขณะนั้น ห้องทำงานของผมมีเครื่องมือในการหาข่าวเพียบพร้อม จากการที่อเมริกันขนเอามาให้ และอีกประการหนึ่ง ผมก็ได้ขยายห้องทำงานออกไปจนจดติดห้องท่านผู้บังคับการ ขนาดกำแพงห้องติดกันแล้ว ไม่มีที่จะขยายออกไปอีก ต้องเอาไปไว้อีกตึก ด้านหลังตึกที่ผมนั่งทำงานอยู่ ท่านผู้บังคับการท่านออกปากกับผม เมื่อถูกรุกไล่ที่จนเหลือห้องของท่านขนาดกว้างยาว 5 x 4 เมตรเท่านั้นว่า คุณไล่ผมจนเหลือแค่นี้แล้วนะ ผมถอยไปอีกก็ตกตึก พอหรือยังล่ะ ผมก็ต้องพอ เพราะถ้าขืนขยายห้องปฏิบัติการออกไปอีก ท่านผู้บังคับการก็ต้องตกตึกจริง ๆ
เด็ก ๆ ของผมมีร่วมห้าสิบคน ไม่รวมพวกที่ออกปฏิบัติงานในสนาม คือ หมายถึงพวกที่ออกไปทำงานในพื้นที่ ซึ่งมีอีกเป็นร้อย ๆ คนทั่วเมืองไทย ทั้งเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก
แผนการต้านคอมมิวนิสต์ ผมรับงานนี้ไว้ด้วยความเต็มใจ ตัวท่านอธิบดีเองก็รู้เรื่องนี้ ท่านผู้บังคับการ ฯ ไปเรียนท่านแล้วถึงเรื่องนี้ และได้รับการเห็นชอบ พร้อมกับออกคำสั่งตรงมาที่ผม เป็นการยืนยันหน้าที่ของผมอีกด้วย การวางแผนงานทั้งหมดจึงอยู่ที่ผม ท่านผู้บังคับการ ฯ ท่านบอกว่า คุณทำไปก็แล้วกัน รายงานตรงไปที่ท่านอธิบดี ไม่ต้องผ่านผม งานรูทีนทางกองนี้ ผมจะรับมาดูแลเอง งานพิเศษนี้ คุณรับไป เป็นการแบ่งงานด้วยวาจาอันฟังชัด ผมก็ต้องรับคำสั่งนั้น เรื่องการรับงานนี้นี่เอง ทำให้ผมไม่มีเวลาที่จะไปพบท่าน อ.ตร. มากนัก เพราะต้องนั่งเก็บข่าว เรียบเรียงข่าว แยกแยะคำออกข่าวออกด้วยตัวเอง เจ้าหน้าที่ของผมนั้น ผมสอนวิธีการแยกคุณค่าของข่าวให้ตามหลักวิชาการข่าวแล้วก็จริง แต่ผมก็ยังต้องมาอ่านรายงานแยกแยะคุณค่านั้นอีกที เพื่อความแน่นอน
รายงานแบบนี้ จะให้มีความผิดพลาดไม่ได้ การตรวจสอบข่าว เป็นหัวใจของงาน ถ้าผิดพลาดมันก็หมดคุณค่าทันที ปกติ ผมต้องไปพบท่านอธิบดีแทบทุกวัน หรือไม่ก็สองสามวันเป็นอย่างมาก ต้องไปพบพูดคุยให้เห็นหน้า เพื่อนผมอีกสามคนนั่น คนหนึ่งถูกส่งไปดูแลนักเรียนไทยในอเมริกาเสียแล้ว ก็เหลืออีกสอง เขามีเวลาไปพบท่านได้บ่อย ผมเอง บางทีก็ร่วมอาทิตย์ ถึงจะมีเวลาว่างย่องไปพบได้ เมื่อไปก็ไปส่งรายงานที่รวบรวม และประเมินค่าเรียบร้อยแล้วด้วย งานของข่าวนั้น รายงานมันเข้ามาเป็นแผ่น ๆ หลายแผ่น บางทีก็ร่วมร้อย มาจากแหล่งข่าวต่าง ๆ กัน จากมือคนหาข่าวในที่ต่าง ๆ กันที่วางไว้ เราก็ต้องเอามาแยกแยะ กรองข่าวนั้นให้กระชับขึ้น เมื่อแยกแยะแล้วก็ต้องประเมินค่าของข่าวว่า มีมากน้อยแค่ไหน เอามาอัดกันเข้ารวมไว้เป็นข้อความสั้น ๆ ที่บรรจุเนื้อข่าวแท้ ๆ เพื่อให้อ่านเข้าใจง่าย การรายงานขมวดท้ายอย่างนี้ ก็ต้องให้เหตุผลของการที่จะเชื่อถือข่าวได้แค่ไหนลงไปด้วย แล้ววางแผนต่อ ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป แผนของข่าว เมื่อเชื่อได้อย่างนี้ น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป ต้องวางการทำนายเหตุการณ์ และหากเกิดขึ้นตามที่ทำนายแล้ว ควรจะวางแผนแก้อย่างไร นี่เป็นรายงานการข่าวที่ครบถ้วนถูกต้องตามหลักวิชาการ ไอ้งานนี้แหละที่ทำให้ผมต้องนั่งอยู่กับมัน บางทีเป็นวัน ๆ บางวันถึงค่ำคืน กว่าจะอ่านให้เข้าใจ และค้นหาวิธีการวางแผน เวลาที่จะไปพบปะสนทนากับเจ้านาย มันก็หายาก ว่างเข้าก็อยากพักผ่อนหาที่ปล่อยอารมณ์ให้มันหายเครียด ผมกับเจ้านายทะเลาะกันบ่อยเพราะเรื่องนี้ ความจริงไม่ใช่การทะเลาะกัน เป็นแต่ทางท่านที่เล่นงานผมคนเดียว จนผมรู้สึกว่า เจ้านายชักจะเกิดความหมั่นไส้เข้าบ้างแล้ว ผมเองก็ไม่มีโอกาสที่จะอธิบายให้ท่านได้รับทราบ ไปคิดเสียว่า นายคงจะไม่เอาจริงเอาจังอะไรกับเรื่องพรรค์นี้ พูดกันเมื่อไรก็ได้ แต่... มันไม่ยังงั้น วันหนึ่ง ผมรวบรวมงานเสร็จ ถือรายงานอย่างย่อ ขนาดเป็นกระดาษสี่ห้าแผ่นไปพบที่วังปารุสกวัน เพื่อที่จะส่งรายงานสำคัญนั้นให้ทราบ มีการแยกแยะการสั่งงานไว้ในรายงานนั้นด้วย พร้อมทั้งใบเบิกเงินประจำงวดเพื่อใช้ในการหาข่าวนั้น เด็กของผมมันมาคอยรับเงินกันอยู่แล้ว ผมไปวังปารุสกวันตอนบ่ายสามโมง กะเวลาที่เจ้านายตื่นนอนพอดี ไปถึงก็เข้าไปบนตึกตามที่เคย เข้าไปถึงห้องนอน เพราะรู้ว่าท่านจะต้องตื่นขึ้นมานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในห้องนอน เซ็นงานก่อนที่จะออกมาห้องนอก ผมถึงห้องนอนก็ผลักบานประตูมุ้งลวดเข้าไป เจ้านายนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน เงยหน้าขึ้นมาเห็น ทำตาโต ตวาดออกมา ไปคอยข้างนอก ผมชะงัก ไม่เคยได้รับคำพูดอย่างนี้ ถอยออกมาอย่างไม่เข้าใจ เดินมานั่งที่เก้าอี้สำหรับผู้ที่จะเข้าพบนั่งคอย ผมนั่งคอยอยู่ที่นั่น คนที่เข้ามาพบทีหลังก็มานั่งต่อจากผมเป็นแถว นานเข้าแถวก็ยาวขึ้น ๆ ไม่มีใครกล้าเข้าไปเคาะประตู เพราะเห็นผมนั่งอยู่ตรงนั้น เขารู้ว่าธรรมดาผมก็จะเข้าไปได้ ทำไมวันนี้ถึงมานั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น ท่านคงจะยังไม่ว่าง แถวนั้นก็ยาวขึ้นทุกที ๆ ผมมองดูนาฬิกา มันจะบ่ายสี่โมงอยู่แล้ว เดี๋ยวกองคลังจะปิด จะเบิกเงินไม่ได้ ผมก็ลุกขึ้นเมื่อไม่เห็นเจ้านายเรียกสักที ผมลงมาขึ้นรถ ตรงไปที่กองคลังทันที ผมพบหัวหน้ากองคลัง พอดีกำลังเตรียมจะปิดที่ทำงาน ผมส่งใบเบิกเงินให้ หัวหน้ากองคลังเงยหน้ามองผม ทำไมไม่มีลายเซ็นท่านล่ะครับ เขาถามผม ท่านไม่ว่าง ผมว่าไป ผมเห็นจะหมดเวลาแล้ว ก็รีบมาก่อน เด็ก ๆ มันรอรับเงินอยู่ครับ แล้วผมจะเอาลายเซ็นมาให้พี่ทีหลัง หัวหน้ากองคลังคนนั้นท่านรู้จักผมดี ผมเรียกท่านว่าพี่ ท่านแก่กว่าผมมาก ท่านเชื่อผม จัดการนับเงินมาให้ครบถ้วน ผมเซ็นรับเงิน กลับออกมาขึ้นรถกลับกอง ฯ ทันที จัดการแจกเงินให้พวกเด็ก ๆ ของผมเรียบร้อยแล้ว ผมก็กลับบ้าน นานเป็นเดือนแล้วที่ผมไม่ได้กลับบ้านเร็วอย่างวันนั้น เมียผมเองก็แปลกใจที่เห็นผมกลับบ้านแต่วัน เขานึกว่าผมไม่สบาย ถึงบ้าน ผมก็สั่งปลดสายโทรศัพท์ในบ้านออกหมด สั่งไม่รับสายวันนี้ งดพูดโทรศัพท์ไม่ว่าจะเข้าหรือออก วันนั้นผมได้นอนหัวค่ำ มันจะนอนไม่หลับเอา - ผิดเวลา ตื่นเช้าขึ้นมา ก่อนเข้าห้องน้ำ ผมเสียบสายโทรศัพท์เข้าที่ จะพูดไปถามเหตุการณ์ทางกอง ฯ ว่า มีอะไรหรือเปล่าเมื่อคืนนี้ พอสายเสียบเข้าที่ เสียงกริ่งโทรศัพท์ก็เรียกลั่นขึ้นทันที ผมยกหูขึ้น ร้องฮัลโหลลงไป เ..ดแม่ เสียงฟ้าผ่าดังลั่นเข้าหู ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเสียงใคร เมื่อคืนมึงหายไปไหน กูต่อโทรศัพท์เรียกมึงตั้งแต่บ่ายยันดึก ไม่มีคนรับ หายไปไหนวะ ผมไม่ได้ไปไหนครับ ผมตอบไป นอนอยู่บ้านทั้งวัน แล้วทำไมไม่มีคนรับสาย ผมปลดสายออกครับ ผมตอบไปยังงั้น มีเสียงงึมงำเข้ามาในหูฟัง จับไม่ได้ว่าอะไร คงเป็นเสียงด่า มึงมาหากูเดี๋ยวนี้ เสียงดังฟังชัด แล้วก็มีเสียงวางหูโครม ผมเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ แต่งตัวเรียบร้อยลงมากินข้าวเช้าตามสบาย ไม่เร่งรีบ แล้วนั่งรถตรงไปวังปารุสกวัน มาถึงวังปารุสกวัน ผมเดินเข้าไปพบยามหน้าห้อง ก็ลงชื่อในสมุดเข้าพบ ให้ยามเอาเข้าไปส่งให้ท่านเพื่อขอเข้าพบ ยามมองหน้าผม หัวเราะ แล้วว่า ท่านรอง ฯ เซ็นชื่อทำไมครับ เออ.. เอาเข้าไปให้ท่านก็แล้วกัน อั๊วจะรออยู่ที่นี่ ผมบอกเขา ยามถือเอาสมุดลงนามนั้นเข้าไปในห้อง ครู่เดียวก็กลับออกมา ส่งสมุดนั้นให้ผมดุ ในสมุดนั้น ที่ชื่อผมที่เขียนไว้ตรงที่ขอเข้าพบ มีตัวหนังสือเขียนด้วยดินสอแดงตัวเบ้อเร่อสองพยางค์ เป็นกิริยาที่พ่อทำกับแม่ ผมย่องเข้าไปหน้าประตูมุ้งลวดหน้าห้อง เคาะประตูเบา ๆ ก่อนที่จะเปิดเข้าไป เจ้านายนั่งตาถลนอยู่ที่เก้าอี้ที่โต๊ะทำงาน เ..ดแม่ เป็นเสียงทักทายตามปกติ เมื่อวานนี้ มึงรีบกลับไปทำไม ผมรอไม่ได้ครับ ผมยืนกุมเป้ากางเกงตอบ กองคลังจะปิด เด็กๆ มันมารอรับเงินอยู่ ต้องรีบไปเบิกเงิน อ้าว มึงเบิกไปได้ยังไง กูยังไม่ได้เซ็น พี่อ้อน เขาจ่ายมาให้ผมก่อน พี่อ้อนคือหัวหน้ากองคลัง ชื่อเต็ม ๆ ของเขาคือ ฉะอ้อน ยศ พล ต.ต. นามสกุลผมลืมไปเสียแล้ว ว่าแล้วผมก็ส่งใบเบิกมาให้ท่าน ผมบอกเขาว่า ผมจะเอาใบเบิกมาให้ท่านเซ็น แล้วจะส่งให้เขาทีหลัง เจ้านายมองใบเบิกที่ผมวางไว้ให้ตรงหน้า พึมพำออกมาคำเดียวว่า ไอ้ห่... แล้วก็ลากเอาใบเบิกนั้นไปเซ็นชื่อ โยนกลับมาให้ผม นี่เป็นเหตุการณ์ปกติระหว่างท่าน อ.ตร. กับผม มีอะไรสนุก ๆ อย่างนี้บ่อย ๆ ผมรู้ว่า ผมรู้จักนิสัยใจคอของท่านบุรุษเหล็ก ฯ ท่านนี้พอสมควร ข้างหน้าดูเป็นคนดุ พูดจาโผงผาง เสียงดัง จนใคร ๆ เขากลัวเสียงนั้นกันทั้งนั้น มีคนโดนตวาดจนกลับไปหัวใจวายไปก็มี อย่างที่ผมเขียนไว้ตอนต้น ๆ ของของเรื่องนี้ นั่นเป็นเรื่องจริง แต่ผมมองดูธาตุแท้ของท่านแล้ว ท่านไม่ได้เป็นคนใจเหี้ยมหาญดุดันอะไรอย่างที่มองกันภายนอก ท่านเป็นคนมีเหตุมีผลพอควร แต่มันอยู่ที่ว่า ไม่มีใครกล้าเข้าไปพูดให้เหตุผลกับท่านเท่านั้น ต่างกลัวกันไปหมด
เรื่องที่สนุกกว่าก็ยังมี
โจ๊กในที่ประชุม วันหนึ่งเป็นวันประชุม อกพ. กรม ซึ่งมีประชุมเดือนละครั้ง วันนั้น ท่านผู้บังคับการ ฯ ของผมไม่ว่าง ท่านก็ให้ผมไปประชุมแทน พร้อมทั้งมอบแฟ้มเรื่องราวต่าง ๆ ให้ผมเข้าไปพูดในที่ประชุม ตัวผมนั้น ปกติก็ไปทำงานในชุดสากล ผูกเนคไท ใส่เสื้อนอก เพราะงานของผมมันเป็นงานที่ไม่ต้องใช้เครื่องแบบ ต้องไปในที่ต่าง ๆ อย่างไม่รู้ตัว ไม่มีหมายกำหนดการอย่างคนอื่นเขา ไม่ได้ใช้เครื่องแบบมานานเป็นปี จนบางครั้งแต่งเครื่องแบบจะไม่ถูกเอา ไม่รู้อะไรมันอยู่ที่ไหน
วันนั้น ผมก็ต้องขึ้นตึกกรม ฯ ไปประชุมแทนท่านผู้บังคับการ ฯ ทั้งๆ เครื่องแต่งตัวสากล ใครต่อใครในที่ประชุมเขาแต่งเครื่องแบบกันทั้งนั้น ผมเป็นคนเดียวที่อยู่ในที่ประชุมในชุดสากล
ถึงเวลาประชุม เมื่อทุกคนเข้าที่นั่งหมดแล้ว ท่าน อ.ตร. ตัวประธานของที่ประชุมก็ออกมาจากห้องซึ่งอยู่ด้านหลังห้องประชุมนั่นเอง พอออกมานั่งที่ประธาน ก็ส่ายสายตามองไปทั่ว ๆ ห้อง สายตามาหยุดอยู่ที่ผม สะดุดนิ่งอยู่ แล้วก็แผดเสียงออกมาว่า
เฮ้ย ไอ้คนนั้น ทำไมไม่แต่งเครื่องแบบ
ผมลุกขึ้นโค้งทำความเคารพ ก่อนที่จะตอบสุรเสียงนั้น
ผมมาแทนท่านผู้บังคับการ ฯ ครับ ท่านมีราชการด่วน ท่านสั่งให้ผมมาแทนท่าน ผมไม่ได้แต่งเครื่องแบบมาทำงาน ก็เลยต้องมาทั้งชุดนี้ครับ
ใคร ๆ เขาแต่งเครื่องแบบกันทั้งนั้น เสียงดังฟังชัดก้องห้องประชุม มึงหันไปดูเขามั่งซิ ไม่เรียบร้อย ไอ้นี่
ผมโค้งศีรษะอีกที แล้วก็รวบรวมแฟ้มที่กางไว้เข้าที่ หยิบแฟ้มทั้งหมดมาหนีบรักแร้ โค้งให้อีกที ทำท่าหันกลับ ดันเก้าอี้ออก
จะไปไหน เสียงตวาดลั่นมา
ไปแต่งเครื่องแบบครับ ผมตอบไป
ไอ้บ้า นั่งลง เสียงสั่งการคับห้อง
ผมนั่งลง วางแฟ้มไว้ตรงหน้า ทำไม่รู้ไม่ชี้
ท่านประธานนั่งลง ทั้งที่ตายังมองผม เขียวปัด ก่อนที่จะก้มมองที่โต๊ะตรงหน้าที่ยังว่างเปล่า
เฮ้ย เสียงลั่นมาอีก วาระการประชุมไปไหนวะ ใครเอาไปไว้ที่ไหน
ตำรวจที่จัดวาระคงมัวแต่ตกใจเสียงที่เล่นงานผม จึงลืมแฟ้มวาระการประชุมมาวางเสนอตอนนั้น สักครู่ก็มีตำรวจชั้นจ่าคนหนึ่ง เดินประคองแฟ้มอันใหญ่เข้ามาในห้อง ถืออยู่เหมือนประคองถาด ค่อย ๆ เดินไปหาท่าน อ.ตร.
มัวช้าอยู่นั่น เสียงฟ้าผ่าดังลั่นมา นัยน์ตาถลน เดินต้วมเตี้ยมอยู่ทำไมวะ
จ่าคนนั้นก็ก้าวขาออกจะวิ่ง พื้นห้องประชุมมันก็มันวับ จ่าคนนั้นก็ก้นกระแทกพื้น ลื่นไหลมากับพื้น มายันตรงหน้าโต๊ะท่านประธาน หยุดตรงหน้านั้นพอดี มือยังประคองอยู่บนแขนทั้งสองข้าง เป็นท่าส่งแฟ้มอันสวยงาม
ทั้งห้องประชุมมีสีหน้าจะหัวเราะก็ไม่เชิง ไม่กล้าส่งเสียงหัวเราะออกมา ตัวท่านประธานเองก็มีสีหน้าขัน แต่ไม่หัวเราะออกมาเท่านั้น นั่งมองจ่าคนนั้นที่ค่อย ๆ ลุกขึ้นวางแฟ้มตรงหน้า แล้วถอยออกไปอย่างระวัง ไม่ให้ก้นกระแทกเหมือนตอนขาเข้ามา
กว่าการประชุมจะเริ่มก็เป็นเวลาหลายนาที
เสร็จการประชุม ผมก็ถูกเรียกเข้าไปพบ
เย็นนี้ไปกินข้าวกับกูที่บ้าน เป็นคำสั่งสั้น ๆ แค่นั้น ไม่มีอะไรต่อท้าย แล้วก็เดินเข้าห้องไป
ผมไปกินข้าวเย็นด้วยที่บ้านเทเวศร์ตามคำสั่ง ที่โต๊ะไม่มีแขกแปลกหน้าอื่น มีแต่พี่ดม คือ คุณหญิงอุดมลักษณ์ ศรีภริยาของท่าน แล้วก็มีตำรวจเวรติดตาม มีพวกญาติอีกสองสามคน ผมนึกว่าจะมีรายการพิเศษอะไรที่สั่งให้มากินข้าวด้วย
พอเข้าโต๊ะเรียบร้อยก็เริ่มรายการ
แม่ดม ท่านเรียกคุณหญิง แล้วชี้มาที่ผม ไอ้นี่มันกระเซ้าพี่ เมื่อเช้า ในที่ประชุม ต่อหน้านายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ทั้งกรม ฯ มันก็ทำได้
เรื่องอะไรกันอีกล่ะ เจ้านายกับลูกน้องคู่นี้ มีเรื่องกันบ่อยจริง พี่ดมเงยหน้าถาม
ผมไม่ได้กระเซ้าอะไรนี่ครับ ผมตอบเสียเอง ท่านดุผมว่าไม่แต่งเครื่องแบบ ผมก็ลุกขึ้นจะกลับบ้านไปแต่งเครื่องแบบมาประชุม
เออ กูรู้ เสียงเจ้านายกระแทกกระทั้น มึงมันตีหน้าตายเก่ง กระเซ้ากูไม่เลือกที่ แล้วไอ้จ่าเวรนั่น ดันมาก้นกระแทกพื้น ไถลมาส่งแฟ้มให้กูอีก กูเลยอดขันไม่ได้ ไม่งั้นมึงถูกกูเตะต่อหน้าที่ประชุมไปแล้ว เมื่อเช้า
ท่านไม่ทำหรอกครับ ผมพูดหน้าตาเฉย ก้มหน้ากินข้าว
ดูท่ามัน ดู เสียงเดิมยังดังต่อ ดูซี แม่ดม มันน่าเตะแค่ไหน
ทีนี้พี่ดมหัวเราะ ไม่เอา กินข้าว กินข้าวกันเถอะ ทะเลาะกันอยู่ได้ คู่นี้
การกินข้าวด้วยกันก็มีรสชาติอย่างนี้ และก็ไม่ทราบว่า ท่านเจาะจงให้ผมมาร่วมโต๊ะอาหารในวันนี้เพื่ออะไร อาจจะเป็นพักนั้น ไม่ค่อยเห็นหน้าผมบ่อยนัก คิดถึงขึ้นมาพอดี ตอนที่ผมเก็บแฟ้มจะกลับบ้านไปแต่งเครื่องแบบนั่นเอง
นั่นเป็นเหตุการณ์บางตอนที่เกิดขึ้นระหว่างท่านกับผม เมื่อได้อยู่ใกล้ชิดกัน และผมบอกแล้วว่า ผมไม่ใช่คนที่ท่านรักชอบนัก เจอหน้ากันทีไรก็มักจะมีเรื่องกระเซ้าเย้าแหย่อย่างนี้ ซึ่งผมเป็นฝ่ายที่เริ่มทุกครั้ง ก็เล่นเอางานอะไรต่ออะไรมาแปะลงที่ผมคนเดียว ยังกับผมเป็นหนุมานอย่างนั้น ผมจะหาเวลาที่ไหนไปเจอะเจอได้บ่อย ๆ เหมือนคนอื่นเขา ในระหว่างที่ผมห่างเหินไปนั้น ท่านก็สั่งการเอาสารวัตรท้องที่เข้ามาเป็นนายตำรวจติดตามประจำ ผลัดเปลี่ยนกันยี่สิบสี่ชั่วโมง ก็ต้องไล่ตามกันเอาเองว่า จะไปเปลี่ยนเวรกันที่ไหน อยู่ไม่ค่อยเป็นที่ แต่พักหลังนี่มักจะนอนที่กรมตำรวจเป็นส่วนมาก บ้านที่ซอยราชครูเพิ่งเริ่มสร้าง ทางบ้านเทเวศร์ก็ยกให้ใครไปแล้ว หรือจะขายใครไป ผมก็ไม่ได้ติดตามข่าว ที่ทางซอยราชครูนั้น ทราบว่าซื้อได้ในราคาถูก พวกญาติพีน้องทางด้านคุณหญิงอุดมลักษณ์ก็พากันไปซื้อแบ่งกัน เป็นการรวมครอบครัวญาติพี่น้องที่ชอบนั้น เป็นกลุ่มก้อน ไม่ต้องตระเวนไปเที่ยวตามหากันอีก
การที่ท่านเอาสารวัตรท้องที่มาเข้าเวรติดตามนั้น ก็มีเหตุผลที่ว่า จะได้คุยกับพวกสารวัตรท้องที่ดูบ้างว่ามีเหตุขัดข้องอะไรทางท้องที่ และต้องการอะไรบ้างเพื่อให้งานเดิน เพราะตำรวจท้องที่นั้น เขาทำงานกัน 24 ชั่วโมงต่อวัน ไม่มีวันพัก การติดต่อกับราษฎรในท้องที่ จะปิดที่ทำอย่างงานอื่นเขาไม่ได้ ต้องเปิดสำหรับการแจ้งความร้องทุกข์ตลอดเวลา และอีกประการหนึ่ง จะได้รู้จักสารวัตรนครบาลได้ทั่วถึง ได้ฟังความคิดเห็นของแต่ละคนไปด้วย ฟังได้ว่าสารวัตรคนไหนมีสมรรถนะเพียงใด
นอกจากเอาพวกสารวัตรท้องที่มาเข้าเวรติดตามแล้ว ก็ยังจัดเวรยามตำรวจชั้นผู้ใหญ่ให้มานอนที่ตึกกรมตำรวจอีกวันละหนึ่งท่าน ไปจัดเวรกันเอาอง ซึ่งเป็นเรื่องของทางเลขานุการกรม ฯ ไปจัดเวร เพราะมีรายชื่อนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่อยู่ในมือพร้อม นายตำรวจเวรชั้นผู้ใหญ่นี้ เอาตั้งแต่ชั้นผู้กำกับการขึ้นไป
การเอาสารวัตรท้องที่เข้าเวรติดตามนั้นเผื่อว่าระหว่างนั่งรถไปตามท้องถนน ไปเจอเอาเหตุการณ์เข้า ก็จะได้ให้ลงไปจัดการ ตำรวจนั่งหน้ารถชั้นประทวนมีเป็นประจำอยู่แล้ว ใช้ระงับเหตุได้ทันท่วงทีเมื่อบังเอิญไปเจอเข้า ขบวนการติดตามของท่านอธิบดีไม่มีอะไรมาก ไม่มีรถนำ ไม่มีรถตามให้เป็นที่สังเกต
สมัยเมื่อเสร็จเหตุการณ์กบฏแมนฮัตตันใหม่ ๆ นั่น ก็ต้องมีรถติดตามบ้าง เป็นรถจี๊ปมีกำลังคนพร้อมอาวุธ หน้าสอง หลังสาม รวมทั้งคนขับ ไว้สำหรับปะทะกับฝ่ายกำลังตรงข้าม ทีอาจจะแอบลอบทำร้าย ระหว่างเดินทางไหนมาไหน เมื่อเหตุการณ์คลี่คลายลงแล้ว ขบวนปิดท้ายก็เลิกไป
พวกผมจะถูกเรียกตัวเข้าร่วมขบวนก็ต่อเมื่อมีอะไรที่สำคัญ ๆ เช่น จะไปประชุมกับฝ่ายทหาร หรือไปงานเลี้ยงที่มีบุคคลหลายฝ่ายร่วม เช่น การเลี้ยงรับรองทางราชการที่เชิญแขกเหรื่อ เป็นงานใหญ่ ไม่รู้ใครเป็นใคร หรืองานที่รวมเอาคณะบุคคลหลายฝ่ายมาร่วม เป็นต้น
งานประเภทนี้ก็จะเรียกตัวใครคนใดคนหนึ่งในพวกผมสี่คนให้ติดตามไปด้วย แต่เมื่อพ่ออรรณพเขาถูกส่งไปอเมริกาแล้ว ก็เหลือสามคนที่ต้องรับหน้าที่นี้เป็นครั้งคราว
Create Date : 29 มีนาคม 2553 |
Last Update : 29 มีนาคม 2553 2:56:28 น. |
|
3 comments
|
Counter : 950 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ก้นกะลา วันที่: 29 มีนาคม 2553 เวลา:3:57:02 น. |
|
|
|
โดย: ศรชัย IP: 112.142.117.236 วันที่: 29 มีนาคม 2553 เวลา:7:21:37 น. |
|
|
|
โดย: thanitsita วันที่: 29 มีนาคม 2553 เวลา:18:24:33 น. |
|
|
|
| |
|
|