ชัยชนะและความพ่ายแพ้ของ "บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย" (ตอนที่ 8)
ชัยชนะและความพ่ายแพ้ของ "บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย " โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ
ตอนที่ 8
ถอดลูกเลื่อนปืนคณะรัฐประหาร
การรัฐประหารครั้งนั้นสำเร็จลงอย่างง่ายดาย ทั้ง ๆ ที่มีกองกำลังเพียงกองพันเดียว รถเกาะ รถถังก็มีไม่กี่คัน มิหนำซ้ำ ขบวนทหารที่ยกกันขึ้นรถบรรทุกไปจับท่านปรีดี ฯ ที่ท่าช้าง ก็มีอาวุธปืนเล็กยาวเท่านั้น และปืนที่ถือไปนั้นไม่มีลูกเลื่อนสักกระบอกเดียว ไม่รู้จะยิงได้ยังไง ถ้าหากเกิดมีการขัดขืนต่อสู้กันขึ้น
การที่บรรดาทหารถือปืนเล็กยาวบนรถบรรทุกที่จะไปจับท่านปรีดี ฯ เป็นปืนที่ไม่มีลูกเลื่อนนั้น ก็เพราะเมื่อขบวนนั้นมาถึงแยกถนนราชดำเนินหน้าพระบรมรูปทรงม้า จะเลี้ยวเข้าถนนราชดำเนินนอก มุ่งหน้าไปตามถนนราชดำเนิน ไปยังบ้านท่านปรีดี ฯ ที่ท่าช้างนั้น ก็ไปเจอเอารถเก๋งสีดำขนาดใหญ่คันหนึ่ง ขวางหน้าอยู่ตรงทางแยกจะเข้าถนนราชดำเนินพอดี รถคันนั้นจอดขวางอยู่เฉย ๆ เหมือนกับรู้ว่าจะมีหน่วยทหารคณะรัฐประหารบรรทุกกันผ่านมาทางนั้น
ผู้บังคับรถบรรทุกทหารคณะนั้นชื่อ พันโทละม้าย อุทยานานนท์ ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 3 บางซื่อ นำทหารจะไปจับท่านปรีดี ฯ
พอเลี้ยวรถจะเข้าถนนราชดำเนิน ก็เจอรถเก๋งคันใหญ่สีดำนั้นขวางอยู่ เจ้าของรถเปิดประตูรถเก๋งคันใหญ่นั้นลงมา
ใครคุมกำลังมา เสียงดังฟังชัดของเจ้าของรถดังขึ้น กระผมเองครับ ผู้ควบคุมกำลังโดดลงมาจากรถ ทำความเคารพ รายงาน ตัวตรง อ้อ ไอ้ตาแดง ท่านเจ้าของรถกระแทกเสียงออกมา จะไปไหน ไปบ้านท่านปรีดี ฯ ครับ ให้ทหารถอดลูกเลื่อนปืนออกให้หมดทุกกระบอก เสียงเจ้าของรถเก๋งสั่ง ผู้ควบคุมกำลังยืนนิ่ง กำลังงงกับคำสั่งนั้น ยืนนิ่งอยู่ทำไมวะ เสียงตวาดออกมา สั่งให้ทหารถอดลูกเลื่อนปืนออกทุกกระบอก ครับผม เสียงผู้คุมกำลังตอบรับ แล้วหันไปสั่งทหารบนรถ "ถอดลูกเลื่อนปืนออกทุกคน เสียงลูกเลื่อนปืนถูกถอดดังกรุ๋งกริ๋กลั่นบนรถ ทหารทุกคนยืนถือลูกเลื่อนอยู่ในมือ ส่งลูกเลื่อนปืนมานี่ เสียงดังฟังชัดของเจ้าของรถสั่งการ แล้วลูกเลื่อนปืนทุกกระบอกก็เข้าไปอยู่ในรถของท่านเจ้าของรถเก๋งคันดำใหญ่นั่นหมดเรียบร้อย ไปได้ เป็นคำสั่งของเจ้าของรถ ก่อนที่ท่านจะกลับไปที่รถ เปิดประตูขึ้นรถ แล้วรถคันนั้นก็ออกไปจากที่นั่นอย่างไม่เอาใจใส่กับอะไร
กำลังทหารที่ถือปืนเล็กยาวไม่มีลูกเลื่อนทั้งคันรถนั้นก็วิ่งออกไปจุดมุ่งหมาย เคราะห์ดีที่ฝ่ายที่จะโดนจับหนีออกไปทางท่าน้ำเสียก่อน ถ้าเกิดอยู่และมีการต่อต้านขึ้น ก็ไม่ทราบว่า หน่วยทหารที่ยกไปนั้นจะทำยังไง
ท่านเจ้าของรถเก๋งดำคันใหญ่นั้นคือ คุณหลวงอดุลเดชจรัส ผู้บัญชาการทหารบก และผู้คุมกำลังที่ถูกเรียกว่า ไอ้ตาแดง นั้นก็คือ พันโทละม้าย อุทยานานนท์ ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 3 กำลังส่วนหนึ่งของคณะรัฐประหารผู้มีนัยน์ตาแดงด้วยฤทธิ์สุราตลอดวัน เป็นฉายาประจำตัวที่รู้กันในหมู่พรรคพวกเพื่อนฝูง
การปฏิวัติ หรือที่เรียกกันว่า รัฐประหาร ครั้งนั้นก็สำเร็จลงอย่างง่ายดาย โดยไม่มีการเสียกำลังทั้งสองฝ่าย
หัวหน้าคณะรัฐประหาร เมื่อออกอากาศประกาศการยึดอำนาจได้แล้วนั้น ชื่อว่า พลโท ผิน ชุณหะวัน ไม่มีใครรู้จัก อยู่ ๆ ก็มีชื่อเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร ท่านเป็นนายทหารนอกราชการ บุคคลในคณะรัฐประหาร เมื่อประกาศชื่อออกมา ก็ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ส่วนมากเป็นนายทหารนอกประจำการทั้งนั้น แต่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยอมรับ
ความเบื่อหน่ายของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลขณะนั้นมีมากมายที่ก่อตัวขึ้นเป็นเงื่อนไขร้อยแปดที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยน แปลงทางการเมือง ฉะนั้น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ประชาชนก็ยอมรับทันที
คณะรัฐประหารไม่ได้วางตัวบุคคลในคณะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี กลับไปเชิญบุคคลนอกมานั่งแทน บุคคลท่านนั้นคือ นายควง อภัยวงศ์ และให้นายควง ตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นมาเอง
ทางด้านกองทัพ ตัวท่านผู้บัญชาการทหารยังคงอยู่ในตำแหน่ง คณะรัฐประหารไม่ได้แตะต้องท่าน ยังคงให้ท่านอยู่ในตำแหน่งต่อไป ทั้งผู้บัญชาการอีกสองเหล่าทัพ คือ เรือ และอากาศ ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตัว เรียกว่า คณะรัฐประหารกระทำครั้งนี้มิได้หวังตำแหน่งอะไร
ในคณะรัฐประหาร เมื่อประกาศชื่อออกมานั้น มีพันเอก เผ่า ศรียานนท์ ร่วมอยู่ด้วย ท่านผู้นี้มีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อยู่ ไม่ได้มีกำลังทหารอยู่ในปกครองเลยสักคน
รัฐมนตรีต่าง ๆ ที่ท่านนายก ฯ ควง แต่งตั้งขึ้นนั้น ก็ตั้งขึ้นตามความพอใจของท่านนายก ฯ ควง โดยไม่มีอำนาจภายนอกมาบีบบังคับ คณะรัฐประหารไม่ได้เข้าไปยุ่งด้วย ปล่อยให้เป็นอิสระของหัวหน้ารัฐ ฯ ที่จะตกลงใจเอง
นั่นคือความผิดพลาดอย่างแรงของคณะรัฐประหาร ที่ทำงานใหญ่สำเร็จแล้วกลับปล่อยให้อำนาจในการปกครองไปอยู่ในมือคนอื่น ซึ่งเป็นภัยอย่างยิ่งสำหรับตัวเอง เป็นการผิดหลักในการปฏิวัติอย่างมหันต์ คณะรัฐประหารอาจจะคิดว่าเมื่อบ้านเมืองเดือดร้อน พวกเราก็ลุกขึ้นมาแก้ไขให้ เมื่อแก้ไขสำเร็จแล้วก็ควรจะปล่อยมือ โดยไม่ได้หวังลาภ ยศ สรรเสริญ แต่อย่างใด เป็นการแสดงความบริสุทธิ์อย่างสุภาพบุรุษ
การเมือง สงคราม ความรัก ไม่มีคำว่า สุภาพบุรุษ คำพังเพยอันนี้เขาว่าไว้นานมาแล้ว ในสนามแห่งการต่อสู้ทั้งสามสนามนั้น ถ้าใครเป็นสุภาพบุรุษก็จะมีแต่ความพ่ายแพ้
แล้วก็จริงอย่างว่า เมื่อนาย ควง อภัยวงศ์ ตั้งคณะรัฐบาลลงตัวแล้ว อำนาจต่าง ๆ ในทางปกครองก็ตกอยู่กับคณะบุคคลของท่านนายก ฯ ควง ฯ อำนาจนั้นก็ชักจะหันมาเล่นงานคณะรัฐประหารเพื่อที่รัฐบาลจะได้รักษาอำนาจไว้ได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ในกำมือ นี่ก็เป็นธรรมดาของผู้ที่ได้อำนาจ ก็จะต้องหาวิธีที่จะรักษาอำนาจนั้นเอาไว้ เป็นเรื่องที่นักการเมืองที่แท้จริงจะต้องกระทำ คณะรัฐประหารไม่ใช่นักการเมือง สัจธรรมข้อนี้ไม่ได้อยู่ในความคิดมาก่อน บุคคลในคณะรัฐประหารไม่เคยเป็นนักการเมืองมาก่อน จึงไม่ได้นึกถึงสัจธรรมข้อนี้
เมื่อมาค่อย ๆ รู้สึกตัว ก็คิดจะเข้ามามีส่วนคุมอำนาจบ้าง พันเอก เผ่า ศรียานนท์ หนึ่งในคณะรัฐประหาร เข้าไปพบท่านรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย หลวงสินาดโยธารักษ์ ยศตอนนั้นดูเหมือนจะเป็น พลโท ... ผมจำไม่ถนัด
พันเอก เผ่า ฯ เข้าพบท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยด้วยตนเอง ไปขอตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งในกรมตำรวจ เพื่อที่จะได้ดูแลสถานการณ์ทางการเมืองบ้าง เป็นหูเป็นตาแทนคณะรัฐประหาร
คำตอบที่ได้รับจากท่านรัฐมนตรี ฯ ก็คือ คนอย่างคุณ เป็นแค่พลตำรวจก็ยังไม่ได้
คำตอบนั้นทำเอาพันเอก เผ่า ฯ ต้องกลับออกมาจากท่านรัฐมนตรีมหาดไทยอย่างหมดศักดิ์ศรี อับอายไปทั่วพารา เพราะหนังสือพิมพ์เอาคำพูดของท่านรัฐมนตรี ฯ ประโยคนี้ออกประกาศทราบในหน้ากระดาษทุกฉบับ ยิ่งกว่าเป็นการตบหน้าอย่างแรง
อีกไม่กี่วันต่อมา หลังจากที่ได้รับผรุสวาทอย่างไม่เกรงอกเกรงใจจากท่านรัฐมนตรีมหาดไทยครานั้น ก็มีนายทหารคณะรัฐประหารสี่ท่าน เดินอาด ๆ เข้าไปในบ้านท่านนายก ฯ ควง ขอให้ลาออกจากตำแหน่งเสียดี ๆ โดยไม่ต้องให้เหตุผล
ท่านนายก ฯ ควง นั้นท่านว่าง่าย เมื่อเรียกฉันให้มาเป็น ฉันก็มา ให้ฉันลาออก ฉันก็ไป จะปรึกษาท่านผู้บัญชาการทหารบก ท่านก็ทำเฉย ท่านนายก ฯ ควง จึงต้องกราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งนายก ฯ แต่โดยดี
เมื่อนายกรัฐมนตรีลาออก รัฐมนตรีทั้งคณะก็ต้องกราบถวายบังคมลาตามไปด้วยทั้งคณะ ก็ไม่รู้ว่า ทั้งนี้เป็นเพราะคำพูดอันไม่มีบันยะบันยังของท่านรัฐมนตรีมหาดไทยครั้งนั้นหรือเปล่า
Create Date : 21 มกราคม 2553 |
Last Update : 21 มกราคม 2553 1:10:36 น. |
|
4 comments
|
Counter : 1312 Pageviews. |
|
|
|