ชัยชนะและความพ่ายแพ้ของ "บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย" (ตอนที่ 29)
โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ
ตอนที่ 29
ตำรวจพลร่ม
กำลังทางฝ่ายตำรวจนั้น ท่านผู้ช่วย ฯ เผ่า ฯ เริ่มก่อตั้งหน่วยพิเศษขึ้นมา เพื่อการปราบปรามทั้งทางคดีอาญา และทางการเมือง ได้ตั้งหน่วยรถเกราะทั้งใหญ่และเล็ก หน่วยพลร่ม หน่วยตระเวนชายแดน หน่วยตำรวจน้ำ และหน่วยตำรวจบิน เรียกว่า พร้อมทั้งบก เรือ และอากาศ พวกที่เรียกกันเข้ามาตามคำสั่งครั้งหลังนี้ ก็ตกมีตำแหน่งอยู่ในหน่วยต่าง ๆ นี้ด้วย นายท่านต้องการให้พวกนี้ได้มีหน้าที่เข้าไปดูแลหน่วยที่ตั้งขึ้นใหม่นี้ให้ทั่วถึง เป็นหูเป็นตาแทนท่าน
ผมก็ต้องมีตำแหน่งประจำหน่วยตำรวจรถเกราะ ตระเวนชายแดน พลร่ม หน่วยบิน เข้าไปมีชื่ออยู่ในหน่วยนั้น ๆ ในตำแหน่งประจำกอง นอกเสียจากหน่วยตำรวจน้ำเท่านั้นที่ไปเอานายทหารเรือจากกองทัพเรือมาคุม พวกผมขับเรือไม่เป็น (นอกจากเรือเครื่องติดท้าย) เลยไม่ต้องไปประจำหน่วยตำรวจน้ำ แต่หน่วยตำรวจร่ม ก็ต้องไปมีชื่ออยู่ที่นั่นด้วย เรื่องตำรวจร่มนี้ ผู้ที่ประจำอยู่ในหน่วยนี้ ก็ต้องไปฝึกโดดร่มด้วย หน่วยนี้ตั้งอยู่ที่ลพบุรี หน่วยแรกที่ชื่อว่า หน่วยเอราวัณ ขณะนั้นผู้ที่ถูกเรียกมาติดตามมีอยู่ไม่กี่คน ก็ต้องถูกส่งไปฝึกโดดร่มที่ลพบุรี เพราะมีชื่ออยู่ในหน่วยนี้ ผมเองนั้น ความจริงก็อยากไปฝึกโดดร่มกับเขาเหมือนกัน รออยู่แต่ว่าเมื่อไหร่เจ้านายจะสั่งให้ไป รออยู่เท่าไหร่ ๆ ก็ไม่มีคำสั่งออกมาเสียที ใครต่อใครเขาไปฝึกกันที่นั่นจนเป็นหน่วยใหญ่ขึ้นมา ใหญ่พอที่จะออกทำงานได้ ก็ยังไม่ถูกสั่งให้ไปฝึก ความที่อยากฝึก ผมก็เข้าไปหาเจ้านาย ถามว่า เมื่อไหร่จะถึงคิวผมเสียที
มึงอยากไปนักเหรอ เจ้านายถาม อยากไปลองดูมั่งครับ คงสนุกดี ผมตอบไปยังงั้น เดี๋ยวร่มไม่กาง ตกลงมาตายห่า ก็ยังไม่เห็นมีใครเป็นยังงั้นนี่ครับ อย่าเสือก นั่นเป็นคำตอบสั้น ผมก็เลยไม่ได้ไปฝึกโดดร่ม
หน่วยพลร่มนี้ขยายตัวออกไปอีกกว้างขวาง จนเป็นที่เลื่องลือของหลายฝ่าย มีเจ้าหน้าที่ของหน่วยร่มอเมริกันมาช่วยฝึกด้วย โดยความช่วยเหลือของอเมริกันที่ส่งมาโดยตรง เพื่อฝึกร่วมกับกรมตำรวจโดยเฉพาะ หน่วยนี้มาจากหน่วย OSS ของอเมริกัน ซึ่งเป็นหน่วยที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องงานลับทางด้านการข่าว ย่อมาจาก Office of Strategic Service ก็หน่วยจารกรรมดี ๆ เอง
ตำรวจรถถัง
ตอนที่รถเกราะรุ่นแรกมาถึงท่าเรือ East Asiatic ที่ถนนตก พวกผมก็ต้องไปเป็นคนขับรถเกราะเหล่านั้นเข้าวังปารุสกวัน เจ้านายเรียกตัวไปสั่ง ให้ไปกับฝรั่งที่เอารถเกราะเข้ามา ให้มันสอนวิธีขับให้
พวกมึงต้องขับเป็น ท่านว่า อยู่หน่วยนี้ ขับรถเกราะไม่เป็นได้ยังไง
ผมทั้งสี่คน มี พันศักดิ์ วิชิต อรรณพ และผม ก็ต้องไปตามสั่ง
ไปถึงที่ท่า East Asiatic เขากำลังลำเลียงรถเกราะลงมาจากเรือหลายคัน ทั้งใหญ่และเล็ก มีตำรวจหน่วยนี้ไปรอรับหลายคน เพื่อขับรถพวกนี้เข้าที่ตั้ง ผมยืนดูรถพวกนี้อยู่ด้วยความสนใจ จะขับมันยังไง ?
ไอ้รถคันใหญ่นี่มันใหญ่จริง ๆ ขนาดสิบกว่าตัน เกราะหนา มีป้อมปืนอยู่เหนือเกราะ ยังไม่มีปืนติด ต้องมาหาปืนติดเอาเอง ทางบริษัทขายให้แต่ตัวรถ ไม่มีปืน
พอรถทั้งหมดรุ่นแรกสักสิบกว่าคัน ลงมาจากเรือหมดเรียบร้อยแล้ว ฝรั่งคนฝึกก็บอกให้เข้าประจำที่ เปิดประตูรถทางด้านตัวถังออก ให้ขึ้นไปนั่ง
ผมชะโงกเข้าไปดูข้างใน ก็เห็นมีที่นั่งอยู่สองที่ในนั้น ที่คนขับอยู่ทางด้านซ้าย ด้านทางที่ยืนอยู่พอดี ฝรั่งดันให้เข้าไปนั่ง ผมก็เข้าไปนั่ง มองดูเครื่องเคราในรถแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรมาก ที่เท้ามีคันกระเดื่องสองอัน ที่ขวามือมีคันคล้ายคันเกียร์อยู่อันหนึ่ง อีกอันหนึ่งดูคล้าย ๆ คันเบรก
ฝรั่งชะโงกเข้าไปถามว่า เคยขับรถเกราะหรือเปล่า ผมบอกว่าไม่เคย มันร้องออกมาเบา ๆ เป็นเสียงอุทานแบบฝรั่ง แล้วจะขับไปได้ยังไง ขับได้ซิ ผมว่า ยูบอกมาซีว่า ไอ้โด่ ๆ สองอันข้าง ๆ นี่อะไร เป็นเกียร์อันหนึ่ง มันชี้ที่คันใกล้ตัว อันโน้นเป็นเบรก แล้วที่ตีนนี่ล่ะ ผมถามมัน อันด้านซ้ายเป็นคันเร่ง อันทางขวาเป็นเบรกตีน สตาร์ทยังไง ผมถามมันอีก มันชี้ไปที่ปุ่มเล็กตรงหน้า กดตรงนั้น แล้วเหยียบคันเร่ง มันว่า ระวังดูให้เกียร์อยู่ในตำแหน่งที่ว่างก่อน
ผมก้มลงดูที่เกียร์ มันอยู่ที่ตำแหน่งว่าง ก็เอื้อมมือไปกดที่ปุ่มนั้น เสียงมันครางเบา ๆ ผมขยับเข้าที่คันเร่ง สักครู่เครื่องก็ติด เสียงดังกระหึ่ม
แล้วถอยหลังล่ะ ผมถามมันอีก ดึงเกียร์มาข้างหลังก็ถอยหลัง ผลักไปข้างหน้าก็เดินหน้า มันตอบ มีสองเกียร์เท่านั้น ใช่หรือเปล่า เดินหน้ากับถอยหลัง มันพยักหน้า เกียร์อันนี้เป็นเกียร์ Automatic จะเปลี่ยนเองตามความเร็วของรถ เมื่อเดินหน้า เอาละ เข้าใจแล้ว ว่าแล้วผมก็ปิดประตูรถ สตาร์ทเครื่อง เอาตีนเหยียบเบรกไว้ก่อนที่จะโยกคันเกียร์เดินหน้า มันก็เหมือนกับขับรถ Automatic ธรรมดา ๆ ไม่ผิดอะไรกัน
ผมโยกเกียร์เดินหน้า แล้วค่อย ๆ ปล่อยเบรก เร่งน้ำมันทีละน้อย รถก็เริ่มขยับเดินหน้าช้า ๆ ตรงหน้าเป็นช่องมองเล็ก ๆ ที่เปิดออกกว้างได้ ผมผลักช่องมองนั้นออกไปกว้าง มองเห็นถนนข้างหน้าชัดดี รถค่อย ๆ เคลื่อนออกไปช้า ๆ ผมบังคับพวงมาลัยให้ค่อย ๆ เลี้ยว พวงมาลัยนี่ก็คง Automatic เหมือนกัน ผมเห็นมีปุ่มอยู่ที่คันพวงมาลัยใกล้ ๆ มือ ลองผลักมันดูเบา ๆ ก็รู้สึกว่าพวงมาลัยหลวมได้ ผมผลักมันกลับที่เก่า พวงมาลัยก็ผืดลง ใช้ได้ ผมออกรถมาด้วยความเร็วช้า ๆ
ถนนตรงหน้าทางออกเป็นทางออกประตูท่าเรือ ผมเร่งเครื่องเบา ๆ พารถออกมาถึงหน้าประตู กดปุ่มพวงมาลัยให้หลวม เลี้ยวผ่านประตูออกถนนใหญ่ พอหน้าหม้อรถออกมาพ้นประตู พวกรถราที่วิ่งผ่านมาทางนั้นต่างก็เบรคหยุดกันเป็นแถว เมื่อเห็นรถรูปร่างใหญ่โตมีเหล็กหุ้มโผล่ออกมา เสียงดังกึง ๆ ผู้คนแถวนั้นออกมายืนดูด้วยความประหลาดใจ
ผมค่อย ๆ เร่งเครื่องเมื่อเลี้ยวออกสู่ถนนใหญ่ ซึ่งก็ค่อนข้างจะคับแคบ อยู่แล้ว ถนนตกสมัยนั้นเป็นถนนที่ไม่กว้างนัก รถเกราะคันเดียวก็แทบ คับถนนอยู่แล้ว และผมก็เข้าใจว่า ที่ตามหลังผมมาก็คงจะตามกันเป็นแถวมาอีกหลายคัน รถงวดแรกนั้นมีราว ๆ สิบกว่าคัน
ขบวนรถเกราะทั้งขบวนผ่านถนนต่าง ๆ มาถึงวังปารุสกวันด้วยความเรียบร้อย ผมขับนำเข้าไปที่เก็บที่อยู่ด้านหลังของวัง ซึ่งกำหนดให้เป็นที่ตั้งหน่วย รถทั้งสิบกว่าคันนั้นเข้าแถวเรียงรายกันอยู่ในที่เก็บ ผมลงมาจากรถ ดูความเรียบร้อย ได้รับรายงานว่า มีคันหนึ่ง ขับไปเฉี่ยวเอาสามล้อคันหนึ่งพังพาบไปคาถนน ดีแต่ไม่มีคนโดยสาร และไม่มีใครบาดเจ็บ เพียงแต่เฉี่ยว ๆ เฉียด ๆ ไปเท่านั้น คนขับโดดลงทัน เมื่อรถสามล้อทำท่าเอียง ๆ แล้วค่อย ๆ พับลงกับพื้นถนน
เมื่อรถเกราะเฉี่ยวผ่านไปแล้ว รถทั้งขบวนไม่ได้หยุดให้ความช่วยเหลืออะไร เพียงแต่รับทราบง่าเกิดอะไรขึ้น พลขับรถเกราะคันนั้นปรากฏว่าเป็นนายตำรวจที่เรียกเข้ามาประจำหน่วยใหม่ไม่กี่วัน เพิ่งหัดขับวันนั้นเหมือนกับผม
วันหลังก็ส่งคนออกไปสืบว่า รถสามล้อที่ถูกชนนั้นเป็นใคร จึงได้ความและรู้ตัวเจ้าของ ทางเจ้านายก็ได้เชิญตัวมารับค่าเสียหายไปเป็นที่เรียบร้อย นั่นเป็นการประเดิมวันแรกของการตั้งหน่วย
จำนวนรถเกราะค่อย ๆ ถูกส่งทยอยกันมา พวกผมไม่ต้องไปเป็นพลขับอีก งวดเดียวพอ เดี๋ยวจะไปเหมารถอะไรเข้าอีก
น้ำหนักรถนั้นเฉพาะรถก็ปาเข้าไปแปดตันแล้ว ถ้าติดอาวุธครบเครื่องก็เป็นสิบเอ็ดตัน แต่ความเร็วไม่ต่ำ ขนาดติดอาวุธครบก็สามารถวิ่งได้ความเร็ว 60 ไมล์ต่อชั่วโมงพอ ๆ กับรถธรรมดาวิ่งสบาย ๆ หน่วยรถเกราะใหญ่นี้ มีรถใหญ่ที่ชื่อว่า สแตคฮาวน์ 40 คัน และยังมีรถเกราะเล็กขนาดย่อม หนักสองสามตันอีก 40 คัน ตามมางวดหลัง รถเกราะเล็กมีชื่อว่า มอร์รีส
ทั้งหมดเป็นรถที่สร้างจากอังกฤษ บริษัทบาร์โรว์เบราน์เป็นผู้สั่งเข้ามาขายให้กรมดำรวจ อาวุธประจำรถเกราะใหญ่เป็นปืนกลขนาด 20 มม. ยิงเป็นชุดก็ได้ ยิงทีละนัดก็ได้ ส่วนรถเกราะเล็กนั้น มีอาวุธปืนยิงเร็วขนาด 8 มม. มีความคล่องตัวกว่ารถเกราะขนาดใหญ่
ท่านผู้ช่วยอธิบดี ขณะนั้นเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นรองอธิบดีแล้วในยศพลตำรวจโท ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บังคับการหน่วยรถเกราะอีกตำแหน่งหนึ่ง มีรองผู้บังคับการเป็นนายทหาร เรียกมาจากหน่วยรถรบของกองทัพบก มาเป็นรองผู้บังคับการ นายทหารท่านนี้ชื่อว่า พลจัตวา นาค ตุงคสมิต ตัวรองผู้บังคับการก็คือ ผู้ที่รับผิดชอบหน่วยนี้โดยตรง แทนผู้บังคับการในตำแหน่งนั่นเอง
เมื่อมีอาวุธติดตั้งพร้อมสรรพ ก็ต้องเอาไปซ้อมยิง ผมก็ต้องไปเป็นคนดูแลเรื่องอาวุธ โดยเป็นคนคุมไปทดสอบอาวุธเอง ที่สนามเป้าของกองทัพบก และต้องทดสอบทุกกระบอก ไม่ว่าขนาดเล็กหรือใหญ่ ผลการทดสอบออกมาว่า ไอ้ที่ฝรั่งติดมาให้นั้น ใช้ไม่ได้เกือบครึ่ง บางกระบอกยิง ๆ ไป พอกระบอกร้อนมันก็ไม่ยอมขยับลูกเลื่อนเสียเฉย ๆ ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงกันอีก แล้วจะทำยังไง ฝรั่งนี่มันก็ชุ่ยไม่ย่อยเหมือนกัน
พวกรถเกราะทั้งเล็กและใหญ่นี้ เมื่อมีการทดสอบเรื่องสมรรถนะและอาวุธเรียบร้อยแล้ว ก็ถูกส่งไปประจำหน่วยตำรวจตระเวนชายแดนส่วนหนึ่ง เป็นยานยนต์สำหรับใช้ในการออกปฏิบัติการในท้องที่ชายแดนทั่ว ๆ ไป ทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้ ในพระนครนั้นมีอยู่ไม่กี่คัน เพราะความจำเป็นที่จะใช้นั้นไม่น่าจะมี แต่ก็ยังมีให้เอาออกมาใช้จนได้
เดี๋ยวก็ถึงตอนที่ต้องนำออกมาใช้อย่างว่า
เมื่อกบฏวังหลังเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อปี 2492 นั้น ความสงบก็เข้ามาสู่หลายปีต่อมา แต่ความสงบก็อยู่ได้ไม่หลายปีนัก เพียงสองปีก็มีเรื่อง
Create Date : 26 กุมภาพันธ์ 2553 |
Last Update : 26 กุมภาพันธ์ 2553 1:27:09 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1259 Pageviews. |
|
|
|
| |