|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
4 มิถุนายน 2553
|
|
|
|
|
|
- 09 ความเห็นผิดในเรื่องการรักษาโรค, แม้เป็นพระอรหันต์ก็ต้องรักษาโรคไปตามชีวิตปกติธรรมดา
- 08 มานะ คือ ความสำคัญตน เป็นกิเลสตัวหนึ่งในกิเลส ๑๐ ซึ่งพระอรหันต์เท่านั้นที่ละมานะได้
- 07 ประโยชน์ของการศึกษาธรรม คือ รู้ความจริง, ธรรมะดีดี, คำสอนดีดีที่ควรรู้, พระธรรมคำสอน, คำสอนของพ่อ
- 06 เห็นกับได้ยินต้องคนละขณะกัน, สภาพธรรมเกิดดับสืบต่อจนไม่รู้ว่า เห็นกับได้ยินต้องคนละขณะกัน
- 05 หนทางอบรมเจริญปัญญาเป็นหนทางละ (ภาวนามัย), ปุถุชน ๒ ประเภท, ปัจจุบันนี้เป็นกาลวิบัติจริงหรือ ?
- 04 ตัวอย่างความกตัญญูกตเวที, ความดีที่บุตรควรกระทำต่อพ่อแม่ เพราะเป็นธรรมในชีวิตประจำวันของลูกที่ดี
- 03 เหตุผลที่นรกมีอยู่จริงๆ เพื่อเตือนสติให้ทำความดี เพราะทำดีได้ดี-ทำชั่วได้ชั่ว, กรรมดี กรรมชั่ว
- 02 สังคหวัตถุ 4, ทาน, ปิยะวาจา, อรรถจริยา, สมานัตตา เป็นธรรมในชีวิตประจำวันที่ควรปฏิบัติ, ความดีทำดี
- 01 แนะนำธรรมะบรรยายโดยอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ รายการแนวทางเจริญวิปัสสนา-www.DhammaHome.com-บ้านธัมมะ
|
|
|
|
|
09 ความเห็นผิดในเรื่องการรักษาโรค, แม้เป็นพระอรหันต์ก็ต้องรักษาโรคไปตามชีวิตปกติธรรมดา
ธรรม เรื่อง ความเห็นผิด ในการรักษาโรค บรรยายโดย อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ จากปกิณณกธรรม แผ่นที่ ๑ ตอนที่ ๕๓ เวลาที่ ๑๐ นาที พระผู้ถาม เมื่อกี้ที่บอกว่า ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นทางกายเนี่ย มันเป็นผลของกรรม // ที่นี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วเนี่ย ถ้าเราพิจารณาว่ามันเป็นทุกข์เพราะกรรมในอดีต แล้วก็ไม่รักษา ปล่อย(ให้)มัน จนกว่ามันจะหมดกรรมอย่างนี้จะถือว่า เป็นความเห็นผิดหรือถูกอย่างไร // อ.สุจินต์ ถ้าเข้าใจถูกต้อง ไม่มีเรา...นอกจากจิต เจตสิก รูป พระผู้ถาม แล้วก็จะมีการรักษาไหม อ.สุจินต์ ทุกขเวทนาที่เกิด // รูปนี่ไม่เจ็บไม่ปวด เพราะฉะนั้นขณะนั้นเป็นสภาพของจิต...ที่ รู้สิ่งที่ปรากฏที่กระทบกาย ที่ ไม่เหมาะสมไม่สบาย จึงทำให้เกิดความรู้สึกที่เป็นทุกข์ หนึ่งขณะจิต แล้วก็ยังมีจิตต่อๆไป ซึ่งคิดนึกถึงเรื่องโรคนั้นด้วย // เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่ใครจะไม่รักษาโรคเพราะคิดว่า...เป็นจิต เจตสิก รูป เป็นผลของกรรม พระผู้ถาม ถ้าเผื่อเราขวนขวายในการรักษาเนี่ย // จะถูกกล่าวหาว่าไม่เชื่อ ไหนสอนว่าเป็นผลของกรรมทำไม วุ่นวายไปหายาหาอะไรมารักษา ถ้าถูกต่อว่าอย่างนี้จะว่าอย่างไร อ.สุจินต์ เจ้าค่ะ วันหนึ่งๆไม่ได้มีแต่วิบากจิต // จิตมี ๔ ชาตินะคะ จิตที่เกิดขึ้นตั้งแต่เกิดจนตายเนี่ย จำแนกออกโดยชาติ(ชา-ติ)การเกิด เป็น ๔ อย่างหรือ ๔ ประเภท คือ จิตที่เป็นกุศล ก็เป็นกุศล จะเป็นเหตุที่ดี // จิตที่เป็นอกุศลก็เป็นเหตุที่ไม่ดี ทั้งกุศลและอกุศลเนี่ยค่ะ เป็นเหตุที่จะให้เกิดจิตที่เป็นผลนะคะ ผลของกรรมก็คือจิตอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นโดยเป็นผลของกรรม เนื่องมาจากกรรมเป็นปัจจัย ทำให้จิตนั้นเป็นวิบากจิตที่ เกิดขณะแรกของชาติหนึ่ง ต้องเป็นผลของกรรม เมื่อเกิดแล้วยังไม่ตาย ยังดำรงภพชาติอยู่ ก็เป็นผลของกรรม เมื่อดำรงภพชาติอยู่ทำไมยังไม่ตาย เพื่อที่จะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นผลของกรรม นี่คือ กุศลซึ่งเป็นเหตุ อกุศลซึ่งเป็นเหตุ และวิบากซึ่งเป็นผล แต่เวลาที่มีการเจ็บไข้ได้ป่วย มีการเห็นมีการได้ยินซึ่งเป็นผลของกรรมแล้ว ก็ยังมีจิตซึ่งเป็นกุศลอกุศลเกิดอีก // เพราะฉะนั้นเวลาที่เจ็บปวด ไม่ชอบความเจ็บปวดนั้นจิตเป็นอกุศล คิดที่จะรักษาพยาบาล ขณะนั้นก็เป็นโลภะความต้องการที่จะให้หายป่วย ซึ่งเป็นจิตไม่ใช่เรา // เพราะฉะนั้นจะไปบังคับว่า ไม่ให้จิตนี้เกิดขึ้น ไม่ให้มีการต้องการที่จะรักษาความป่วยไข้ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เจ้าค่ะ พระผู้ถาม ถ้าอย่างนั้นหมายความว่า ตราบใดที่ยังไม่ใช้พระอรหันต์เนี่ย การรักษา โรคที่เกิดทางกายเนี่ย ก็ต้องเกิดขึ้นเพราะโลภะใช่ไหมฮะ อ.สุจินต์ ถ้าขณะใดไม่เป็นกุศล ไม่ใช่วิบาก ไม่เป็นกิริยา ขณะก็ต้องเป็นอกุศ พระผู้ถาม ขณะนั้นไม่เป็นแน่ เป็นนิ่ว ปวดท้องดิ้นไปดิ้นมาเนี่ย เราขวนขวายไปโรงพยาบาลและก็มีการผ่าตัดเนี่ย ไอ้ความต้องการที่จะรักษาเนี่ย ในขณะนั้นก็ต้องเป็นโลภะตลอด อ.สุจินต์ ถูกต้องเจ้าค่ะ พระผู้ถาม ถ้าสมมติว่าเป็นพระอรหันต์ละ อ.สุจินต์ เป็นกิริยาจิต พระผู้ถาม แต่ก็มีการรักษาเหมือนกัน อ.สุจินต์ แน่นอนเจ้าค่ะ พระผู้ถาม แต่ด้วยกิริยาจิต อ.สุจินต์ เจ้าค่ะ พระผู้ถาม อ๋อ หมายความว่ามันเป็นธรรมชาติของท่าน ที่หมดโลภะ โทสะ โมหะแล้ว อย่างเรานี้ไม่มีทางที่จะไปฝันที่จะไปทำจิตอย่างนั้นได้ อ.สุจินต์ เจ้าค่ะ อ.สุจินต์ เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นปุถุชนกับผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลตามลำดับขั้นเนี่ย จะมีความต่างกัน โดยปัญญาเท่านั้น แต่ชีวิตการเป็นอยู่ก็เหมือนกัน // พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องเสวยพระกระยาหาร ต้องปฏิบัติ อาบน้ำ ชำระร่างกาย ทำทุกอย่าง เวลาที่มีบาดแผล หมอชีวกก็รักษา ทั้งๆที่ท่านเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ทรงอนุเคราะห์ ให้หมอชีวกรักษาพยาบาล เพื่อเป็นกุศลของหมอชีวกเอง // เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ค่ะ ว่าไม่มีความต่างกันนะคะ แต่ความต่างของจิตใจก็คือว่า ผู้ที่เป็นปุถุชนเนี่ยค่ะ มีกุศลบ้างมีอกุศลบ้าง แต่ส่วนใหญ่เป็นอกุศล ทันทีที่เห็นเนี่ย เห็นแล้ว...รักหรือชัง ชอบหรือไม่ชอบ น้อยนักนะคะในวันหนึ่งๆซึ่งเมื่อเห็นแล้วเป็นกุศล ที่จะสละ เป็นทาน หรือว่าที่จะเป็นประโยชน์ต่อบุคคลอื่นโดยประการใดๆ // เพราะฉะนั้นเมื่อ จิตของคนที่มากไปด้วยอกุศล ในชีวิตประจำวัน จริงๆเนี่ยเกิด แล้วกว่าจะเปลี่ยนเป็นเห็นแล้วเป็นกุศล จะยากไหมค่ะ แล้วก็กว่าจะเปลี่ยนจากเห็นแล้วเป็นกุศลเนี่ย เป็นกิริยาจิต ถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นก็เป็นผู้ตรงจริงๆที่จะรู้ว่าขณะที่เห็นเนี่ยค่ะ เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง และหลังจากเห็นแล้วเนี่ยก็เป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง จะเป็นกุศลหรืออุกศล ผู้ที่มีสติสัมปชัญญะก็รู้ลักษณะของนามธรรมในขณะนั้นตามความเป็นจริงได้ แต่ต้องเป็นปัญญาตามลำดับขั้นจริงๆ ไม่ใช่ข้ามขั้น เราเรียนเรื่องกุศลจิต อกุศลจิต ขั้นปริยัติ เราสามารถที่จะตอบได้...ว่า โลภะมูลจิตเนี่ยมี ๘ ประเภท โทสะมูลจิตมี ๒ โมหะมูลจิตมี ๒ มีเจตสิกอะไรเกิดร่วมด้วย แต่ว่าเวลาที่สภาพธรรมที่เป็นอกุศลเกิดเนี่ย ไม่รู้ รู้แต่ชื่อ // เพราะฉะนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า เรารู้จริงๆในสภาพธรรม เราเพียงแต่รู้ชื่อเท่านั้น // เพราะฉะนั้นกว่าเราจะรู้ว่าเรารู้เพียงชื่อ แล้วก็จะต้องอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ตัวจริง แล้วก็จะคลายความเห็นผิด ความเข้าใจผิดที่ยึดถือสภาพนั้นๆว่าเป็นตัวตน // กว่าจะเป็นวิปัสสนาญาณแต่ละขั้น // กว่าจะถึงความเป็นพระโสดาบัน // ผู้นั้นก็ไม่หลอกตัวเอง เพราะว่าไม่ใช่พระสกทาคามี ไม่ใช่พระอนาคามี ไม่ใช่พระอรหันต์ // ความเห็นผิดในวันหนึ่งๆเนี่ย เกิดน้อยกว่าความติด (โลภะ)ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส เพราะฉะนั้นเราเป็นอย่างนี้มากี่ชาติ // เพราะฉะนั้นพระโสดาบันเนี่ยค่ะ ดับความเห็นผิดเป็นสมุจเฉท แต่ยังมีเหตุปัจจัยที่ยังยินดีในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เพราะรู้ตามการสะสมตามความเป็นจริงว่าสะสมอะไรมามาก และจะดับได้ก็ต่อเมื่อ แม้ว่าเป็นนามธรรม รูปธรรม ไม่เห็นผิดว่าเป็นเรานะคะ ก็ยังจะต้องอบรมเจริญปัญญาที่จะเห็นโทษของความติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ขณะที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมก็เห็นความหลากหลายของสภาพธรรมซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยแต่ไม่ใช่ความเห็นผิด // เพราะฉะนั้นก็กว่าจะอบรมเจริญปัญญาเป็นขั้นๆถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ต้องตามความเป็นจริง ชีวิตก็เป็นปกติธรรมดา แต่ว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนะคะ ก็คือ กิเลสที่ดับด้วยมรรคจิต จะไม่เกิดอีกเลย ------------------------------------------ พระธรรมที่ควรรู้ บ้านธัมมะ ==> www.DhammaHome.com ถอดเทปคำบรรยายโดย : รู้ไว้มีสุข
Create Date : 04 มิถุนายน 2553 |
|
3 comments |
Last Update : 10 เมษายน 2558 13:57:32 น. |
Counter : 7586 Pageviews. |
|
|
|
| |
โดย: ปุถุชน IP: 125.27.191.157 13 ตุลาคม 2554 12:26:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: พระมหาวีรวัฒน์ IP: 58.9.57.33 18 มิถุนายน 2555 20:31:23 น. |
|
|
|
| |
โดย: ประสาน IP: 110.168.196.49 21 มกราคม 2557 5:49:36 น. |
|
|
|
| |
|
|
รู้ไว้มีสุข |
|
|
|
|