13 ปีกับบุรุษเหล็กแห่งเอเชีย (ตอนที่ 2)
โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ
ตอนที่ 2
เวลาผ่านไปอีก พรรคพวกของผมยังรวมตัวกันอยู่ที่กองตรวจนครบาล ส่วนผมนั้นแยกออกมากินตำแหน่งสารวัตร แล้วก็ย้ายเร่ร่อนเข้าไปอยู่ในสันติบาลแต่ผู้เดียว การติดต่อกับพรรคพวกชักจะห่าง ๆ กันไป ต่างคนต่างก็มีงานของตัว นาน ๆ ครั้งจึงจะป่าวร้องกันไปกินเหล้ากินข้าวด้วยกันเสียที กันลืม ตอนนั้นผมเป็นร้อยตำรวจเอกแล้ว ดาวกำลังหนักบ่า
แล้ววันสำคัญก็มาถึง ๙ พฤศจิกายน ๒๔๙๐
ผมจำได้ว่าวันนั้นดูเหมือนจะเป็นวันเสาร์ และเป็นวันที่มีลีลาศที่สวนอัมพร เป็นงานของสายปัญญาสมาคม
คืนนั้น ผมอยู่ในงานนั้นด้วยกับเพื่อนฝูงอีกหลายคน ทั้งชายและหญิง เพื่อนฝูงพวกนี้ไม่ใช่พวกตำรวจ ตอนนั้นผมเป็นนักเที่ยวกลางคืน พวกกลุ่มนี้เป็นพวกนักเที่ยวประเภทเดียวกัน ผมมีผู้หญิงที่ผมพาไปด้วยสองคน และพวกนั้นเขาก็มีของเขาไป เราอยู่รวมกันโต๊ะใหญ่พอดู
คุณหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น เป็นประธานงาน ท่านนั่งเอ้เตอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่แถวหน้าติดฟลอร์ ห้อมล้อมด้วยผู้คนมากมาย ล้วนแต่เป็นกรรมการของงาน ติดโบว์กันพรึ่บพรั่บไปหมด
งานกำลังสนุก ตอนนั้นสักสามทุ่มกว่าเห็นจะได้ ผมกำลังเต้นรำอยู่กลางฟลอร์ ผมเห็นใครคนหนึ่งก้าวเท้าสวบ ๆ ไปหาคุณหลวงธำรง ฯ แล้วก้มลงกระซิบอะไรที่หูท่านนายก ฯ ผมเห็นท่านพยักหน้าหงึก ๆ
ผมหมุนตัวตามจังหวะเพลงกลับมาอีกที คุณหลวงธำรง ฯ หายไปแล้ว ผมก็ยังไม่เฉลียวใจ พอเพลงจบผมก็กลับมาที่โต๊ะ กำลังจะวางแก้วเหล้าที่เพิ่งยกขึ้นดื่มลงบนโต๊ะ ผมก็ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมที่ทางด้านหน้าของบริเวณสวนอัมพร ฟังเหมือนรถตีนตะขาบบดมาบนถนนโรยกรวด แล้วเสียงนั้นก็มาหยุดลงตรงหน้าทางขึ้นเวที สักครู่ก็มีนายทหารหนุ่ม ๆ คนหนึ่งแต่งเครื่องแบบ มองดูยศไม่ถนัด ก้าวฉับ ๆ ขึ้นมา เสียงสเปอร์ลั่นกริ๊ง ๆ ตามจังหวะก้าว มีทหารถืออาวุธตามขึ้นมาสองสามคน
นายทหารผู้นั้นก้าวสวบ ๆ ไปที่คุณหลวงธำรง ฯ นั่งอยู่เมื่อตะกี้ เขาชะงัก มองดูที่นั่งที่ว่างเปล่าด้วยความผิดหวัง หันไปพูดกับผู้ที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ นั้นประเดี๋ยวหนึ่ง ก็ขย่มสเปอร์กรุ๊งกริ๊งกลับออกไป
ผมรู้จักนายทหารผู้นั้นดี เขาชื่อ ชาติชาย ชุณหะวัน
ผู้คนในบริเวณงานยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ดนตรีก็ยังคงบรรเลงต่อไปอย่างเดิม เสียงรถตีนตะขาบบดถนนกลับออกไป ผู้คนก็ยังเต้นรำกันสบาย
ผมบอกกับตัวเองว่า เอาเข้าแล้ว
ผมลุกขึ้น ล้วงเงินในกระเป๋าเท่าที่มีอยู่ส่งให้พรรคพวกที่อยู่ใกล้ ๆ
เอานี่ไว้เป็นค่าเหล้า แล้วฝากเอาสองคนนี่ไปส่งบ้านด้วย ผมหมายถึงผู้หญิงสองคนที่ผมพามา ผมมีธุระด่วนเสียแล้ว ต้องรีบไป
พรรคพวกทั้งโต๊ะมองมาที่ผม แต่ผมไม่รอฟังเสียง ขณะที่เขากำลังส่งเสียงถามกันเอะอะอยู่นั้น ผมก็ผละออกมาจากที่นั่นทันที ผู้หญิงสองคนขยับจะลุกตามมาแต่ไม่ทัน ผมถึงทางลงเสียแล้ว และไปถึงรถไม่รอช้า บึ่งออกไปทันที ผมไม่ได้พบผู้หญิงสองคนนั้นอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น
ผมบึ่งรถมายังที่นัดหมาย คือบริเวณเมรุวัดเทพศิรินทร์ ตามที่พี่เชื้อ ฯ นัดหมายไว้ ในรถผมมีอาวุธพร้อมอยู่แล้วตลอดเวลา ผมมาถึงที่นัดหมายในเวลาไม่กี่นาที ยังไม่มีวี่แววของใครที่นั่น ผมขับรถวนรอบ ๆ ก็ไม่เห็นมีรถของใครอื่นอยู่แถวนั้น ผมจอดรถอยู่ในความมืดข้าง ๆ เมรุ แล้วผิวปากตามสัญญาณที่เรารู้กันหลาย ๆ ครั้ง
เงียบ ไม่มีเสียงตอบ
ผมส่งสัญญาณอีกหลาย ๆ ครั้ง ก็ไม่มีเสียงตอบ
เอ๊ะ นี่มันยังไงกัน
ผมจอดรถรออยู่อย่างนั้นอีกร่วมครึ่งชั่วโมง ก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครมา ดีไม่ดี ผีจะมาแทน
ผมหันไปมองทางเมรุซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ชักจะไม่ดี ผมก็เลยขับรถออกจากที่นั่น เฉี่ยวไปที่กองตรวจก่อน เพราะอยู่ใกล้ ๆ ... เงียบ ...? ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร ผมบึ่งไปที่สันติบาล ก็เงียบอีก ไม่รู้จะไปไหนอีกแล้ว ผมก็กลับบ้าน
ผมมาทราบทีหลังว่า เขาเปลี่ยนแผนกันใหม่ ไปรวมกันที่บ้านคุณหลวงสังวร ฯ ผู้รักษาการณ์ในตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจในขณะนั้น เขาไม่ยักบอกผม
หรือเขาคิดว่าผมเป็นฝ่ายตรงกันข้ามไปเสียแล้วก็ไม่รู้
ผมตื่นขึ้นมาด้วยมองเมียสะกิด มันเพิ่งจะมีแสงสว่างราง ๆ เท่านั้น ผมหันไปดูเขา ดูว่าปลุกขึ้นมาทำไม
พี่ ทหารล้อมบ้านเรา เสียงเมียผมพูดสั่น ๆ
ผมผวาลุกขึ้นจากที่นอน คว้าเอ็มทรีคู่ชีพที่วางไว้บนหัวนอน แล้วพุ่งตัวมาชะเง้อที่หน้าต่าง ตอนนั้น บ้านผมเป็นบ้านเช่าอยู่ในซอยประสานมิตร ลึกเข้าไปถึงวิทยาลัยครู และบ้านอยู่ริมทาง
ผมเห็นแถวทหารขยายกันเต็มพรืดไปหมดข้างรั้วบ้าน มีนายทหารชั้นร้อยเอกคนหนึ่งนำหน้าเข้ามา กำลังขยับตัวเข้ามาอย่างช้า ๆ มาที่ประตูบ้าน
เขาจะมาจับผมหรือยังไง
ผมกระชับเอ็มทรีในมือ พอดีร้อยเอกผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมาเห็นผม
มาหาใครครับ ผมร้องถามลงไป
เขายกมือตะเบ๊ะแล้วว่า บ้านคุณทอง กัณทาธรรม อยู่หลังไหนครับ
เท่านั้น ผมก็โล่งอก
บ้านของคุณทองอยู่หลังบ้านผมและอยู่ติด ๆ กันกับบ้านคุณสพรั่ง เทพหัสดินทร์ ทั้งคู่เป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลของคุณหลวงธำรง ฯ ผมจำไม่ได้ว่าใครอยู่กระทรวงไหน
อยู่ข้างหลังครับ ผมชี้ทิศให้เขา
ขอบคุณครับ ร้อยเอกผู้นั้นตะเบ๊ะอีกที ผมขออนุญาตผ่านบ้านหน่อย
สุภาพน่ารัก
เชิญเลยครับ ผมรีบอนุญาต
ขบวนทหารทั้งแถวจึงผ่านบ้านผมไปหาบ้านท่านรัฐมนตรีสองท่านนั้น
ผมได้ข่าวภายหลังว่าทั้งสองท่านเผ่นหนีไปแล้ว ไม่มีตัวอยู่ที่บ้าน เช้านั้น ผมมาทำงานตามปกติ จึงได้ข่าวรายละเอียดของเมื่อคืนว่า พรรคพวกของผมเขาเปลี่ยนแผนไปชุมนุมกันที่บ้านคุณหลวงสังวรณ์ ฯ ซึ่งรักษาการณ์อธิบดีกรมตำรวจอยู่ขณะนั้น เขารู้เหมือนกันว่าคณะรัฐประหารจะทำงานในคืนวันนั้น เขากะจะทำการจับกุมอยู่เหมือนกันในตอนดึกดื่นวันนั้น
ไม่มีใครแจ้งการเปลี่ยนแปลงอันนี้ให้ผมทราบ ผมเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ไปชุมนุมกับเขา ดันผ่าไปวัดเทพ ฯ ตามแผนเดิม ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า ทำไมเขาจึงไม่ให้ผมทราบด้วย เขาคงเห็นผมเป็นพวกรัฐประหารไปเสียแล้ว คงจะไอ้เรื่องที่ผมไปเล่าเรื่องที่ถูกชวนให้เขาฟังนั่นเอง
ผมไม่ได้ถามใครทั้งนั้นถึงเรื่องนี้ และไม่ได้สอบถามถึงการเปลี่ยนแปลงอันนี้กับใคร แม้แต่พี่เชื้อ ฯ และผมก็ไปได้ข่าวมาอีกว่าคุณหลวงสังวร ฯ ไม่ทันได้นำกำลังไปจับใคร เพราะคณะปฏิวัติชิงทำงานเสียก่อนกำหนดจับ ท่านต้องเผ่นหนีไปคืนนั้น ท่านปรีดี ฯ ก็เกือบจะหนีออกไปจากทำเนียบท่าช้างไปไม่ทัน สรุปแล้ว บุคคลสำคัญของรัฐบาลขณะนั้น หลบหนีไปได้หมด
ผมนึกถึงภาพคุณหลวงธำรง ฯ ที่ผมเห็นที่สวนอัมพรเมื่อคืนนี้ ถ้าไม่ไวก็เสร็จ เพราะระยะเวลาที่มีคนมากระซิบแล้วท่านหายไป กับเวลาที่นายทหารหนุ่มผู้นั้นนำกำลังมา ผมว่ามันห่างกันไม่เกินสิบนาที
รัฐประหาร ๙ พ.ย. ๙๐ ครั้งนั้นเป็นการทำรัฐประหารที่ง่ายดายมาก มันสำเร็จชั่วเวลาไม่กี่ชั่วโมง ทุกสิ่งก็อยู่ในความควบคุมหมด ทุกองค์การของรัฐไม่มีใครกระตุกกระติกไปในทางต่อต้าน
Create Date : 23 เมษายน 2553 |
Last Update : 23 เมษายน 2553 4:21:26 น. |
|
2 comments
|
Counter : 2037 Pageviews. |
|
|
|
ขอบคุณมากๆ...