จงให้ความสำคัญต่อสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าสิ่งที่ถูกใจ
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
9 ตุลาคม 2553
 
All Blogs
 
เหล็กละลาย (ตอนที่ 44)

โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ

ตอนที่ 44

เราพยายามที่จะขออนุญาตรัฐบาล นำศพของท่านมาเผาที่เมืองไทย ทีแรกรัฐบาลที่มีท่าน จอมพล สฤษด์ ฯ เป็นนายก ฯ ทำท่าจะอนุญาต ทีนี้ทางโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพรานรู้ข่าวเข้า ก็นัดหมายกันที่จะไปรับศพท่านเวลาที่มาถึงเมืองไทย ข่าวนี้เข้าถึงหูท่านจอมพล ก็เลยมีคำสั่งไม่อนุมัติให้นำศพเข้าเมืองไทย

ตอนที่ทางสหประชาชาติให้มีการประชุมเกี่ยวกับประเทศลาว เกี่ยวกับสถานภาพว่าจะให้ลาวมีฐานะเป็นกลาง หรือจะแบ่งประเทศออกเป็นสองส่วน และแยกการปกครองกันไประหว่างฝ่ายลาวแดง กับฝ่ายลาวขาว ประเทศไทยก็มีส่วนร่วมเข้าประชุมด้วย ส่งบุคคลสำคัญ ๆ หลายท่านไปเป็นคณะร่วมประชุม สถานที่ประชุมคือ ตึกสหประชาชาติที่กรุงเจนีวา ผมก็ได้มีโอกาสต้อนรับคณะผู้แทนไทยอีก

หนึ่งในคณะผู้แทนไทยมี พลโท วัลลภ โรจนวิสุทธิ์ ซึ่งเป็นเจ้ากรมทหารบกขณะนั้น ไปร่วมในคณะด้วย ท่านผู้นี้รู้จักสนิทสนมกับผมดี เพราะเมื่อผมยังอยู่เมืองไทย เราเคยร่วมกันทำงานในด้านการข่าว ผมเรียกท่านว่า พี่เอี๋ยน

พี่เอี๋ยนตรงมาเยี่ยมพวกเราทันทีที่เท้าเหยียบเจนีวา แสดงความจำนงที่จะกราบศพท่าน เพราะเคยเคารพนับถือกันมาแต่เก่าก่อน ผมก็พาไปที่สุสานในวันที่เรานำอาหารไปเยี่ยมศพตามปกติ พี่เอี๋ยนไปถึงที่เก็บศพ ก็ได้เห็นใบหน้าของท่านจากช่องกระจกที่บนโลง ผมกระเซ้าพี่เอี๋ยน

“ เห็นหน้าชัดไหมล่ะ พี่เอี๋ยน ตายแน่ นอนอยู่ในนั้น ”

“ เฮ้ย อั๊วไม่ได้มาสืบโว้ย มาเคารพศพ ” พี่เอี๋ยนพูด หัวเราะไปด้วย

ตอนนั้น พี่เอี๋ยนเปรียบเหมือนมือขวาของท่านจอมพล สฤษดิ์ ฯ อาจจะใช้ให้มาดูให้แน่ก็ได้ เป็นคนที่เข้านอก ออกในบ้านท่านจอมพล สฤษดิ์ ฯ ได้ทุกเมื่อ

ถึงตอนเรียกให้ทานอาหาร ก็ต้องเคาะฝาโลงเป็นการเรียก ผมก็ให้พี่เอี๋ยนเป็นคนเคาะ จะได้บอกท่านด้วยว่า พี่เอี๋ยนมาเยี่ยม พี่เอี๋ยนก็เข้าไปเคาะฝาโลง

“ พี่เผ่า ผมมากราบ ออกมาทานข้าวเหอะ ”

แล้วเราก็มานั่งที่โต๊ะ ซึ่งจัดเป็นที่วางอาหาร แล้วก็จุดธูปอันเชิญอีกที ธูปไหม้ไฟไปสักครู่ พอขี้ธูปออกมายาว ก็ค่อย ๆ โน้มไปทางเก้าอี้ที่พี่เอี๋ยนนั่ง ไม่ยักตกเป็นขี้เถ้าลงมา

“ พี่เอี๋ยน ท่านคุยด้วยแน่ะ ” ผมชี้ให้พี่เอี๋ยนดูขี้ธูปที่โน้มไปหา

“ สบายดีหรือ พี่เผ่า ” พี่เอี๋ยนรับบทเล่นด้วย

ช้อนที่วางอยู่บนจานข้าวดี ๆ หล่นลงมาจากจานได้ยังไงก็ไม่รู้ ลงมาอยู่ที่ข้างจาน

“ เฮ้ย ” พี่เอี๋ยนสดุ้ง “ เอากูเข้าแล้ว ไม่เอาแล้วโว้ย กลับเหอะ ”

“ เดี๋ยวก่อนซี พี่เอี๋ยน รอให้อิ่มเสียก่อน ” ผมว่า

“ ลื้อรู้ได้ยังไงวะว่า เมื่อไรจะอิ่ม ” พี่เอี๋ยนว่า กระถดตัวออกไปห่าง ๆ

“ พอช้อนกลับเข้าไปอยู่ในจานเมื่อไร ก็อิ่มเมื่อนั่นแหละครับ ” ผมต่อเรื่อง

“ ช้อนกลับขึ้นมาบนจานเมื่อไร กูก็เผ่นเท่านั้น ” พี่เอี๋ยนกอดอก กระถดออกไปอีก

นั่งรอเวลาอยู่ครู่ใหญ่ ผมก็เก็บสำรับ ทำพิธีลาสำรับ แล้วก็ขนของกลับ ถ้าช้อนกระดกกลับขึ้นจานได้ตอนนั้น ก็คงสนุก

พี่เอี๋ยนไม่ยอมไปเยี่ยมศพท่านอีกเลยจากวันนั้น วันที่จะกลับเมืองไทยก็ยังไม่ยอมไปลา

“ เดี๋ยวคว้าคอกู ไม่เอาแล้ว ” พี่เอี๋ยนคงจะกลัวจริง ๆ

การประชุมเสร็จสิ้นแล้ว พี่เอี๋ยนและคณะก็กลับ ก่อนกลับ พี่เอี๋ยนรับปากรับคำว่า จะไปเจรจาให้ท่านจอมพล สฤษดิ์ ฯ ยอมอนุญาตให้นำศพเข้าเมืองไทยให้ได้ รวมทั้งจะเจรจาให้พวกผมได้กลับเมืองไทยด้วย

การเจรจาของพี่เอี๋ยนไม่สำเร็จ ท่านจอมพล สฤษดิ์ ฯ ยืนกรานไม่ยอมทั้งนั้น ก็ไม่รู้ว่ากลัวอะไร

ลงท้าย เราก็ต้องทำพิธีเผาศพท่านที่มุมานในนครเจนีวานั่นเอง จะทิ้งศพไว้นานไปก็เสียเงินเปล่า ๆ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสนำศพเข้าเมืองไทยได้เมื่อไร

ทีแรก เราคิดว่า เจนีวานี่ จะเผาศพกันยังไง เพราะพวกที่นับถือศาสนาคริสต์เขาไม่เผากัน เขาใชัวิธีฝัง แต่ที่เจนีวานี่ ศาสนาคริสต์มีสองนิกาย โรมันคาธอลิค และโปรเตสแต้นต์

โรมันคาธอลิคใช้ฝัง ส่วนโปรเตสแต้นต์นั้น มีพิธีเผา ผมก็เพิ่งจะทราบตอนนั้นว่า ที่สุสานนั่น เขามีที่เผาศพเหมือนกัน


เรามอบให้บริษัทที่จัดการเรื่องศพ ไปจัดการให้อีก

ที่เผาศพของที่นี่โอ่อ่าอีกเหมือนกัน เขามีห้องกว้างเหมือนในโบสถ์ มีแท่นสำหรับวางศพอยู่ตรงเบื้องหน้า มีแถวเก้าอี้ยาวสำหรับให้คนที่มาร่วมพิธีนั่ง แท่นที่วางศพนั้น ไม่ใช่เอาศพออกมาวางไว้โจ่งแจ้ง เขามีที่บรรจุศพเป็นหินอ่อน ตั้งเป็นแท่นขึ้นไป ภายในหินอ่อนนั้นเป็นที่บรรจุโลงศพที่จะเผา อยู่ข้างในแท่นที่ทำเป็นรูปโลงเป็นหินอ่อนนั้น เจ้าหน้าที่เขาจะเอาโลงศพที่จะเผา ไปไว้ภายในแท่นหินอ่อนนั้นก่อน เบื้องล่างของแท่นนี้ เขาทำเป็นโพรงลงไปยังเตาเผา ซึ่งอยู่ข้างล่าง สำหรับชะลอศพลงไปจากแท่นข้างบนตรงเข้าเตาเผาเลยทีเดียว

เมื่อเจ้าหน้าที่เตรียมการเสร็จ เขาก็มาบอกเรา พวกเราและแขกเหรื่อที่มาร่วมพิธี ซึ่งทางบริษัทที่จัดการเรื่องนี้เขาจะหาเชิญมาให้เอง ไม่ให้ดูโหรงเหรงเกินไป ก็จะเข้าไปนั่งที่ม้านั่งยาว ตรงหน้าแท่นนั้น

เขาจะเอาพระโปรเตสแตนต์มาสวดให้ เราไม่เอา เพราะไม่มีพระสงฆ์ของเรา เราก็จะนั่งสงบกันอยู่สักขณะหนึ่ง เมื่อสมควรแก่เวลาแล้ว เราก็พยักหน้าให้เขาจัดการเรื่องเผา

เราเข้าไปนั่งสงบอารมณ์อยู่ในห้องนั้นพอสมควร แล้วก็พยักหน้าให้สัญญาณ ตอนนั้นเรายังไม่ทราบว่าเครื่องมือของเขาเป็นอย่างไร ก็นั่งคอยที่จะให้เขามาเปิดแท่นหินอ่อนที่ใส่โลงศพไว้นั้น เพื่อเอาโลงศพออกมาจัดการนำเราไปยังที่เผา คอยอยู่เท่าไร ๆ ก็ไม่เห็นมีใครเข้ามาเปิดแท่นเอาโลงออก ประเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงดังหึ่ง ๆ อยู่ข้างล่าง ใต้พื้นที่เรานั่ง ไม่รู้ว่าเป็นเสียงอะไร นั่งคอยกันอยู่อย่างนั้นชักจะบ่นว่า ไม่เห็นมีใครมาทำอะไร

นั่งกันอยู่อย่างกระสับกระส่าย พร้อมทั้งบ่นกันไปด้วย สักยี่สิบนาทีเห็นจะได้ เสียงหึ่ง ๆ นั้นก็เงียบไป ครู่ใหญ่ ๆ เจ้าหน้าที่ของสุสานก็เข้ามาในห้อง เชิญพวกเราลงไปข้างล่าง เราก็ถามเขาว่า เมื่อไรจะเอาศพไปเผา

เขายิ้ม แล้วบอกว่า เผาเสร็จแล้ว เชิญลงไปเก็บกระดูกและเถ้าถ่านข้างล่าง เราก็เดินตามเขาไปอย่างงง ๆ

ที่ห้องข้างล่างซึ่งกว้างขวางใหญ่โตเหมือนกัน มีโต๊ะเล็ก ๆ ตั้งอยู่ เขาพาเราไปที่โต๊ะนั้น บนโต๊ะ เขาจัดการวางกระดูกไว้เรียบร้อย เป็นส่วนต่าง ๆของร่างกาย กระดูกบางส่วนที่เผาไหม้ไปก็ไม่มีให้เห็น ที่ยังไม่ไหม้ก็จัดวางไว้ตามตำแหน่งแห่งที่ของร่างกาย แขนขา หน้าอก ศีรษะ อยู่กลางกองขี้เถ้า ให้เราเลือกเก็บเอา ถามเขาว่าเผาอย่างไร เราไม่รู้ตัว เขาก็อธิบายให้ฟังอย่างที่เขียนมาข้างต้น และนำเราไปดูที่เตาเผาซึ่งอยู่ใต้แท่นเบื้องบนนั้น และว่าเมื่อเราพยักหน้า เขาก็ชะลอโลงมาทั้งโลงเข้าไปในเตานี้ แล้วจุดไฟด้วยกำลังไฟฟ้าไม่รู้กี่พันโวลต์ ด้วยความร้อนแรงเป็นพัน ๆ องศา เพียงสิบนาทีกว่า ๆ ก็เผาไหม้หมดแล้ว แล้วเขาก็โกยเอาส่วนที่ยังเหลืออยู่ออกมา ใช้ความเย็นเป่า พอความร้อนลดลงแล้ว ก็เอาออกมาจัดให้อย่างที่เราเห็นอยู่นี้

มีการโศกเศร้าอาลัยกันอีกพักใหญ่ ก่อนที่จะเก็บกระดูกกันคนละชิ้นสองชิ้นไว้เป็นที่เคารพบูชา ส่วนที่เหลือละเถ้าถ่านนั้น พี่ดมให้ห่อผ้าเอาไปหมด

พิธีการเกี่ยวกับศพเสร็จเรียบร้อยลงไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่จะต้องยุ่งยากอีก เรื่องที่ทางที่จะใช้เช่าเป็นที่เก็บศพก็บอกคืนเขาไป ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้อีกต่อไปแล้ว

ภาระต่าง ๆ ของผมก็หมดสิ้นลง

พี่ดมเตรียมตัวกลับเมืองไทย และบอกขายแฟลตที่ “ แมซอง รัวยาล ” โดยมีทนายความประจำตัวเป็นผู้จัดการให้ ส่วนบ้านที่พวกผมอยู่กันนั้นก็ยังไม่ทำอะไร ปล่อยให้เป็นที่พักอาศัยของพวกผมต่อไป

เรามันยังกลับเมืองไทยกันไม่ได้ มีคดีติดตัวที่ทางฝ่ายบ้านเมืองเขาจัดไว้ให้คนละสองคดีเท่า ๆ กัน ไม่รู้ว่าเขาจัดกันยังไง คดีที่ผมถูกต้องหา มันเกิดขึ้นในระหว่างที่ผมยังอยู่ที่อังกฤษก็มี หลับหูหลับตายัดคดีใส่กันดื้อ ๆ ยังงั้นเอง

นี่แหละครับ ฝีมือตำรวจไทยสมัยนั้น ผู้มีอำนาจเขาสั่งการลงมาให้ทำ ก็ทำกันไป ไม่ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีของตนเอง หลายคนในคณะกรรมการสอบสวนยุคนั้นเป็นถึงนายพลใหญ่ ๆ ก็ได้ยศมาเพราะความเอาใจผู้ใหญ่ที่มีอำนาจขณะนั้น กรมตำรวจถึงได้ตกอับมาจนบัดนี้

พวกนายพลโหลเหล่านั้นตายไปแล้ว อย่าให้เอ่ยชื่อเลย ผมเคยถามพวกนายตำรวจชั้นเด็ก ๆ ที่ร่วมเป็นมือสอบสวน เขาเล่าให้ฟังว่า บางคดีความที่ไม่มีพยานมาสอบสวน เขาเอาคนทรงมาเข้าทรงเอาก็มี แล้วถามจ้าวที่มาเข้าทรงว่า นักการเมืองคนนั้นตายอย่างไร แล้วเขาก็มาหาพยานเท็จเขียนคำให้การตามที่จ้าวบอกให้ลงชื่อเอา แล้วก็จับเด็ก ๆ ที่เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผมไปเข้าคุก คนมันไม่ได้ทำอะไรอย่างที่ถูกกล่าวหา มันก็กลุ้มใจ ไปตายในคุกก็มี

บาปกรรมอันนี้แหละที่ตามมาสนองพวกนายพลเหล่านั้น บางคนขับรถกลับจากไปหาเมียน้อยมา รถชนตึกแถว ตายคารถไปก็มี ไอ้ที่มีชีวิตอยู่จนถึงป่านนี้ เจอกันที่ไหนก็เป็นต้องหลบหน้า เพราะเคยเจอกันแล้วเข้ามาทักทายผม ผมก็ให้กล้วยไปกินก็มี ทีนี้พอเห็นหน้าก็หลบ เพราะไม่แน่ใจว่าผมจะให้อะไรอีก

พี่ดมกลับเมืองไทยไปแล้ว ผมก็ยังอยู่ต่อไปกับพันศักดิ์ ผมเตรียมเรื่องการศึกษาของเด็ก ๆ ไว้ เพราะคิดว่าอีกหน่อยก็จะต้องแยกย้ายกันไปแน่

ลูกชายคนเล็กของผม มีเพื่อนที่พ่อเป็นนักสอนศาสนาอยู่ที่เจนีวา ลูกชายของเขารักกันมากกับลูกชายของผม พ่อของเด็กอเมริกันคนนั้นเรียกลูกชายของผมว่าลูกเหมือนกัน ผมก็เลยยกให้ไปอยู่ด้วยกันเมื่อตอนครอบครัวนี้กลับ Swarthmore, Ohio สหรัฐอเมริกา เสียค่ากินอยู่และค่าเล่าเรียนถูกหน่อย เรียกว่าได้เรียนอเมริกาด้วยราคาถูก

ต่อมา พันศักดิ์ก็เตรียมการอพยพครอบครัวกลับเมืองไทย เขาติดต่อเพื่อนฝูงให้ช่วยเหลือทางด้านคดีได้ เขาไปอเมริกาก่อน จัดการเรื่องการให้ลูกทั้งสามคนของเขาเข้าเรียนที่อเมริกา ฐานะของเขานั้นดีกว่าผมมาก

ส่วนผมนั้นข้อหามันหนัก ต้องรอให้พ้นอายุความ ไม่มีใครช่วยได้ ผมก็ต้องอยู่ตามลำพังกับลูกเมีย ลูกสาวคนโตเรียนจบเลขานุการ ได้ภาษาดี ผมก็ให้เขากลับไปเมืองไทยกับแม่เขาก่อน จะได้พอไปหางานทำได้ แล้วเขาก็ได้งานที่ดี ด้วยความที่รู้ภาษาฝรั่งเศสชนิดอ่านออก เขียนได้ และพูดคล่อง ซึ่งขณะนั้นยังหาคนเก่งทางภาษาฝรั่งเศสไม่ได้ง่าย ๆ นัก ทางสมาคมหอการค้าฝรั่งเศส-ไทย และต่อมาบริษัทเชลล์ ประเทศไทย และบริษัทการบินฝรั่งเศสก็รับจะให้ทำงานทันที เรียกว่า ไม่ได้ตกงาน วิจัยฝุ่นแต่อย่างใด

พอส่งลูกชายไปอเมริกาคนหนึ่ง และกลับเมืองไทยกับแม่เขาอีกคนหนึ่ง ผมก็อยู่ต่อกับลูกสาวคนที่สอง ผมมีภาระเรื่องการเรียนของลูกสาวคนนี้อีกคนเดียว

เราอยู่ด้วยกับสองคนพ่อลูกจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๗ เขาเรียนจบ High School สอบได้ Baccalaureat ด้านปรัชญา ของฝรั่งเศส ซึ่งมีคนไทยน้อยมากที่สอบได้ในตอนนั้น หลังจากได้เรียนที่ International School of Geneva ที่ท่านทูตคุณหลวงวิจิตรวาทการได้เคยจัดการให้เข้าเรียนทั้งสามคน

ผมก็ให้เขาไปอยู่กับครอบครัวของเพื่อนรักของเขาที่เจนีวาพักหนึ่ง ก่อนที่จะไปเช่าหอพักอยู่เอง และสอบเข้ามหาวิทยาลัยในฝรั่งเศส

คนนี้เขาชอบเรื่องวาดรูปและเลข ผมแนะให้เขาเรียนทางการโฆษณา แต่เขาขอเรียนสถาปัต ฯ ผมก็เลยติดต่อฝากฝังไว้กับคุณชายชยธวัช ศรีธวัช ซึ่งเป็นผู้ดูแลนักเรียนไทยในฝรั่งเศสตอนนั้น และเป็นเพื่อนรักของหลานชายของพี่ดมคนหนึ่ง คุณชายก็ช่วยหาหอพักให้ที่เมือง Grenoble ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส และมี Ecole des Beaux-Arts มหาวิทยาลัยสอนศิลปกรรมและสถาปัต ฯ ที่มีชื่อเสียง ค่าเรียนถูกมาก เพราะฝรั่งเศสช่วยออกให้นักเรียนที่เรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐบาล คนต่างชาติก็สามารถเข้าเรียนได้ ถ้าสามารถสอบเข้าไปได้และได้รับสิทธิเหมือนคนฝรั่งเศส

ค่าเล่าเรียนถูกก็จริง แต่ค่าอุปกรณ์การเรียน ค่าเช่าหอพัก ค่ากิน และค่าเดินทาง ก็ต้องจ่ายกันบ้าง เงินทองที่ใช้จ่ายอยู่นั้น ก็ได้มาจากการขายที่ดินที่ยังพอมีอยู่บ้างในเมืองไทย เพื่อส่งไปให้ทางอเมริกาที่ลูกชายคนเล็กยังเรียนด้านการตลาด และเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัย Swarthmore College ที่ Ohio อยู่อีกด้วย

ที่ทางเหล่านั้น ผมไม่ได้แสวงหามาเอง ในระหว่างที่ยังรับราชการอยู่หรอกครับ เป็นสมบัติที่พ่อทิ้งไว้ให้ แปดไร่ แถวพระโขนง พ่อผมซื้อไว้ให้ตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กอยู่ แปดไร่ สองพันหกร้อยบาท สมัยโน้น ราคาเท่านี้จริง ๆ ครับ

ถ้าไม่ได้ที่ดินผืนนี้ ผมก็คงจะอดตาย ก็บอกแล้วไงว่า ตอนถูกให้ออกจากเมืองไทย มีเงินสดให้เมียไว้ใช้แค่สามพันบาท มีอยู่เท่านั้นเองทั้งเนื้อทั้งตัว

แบ่งที่ขายไปจนเหลืออยู่เพียงสองไร่ครึ่งที่ยังพอเอามาปลูกบ้านอยู่ เมื่อคดีหมดอายุความ และกลับมาเมืองไทย ไอ้ที่ผืนนี้ก็ยังไม่รู้ว่า มันจะอยู่กับผมได้อีกนานเท่าไร

ผมทิ้งเงินไว้ในแบงค์ที่เจนีวา ให้เขาจัดการส่งเป็นรายเดือนไปให้ลูกชายที่อเมริกา และให้ลูกสาวที่ฝรั่งเศส ลูกสองคนนี่เขาเป็นฝาแฝดกัน ชายคน หญิงคน ก็เป็นอันหมดกังวล




Create Date : 09 ตุลาคม 2553
Last Update : 9 ตุลาคม 2553 5:04:41 น. 1 comments
Counter : 809 Pageviews.

 


โดย: ก้นกะลา วันที่: 10 ตุลาคม 2553 เวลา:2:33:45 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ธารน้อย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ธารน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.