จงให้ความสำคัญต่อสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าสิ่งที่ถูกใจ
Group Blog
 
<<
เมษายน 2553
 
21 เมษายน 2553
 
All Blogs
 
ชัยชนะและความพ่ายแพ้ของ "บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย" (ตอนที่ 85 - อวสาน)

โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ

ตอนที่ 85 (อวสาน)

หมดเรื่องทางกายแล้ว ก็มาถึงเรื่องทางกฎหมาย

ท่านอดีต อ. ตร. ไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ไม่ได้เตรียมการเขียนพินัยกรรมมาก่อน ไม่รู้ว่าจะต้องมาสิ้นชีพอย่างกะทันหันอย่างนี้ และคงไม่คิดว่า จะไปรวดเร็ว ไม่ทันตั้งตัวอย่างที่เป็น กำลังสนุกอยู่กับเกมปิงปองแท้ ๆ ล้มลงขาดใจเอาเฉย ๆ

เรื่องก็ต้องถึงนาย ดูตัวต์ ทนายความประจำตัวคนนั้น

นาย ดูตัวต์ รู้ข่าวการเสียชีวิตของท่านและติดตามเหตุการณ์อยู่ ตั้งแต่เราขอเอาศพเข้าเมืองไทย จนได้รับการปฏิเสธ และมาถึงเรื่องการเผาโดยกะทันหันเรียบร้อยแล้ว เขาก็มีหนังสือเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องในสายโลหิต หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับท่าน ไปพบทั้งหมด ก็เป็นหน้าที่ผมที่จะต้องจัดการบอกกล่าวให้ตามที่เขาติดต่อมา เพราะเป็นทายาทที่ใกล้ชิดที่สุด ที่สมควรแก่การรับมรดก

ผมพาพี่ดมไปพบนาย ดูตัวต์ ที่สำนักงานของเขา นาย ดูตัวต์ สอบหลักฐานแล้วก็เห็นเหมาะที่จะให้พี่ดมเป็นทายาทแต่ผู้เดียว แล้วเขาก็หันมาถามผมว่า ผมจะว่ายังไง เพราะเขารู้ว่า ผมเป็นคนใกล้ชิดของท่าน และได้รับการเลี้ยงดูจากท่าน โดยท่านให้ค่าเลี้ยงชีพเดือนละห้าร้อยเหรียญสหรัฐเป็นประจำ และยังรับอุปการะในการศึกษาของบุตรอีก

ตามกฎหมายของสวิส ฯ ผู้ที่ได้รับการอุปการะเช่นนั้นโดยความตั้งใจของผู้ตาย จะต้องได้รับการอุปการะต่อไปอีก เมื่อผู้ตายไม่ได้เขียนพินัยกรรมไว้ สิทธิ์อันนั้นตกเป็นของผู้ที่ผู้ตายได้อุปการะอยู่ต่อไป ไม่สะดุดหยุดลง

เขาถามผมต่อหน้าพี่ดมว่า ผมจะเอายังไง ยังยินดีที่จะรับผลประโยชน์อันนั้นต่อไปไหม

ผมตอบว่า ผมขอสละสิทธิ์อันนั้น เมื่อท่านเสียชีวิตไปแล้ว ผมก็ไม่มีหน้าที่ที่จะรับใช้ใครต่อไปอีก ภาระของผมสิ้นสุดลงแล้ว

นาย ดูตัวต์ มองหน้าผมเหมือนเห็นสัตว์ประหลาด เขาส่ายหน้าช้า ๆ ไม่พูดอะไร ส่งกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ผมตรงหน้า ให้เซ็นชื่อ ผมอ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้น มีข้อความว่า

ผมยินดีเสียสละสิทธิ์ที่ได้รับอุปการะที่เคยได้รับนั้นทั้งหมด ไม่เรียกร้องอะไรอีกเลย

ผมเซ็นชื่อลงท้ายข้อความในกระดาษแผ่นนั้น ส่งให้เขา เขารับไปพร้อมกับส่ายหน้าช้า ๆ มองหน้าผมอีกด้วยสายตาพิลึก คงจะพูดในใจว่า “ ไอ้นี่โง่พิลึก ”

เรื่องทรัพย์สินมรดกเสร็จเรียบร้อยไป ทรัพย์สินทั้งหมดที่ท่านมีก็ตกเป็นของพี่ดม หรือ คุณหญิงอุดมลักษณ์ ศรีภริยาของท่านแต่ผู้เดียว ผมไม่รับรู้เรื่องเบี้ยใบรายทางของท่าน เพราะถ้าไปรับรู้เข้าก็คงต้องวุ่นวายกันไปใหญ่ เดี๋ยวจะเกิดการเรียกร้องอะไรต่ออะไรตามมายืดยาว

เสร็จเรื่องราวแล้ว พี่ดมก็เตรียมตัวกลับเมืองไทย พร้อมทั้งอัฐิอังคารของท่านเพื่อเอาไปบำเพ็ญกุศลที่เมืองไทย และไม่คิดจะกลับมาเจนีวาอีก แต่ยังดีที่ทิ้งบ้านริมทะเลสาบไว้ให้พวกผมอาศัยอยู่กันไปก่อน จนกว่าจะถึงเวลาที่พวกผมจะกลับบ้านได้

ก่อนวันที่พี่ดมจะกลับ พี่ดมก็ขอพบพวกเราทั้งหมดที่ตึก เมซอง รัวยาล ญาติพี่น้อง ทั้งทางสะใภ้ เขย ก็มาที่เจนีวาพร้อมเพรียงกัน มาช่วยเรื่องดูแลอพยพย้ายที่อยู่เป็นการถาวร ผมกับพันศักดิ์ก็ไปพบตามสั่ง

ในการประชุม ไม่มีการพูดถึงเรื่องเงินที่ผมเคยได้รับจากท่าน อาจเป็นเพราะพี่ดมได้รู้เห็นตอนที่ผมเซ็นชื่อเรื่องไม่ติดใจเรื่องนี้ ที่สำนักงานของนาย ดูตัวต์ นั่นแล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะพูดถึง

เรื่องการโอนทรัพย์สินมรดกทั้งหมด นาย ดูตัวต์ ก็จัดการให้เรียบร้อยแล้ว พี่ดมเรียกมาก็เพื่อจะบอกลา และมอบบ้านที่ริมทะเลสาบนั้นให้ผมกับพันศักดิ์ดูแลต่อไป จะออกไปเมื่อก็เขียนไปบอกที่กรุงเทพ ฯ

ผมนึกถึงเรื่องตู้ที่เก็บทรัพย์สินของท่านที่เช่าไว้ที่ธนาคารสวิสนั่นขึ้นมาได้ กุญแจนั้นยังอยู่ที่ผม ผมพกมันมาด้วย อยู่ในพวงกุญแจของผมรวมกับกุญแจอื่น เรื่องเงินส่วนนี้ไม่มีใครรู้ นอกจากท่านและผมสองคน ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องนั้นเลย มันอยู่นอกเหนือความรู้เห็นของคนอื่น แสดงว่าท่านไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กับใครเลยแม้แต่พี่ดม ผมยังจำคำพูดของท่านในวันที่ท่านได้มอบกุญแจดอกนี้ให้ผมไว้ได้

“ มึงเก็บเอาไว้ ถ้ากูเป็นอะไรไป มึงจะได้ไม่อดตาย ”

ผมก็ยังไม่รู้ว่า เงินในตู้พิเศษนั้น มีมากมายเท่าไร ไม่เคยแอบไปเปิด ทั้ง ๆ ที่จะแอบไปเปิดดูเมื่อไหร่ก็ได้

ผมเอาพวงกุญแจออกมา ดึงเอากุญแจดอกนั้นออกมาจากพวง ยื่นส่งให้พี่ดม

“ พี่ดมครับ ท่านยังมีกุญแจตู้เซฟที่แบงค์ที่ท่านเก็บเงินไว้ พี่ดมเก็บเอาไว้ด้วยครับ ในตู้นั้นมีเงินเก็บอยู่ในกระเป๋าใบใหญ่ที่ถือมาจากเมืองไทย ”

พี่ดมรับกุญแจนั้นไป ทำท่างง ๆ แต่ไม่ถามอะไร เรื่องอย่างนี้เขาไม่ถามกัน เพราะถ้าถามเข้าก็ต้องต่อเรื่องยาว พี่ดมฉลาดพอที่จะไปหาความรู้เอาเอง ซึ่งไม่ยาก ถามทางธนาคารก็ต้องรู้ เอากุญแจดอกนี้ให้ดู เขาก็หมดสงสัย และนาย ดูตัวต์ คงจะจัดการให้ได้ไม่ยาก

ถ้าเขารู้อีกว่า ผมเป็นคนเอามายื่นให้ เขาก็คงส่ายหน้าอีก เรื่องความโง่เง่าของผม

ใคร ๆ ที่รู้เรื่องนี้ก็ว่า ผมโง่ ทั้งนั้น เก็บนิ่งเอาไว้ ไปไขเอาเองทีหลัง ก็รวยไม่รู้เรื่อง ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ด้วย

คนมันโง่แล้วจองหอง จะทำยังไง ถ้าจะพูดกันอย่างภาษาตลาด ก็คงว่า “ โง่ สุนัขไม่รับประทาน ”

ก็เป็นอันว่า อะไร ๆ ก็มาถึงจุดจบ พี่ดมเดินทางกลับเมืองไทยในอีกไม่กี่วันต่อมา พร้อมทั้งจัดการโอนขายทรัพย์สิน ทั้งที่ตึกและอะไรที่ขายได้ไปหมด เงินในแบงค์ก็เบิกเอาไปหมด รวมทั้งเงินในกระเป๋าใบใหญ่ ในตู้นิรภัยลับที่ผมส่งกุญแจให้นั้นด้วย บอกลาเจนีวาไปชั่วอายุเลย

ผมกับพันศักดิ์ตงอาศัยอยู่ที่บ้านริมทะเลสาบนั้นลำพังสองครอบครัว ไม่ต้องไปยุ่งกับใครอีก รออายุความของคดีที่ตกใส่ เมื่อไรมันจะสิ้นสุดหมดอายุความ ก็ขยับขยายกันต่อไป พันศักดิ์นั้นไม่เดือดร้อนอะไร เพราะมันมีเงินพอต่อสู้ได้

ผมน่ะซิ ถ้าไม่ได้ที่ดินที่พ่อซื้อไว้ให้เมื่อหลายสิบปีก่อน ก็คงอดตายไปแล้ว ยังมีที่ดินที่พอตัดขายไปที่ละแปลง พอมีเงินเลี้ยงตัว และส่งลูก ๆ เข้าเรียนหนังสือได้ ก็ได้ญาติทางเมืองไทยช่วยจัดการเรื่องขายที่ให้ ญาติผู้นั้นชื่อ คุณ จำลอง วีรางกูร เขาเป็นคู่เขยของผมได้น้องเมียผมไปเป็นเมีย เรียกว่าสนิทกันพอสมควร เขาก็ช่วยดูแลเรื่องนี้ได้ และผมก็ยังได้ค่าเขียนเรื่องส่งตามหนังสือพิมพ์ต่าง ๆ ตามที่เพื่อน ๆ ที่อยู่หนังสือพิมพ์ที่ผมเอ่ยชื่อไว้ตอนต้น ๆ นั้น ช่วยทำให้และฝากเงินมาทางคุณ จำลอง ฯ คู่เขย

ชีวิตของเราก็เท่านี้ ใหญ่โตมีอำนาจบารมีล้นฟ้า ขนาดได้ฉายาว่า “ บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย ” ก็หนีชะตาชีวิตไม่พ้น ต้องมาเสียชีวิตในต่างแดนอย่างไม่มีเกียรติอะไร ต้องพ่ายแพ้ชะตาชีวิตอย่างนึกไม่ถึง

ที่จริงแล้ว ความพ่ายแพ้ที่ท่านได้รับ ก็เป็นความพ่ายแพ้ที่ตัวเองกำหมดให้แก่ตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ไม่น่าจะพ่ายแพ้ ถ้าได้มีการต่อสู้กับอย่างสมศักดิ์ศรี ก็ไม่แน่ว่า ใครจะอยู่ ใครจะไป และสถานการณ์อาจไม่เป็นอย่างที่เป็นมานี่

ในวันหนึ่งที่นั่งกินอะไรกันตอนเย็น ๆ ท่านเคยปรารภกับผมว่า

“ รู้ยังงี้ กูเชื่อมึงเสียก็ดี ”

ที่ว่าเชื่อมึงเสียก็ดี นั่นคือ วันที่ไปแอบหลบด้วยกัน ผมบอกว่า กำลังของผมยังคอยฟังคำสั่งอยู่ ถ้าจะสู้ พวกเขาก็พร้อมที่จะทำตามสั่ง แต่ท่านกลับบอกให้ผมยอมเขา เพราะเห็นแก่ท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม เจ้านายคนที่ท่านให้ความเคารพนับถือชนิดถวายหัวคนนั้น

ผมตอบท่านไปว่า

“ อย่าไปคิดอะไรเลยครับ เรามาอยู่ในสภาพอย่างนี้แล้ว ก็ต้องยอมรับสภาพ เรายอมเขาเอง ไม่มีใครบังคับ มาคิดกันว่า จะอยู่กันอย่างไรให้มันสงบ ๆ ดีกว่า ”

“ กูคิดเอย่างมึงก็คงสบายใจ แต่กูมันทำไม่ได้ ” นั่นเป็นคำตอบ

ก็คงครุ่นคิดอยู่ทุกวัน โรคหัวใจจึงได้คุกคามอยู่ไม่หยุด ต้องมาทนอยู่กับความรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ตนกำหนดให้ตนเอง ความรู้สึกอย่างนี้มันกัดกินหัวใจดีนัก กัดกินอย่างลึก ๆ ไม่รู้ตัวเสียด้วย ก็คงจะรู้สึกเสียใจที่มอบความเคารพนับถือให้กับบุคคลที่มีบุญคุณอย่างผิด ๆ ไป ชนิดยอมถวายหัวจนตัวเองต้องจนใจ มาคิดได้เอาเมื่อมันสายเสียแล้ว เป็นการตกลงใจที่ผิดพลาดอย่างฉกรรจ์ แล้วยังดึงเอาลูกน้องอีกสองคนมาผจญชีวิตด้วยอย่างหมดศักดิ์ศรี เรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องที่ทรมานหัวใจที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ที่ซ้ำเติมเอาอีกตลอดเวลา

เส้นทางชีวิตของบุรุษที่มีสมญานาม “ บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย ” ก็ปิดท้ายลงอย่างกระแทกกระทั้น ไม่สมกับสมญานามที่ได้รับ และเป็นที่รับรู้กันทั่วภูมิภาคเอเชีย

จบลงอย่างง่าย ๆ ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว มีพื้นกระดานข้างโต๊ะปิงปองเป็นที่รองรับกายยามร่วงหล่น จบชีวิตลงอย่างง่ายดายที่ตรงนั้น

สิ่งเดียวที่ผมได้รับจากท่านก็คือ คำพูดในสนามกอล์ฟประโยคที่ว่า

“ มึงอดบุหรี่มาสี่วันแล้ว ก็อดมันเสียเลยซีวะ ”

วันรุ่งขึ้นจากที่ได้ลั่นวาจานั้นออกมา ก็ล้มสิ้นชีวิตลงอย่างไม่ได้บอกกล่าว หรือได้เห็นใจกันก่อนจากไป

ผมก็รับเอาคำพูดนั้นมายึดถือ เป็นการปฏิบัติตามคำสั่งครั้งสุดท้าย อดบุหรี่ตั้งแต่วันนั้น เป็นการอุทิศให้กับเจ้านายที่เคารพนับถืออย่างยิ่งในชีวิตของผม ผมไม่แตะต้องบุหรี่อีกเลย นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา แม้จะเป็นการต่อสู้กับความอยากกันเหลือหลายก็ต้องทน

คนที่สูบบุหรี่มาวันละเกือบจะสอง-สามกระป๋อง ชนิดมวนต่อมวน มาร่วมยี่สิบกว่าปี แล้วต้องมาหยุดสูบเอาทันที มีคามรู้สึกอย่างไร ลองถามพวกที่ติดบุหรี่งอมแงมดูเอาเองก็แล้วกัน ว่ามันทรมานแค่ไหน ผมก็รู้ได้ว่า ไอ้ที่เขาเรียกว่า “ ลงแดง ” นั้น มันเป็นอย่างไร

อุทิศส่วนกุศลนี้ให้ท่านไปเป็นครั้งสุดท้าย

พันศักดิ์กลับเมืองไทยก่อนผม เมื่ออายุความคดีของเขาหมดลง ผมก็ต้องขยับขยายออกจากเจนีวา ขายที่ได้เงินส่งเสียลูกให้เรียนหนังสือเป็นนักเรียนนอกกับเขาไปได้ จัดเรื่องราวเรียบร้อยแล้วก็เดินทางออกมาอยู่ในเมืองลาว ขืนอยู่ที่เจนีวาต่อไปก็คงอดตาย ค่าครองชีพที่นั่นแพงกว่าเมืองไทยสามเท่า

ผมต้องรอจนท่านจอมพล สฤษดิ์ ฯ ถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2506 จึงขยับขยายมาอยู่ในลาวได้ ก็ได้อาศัยความช่วยเหลือจากเพื่อนฝูง พูดจากับท่านอธิบดีกรมตำรวจคนใหม่ พลตำรวจเอก ประเสริฐ รจิรวงศ์ ขออนุญาตท่านโยกย้ายภูมิลำเนามาอยู่ที่ลาว ท่านก็อนุญาตด้วยความเห็นใจ

ที่ต้องขออนุญาตมาก่อนที่จะเดินทางมาลาวนั้นก็เพราะ สมัยนั้น ลาวกับไทยติดต่อกันใกล้ชิด ประชาชนสองฝั่งเดินทางไปมาหาสู่ติดต่อกันสะดวก เหมือนบ้านพี่เมืองน้อง

ถ้าจะเข้ามาโดยไม่บอกกล่าว เกิดทางตำรวจไทยขอให้ส่งตัวผมไปดำเนินคดีที่เมืองไทย ทางลาวก็คงไม่ขัดข้องแน่นอน อายุความคดีของผมมันยังไม่หมด ก็ต้องทำอะไรให้มันถูกต้องตามพิธีการ

ท่านอธิบดีประเสริฐ ฯ ท่านกรุณาอนุญาต ให้คำมั่นว่าจะไม่ยุ่งอะไรกับผม ผมก็เดินทางมาในทันที ก่อนที่ท่านจะบอกอนุญาตไป ท่านยังเตือนผมให้คิดวันเวลาที่คดีขาดอายุความให้ดี อย่าให้พลาด เกิดมีใครเอาเรื่องนี้ขึ้นมา ท่านก็จะต้องทำตามหน้าที่ ผมยังระลึกถึงพระคุณของท่านมาจนบัดนี้

เรื่องราวของชีวิตอันพิสดารของ “ บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย ” ก็เป็นอันปิดฉากลง หมดสิ้นความผูกพันเสียทีกับการหมุนเวียนของโลกอันสับปลับใบนี้ เป็นอุทาหรณ์ให้รู้ซึมซาบกันว่า

บนวิถีทางของการเมือง สงคราม ความรัก นั้น ความเป็นสุภาพบุรุษนั้น ใช้ไม่ได้

ความพ่ายแพ้ของท่านบุรุษเหล็กแห่งเอเชีย ก็ไม่พ้นไปจากคำพังเพยประโยคนั้น

ส่วนที่เป็นชัยชนะนั้น เป็นชัยชนะที่ทำเพื่อคนอื่น ซึ่งเป็นบุคคลที่เคารพนับถือเสียเป็นส่วนใหญ่ ผลที่ได้รับจากชัยชนะที่ได้ต่อสู้มาอย่างหนักหน่วงนั้น ก็มอบให้แต่บุคคลเพียงคนเดียว คือ ท่านจอมพล ป. พิบูลสงคราม เจ้านายที่ท่านให้ความเคารพนับถือยิ่งชีวิตท่านนั้น ก็ไม่ทราบว่าทำไมถึงได้ให้ความเคารพนับถือถึงขนาดนั้น

เมื่อคราวที่ท่านจอมพล ป. ถูกนาย ลี บุญตา คนใช้ใกล้ชิดที่บ้านชิดลมไล่ยิงเอานั้น ก็ได้ร้อยตรี เผ่า ศรียานนท์ นายทหารคนสนิทคนนี้ ไล่จับตัวนายลี เอาไว้ได้ โดยไม่กลัวกระสุนปืน

ถึงแม้จะถูกท่านจอมพล ป. กลั่นแกล้งอย่างไรในระหว่างมีอำนาจทางการเมือง ก็ไม่ได้คิดจะโต้ตอบ หรือเสื่อมคลายความเคารพนับถือลงแม้แต่น้อย ยังคงมอบกายถวายชีวิตให้ไม่เปลี่ยนแปลง

ผมเองก็ไม่เข้าใจถึงเรื่องนี้

จนมีคนเกิดความรู้สึกที่จะต้องทำลายท่านจอมพล ป. เพราะทนต่อความรู้สึกอันนั้นไม่ได้ คิดจะดักทำร้ายตามความคิดของตัวเอง พอท่านทราบเข้า ก็ต้องสั่งให้บุคคลผู้นั้นพ้นจาหน้าที่ทางตำรวจไปทันที ให้ไปอยู่เป็นผู้ช่วยผู้ดูแลนักเรียนไทย ไปช่วยพี่ชายที่อเมริกา พ้นจากตำแหน่งรองผู้ยังคับการตำรวจสันติบาลฝ่ายในประเทศไปทันที บุคคลผู้นั้นคือ พันตำรวจเอก อรรณพ พุกประยูร

ใครจะไปแตะต้องท่านจอมพล ป. ไม่ได้

แม้ในวันที่อยู่ระหว่างเหตุการณ์ในวันรัฐประหาร ที่ตนเองจะอยู่หรือจะไป อยู่ที่การตกลงใจของตัวเอง ในขณะที่อยู่ด้วยกันกับผมและพันศักดิ์ ทั้ง ๆ ที่คนของเราพร้อมที่จะรับคำสั่งสู้ครบครัน เพียงแต่ให้สั่งมาเท่านั้น ก็ยังพูดออกมาว่า

“ ถ้าเราสู้ชนะได้ กูก็ต้องให้ท่านจอมพล ป. ขึ้นเป็นนายก ฯ อีก พวกมึงก็ไม่ชอบ ยอมมันเถอะวะ ไอ้สฤษดิ์มันไม่ทำอะไรกูหรอก ”

แล้วก็เดินเข้าไปพบเขามือเปล่า ยอมแพ้เอาดื้อ ๆ เพราะบุคคลคนเดียวแท้ ๆ

ถ้ายังมีจอมพล ป. อยู่ในแผ่นดิน พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ จะไม่ยอมขึ้นในตำแหน่งที่เหนือกว่าเป็นอันขาด และจะไม่ต่อสู้เพื่อตัวเอง หรือเพื่อใครทั้งนั้น

มีภาษิตข้อหนึ่งที่ว่าไว้ว่า

“ ศัตรูสำคัญของคนเรา ไม่ใช่ใครที่ไหน คือตัวของเรานี่เอง ”

ไอ้ศัตรูตังนี้นี่แหละที่เราต้องแพ้มันวันยังค่ำ เพราะมันจะเป็นผู้ที่ตัดสินใจให้เรา จะผิดหรือถูก เราก็ไม่เคยคัดค้านมัน ผลที่ได้รับ เราก็ต้องทนรับไป ถึงแม้มันจะเจ็บปวดเพียงไร ก็ต้องรับ

ผลของการตัดสินใจที่เจ้าศัตรูตัวสำคัญสั่งการให้เป็นไปนี้ คือ ความพ่ายแพ้อย่างยับเยินจนหมดศักดิ์ศรี ต้องเร่ร่อนไปตายในดินแดนอันไม่ใช่แผ่นดินเกิด มีพื้นกระดานเป็นที่รองรับกาย ซ้ำยังต้องเผาให้เหลือเพียงกระดูกและเถ้าถ่าน กลับมาเมืองไทยอย่างเงียบ ๆ

เรื่องราวของท่านบุรุษเหล็กแห่งเอเชีย ก็ปิดฉากลงอย่างเงียบเหงา ไม่มีเครื่องประโคม หรือขบวนแห่แหน เยี่ยงบุคคลสำคัญในทางการเมือง แม้จะเคยมีชื่อเสียงก้องไปทั่วโลก ถึงคราวจบก็จบลงอย่างง่าย ๆ

ฉากชีวิตจะยังมีอะไรเหลืออยู่อีก จะมีเหลืออยู่ก็เพียงความระลึกถึงของผู้ที่เคยใกล้ชิดไม่กี่คน อย่างสะใจ

จะไม่สะใจได้ยังไง อยู่ ๆ ก็ต้องระเห็จออกนอกประเทศด้วยกัน ทั้งที่ไม่น่าจะต้องระเห็จออกมา เพราะความนับถือในตัวบุคคลที่ไม่คิดเห็นอกเห็นใจในความเคารพนับถือนั้น

ไม่ยอมสู้ก็เพราะบุคคลคนเดียว ต้องหอบหิ้วเอาคนใกล้ชิดมาเพียงสองคน ไปเผชิญชีวิตในต่างแดนในตำแหน่งโก้ที่ถูกแต่งตั้งมา แล้วถูกปลดทันทีที่มารับตำแหน่งนั้น กลายเป็นคนพเนจรในต่างแดนอย่างไรเกียรติไปในฉันพลัน จนต้องทรมานกับความรู้สึกนั้นอย่างเงียบ ๆ ไม่ยอมปริปากให้ใครรู้ แล้วยังมาได้รับความสะเทือนใจอย่างรุนแรงจากเพื่อนร่วมเต้านม ด้วยการแสดงกิริยาเมินเฉยให้ต่อหน้า

หัวใจที่มีโรคแทรกอยู่แล้วก็หมดความอดทน หมดสิ้นความแข็งแกร่งของจิตใจที่เคยมีอยู่ ตลอดระยะเวลาของการต่อสู้กับชีวิต จนได้ฉายา “ บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย ” จากทุกมุมโลก

สถานที่ที่เอาเป็นที่ตายคือ พื้นกระดานข้างโต๊ะปิงปอง ไม่มีการต่อสู้ ไม่มีผู้คนห้อมล้อมให้เกียรติ จะเอาศพเข้าเมืองไทยบ้านเกิดเมืองนอนก็ไม่ได้ ต้องทำพิธีปลงศพอย่างเงียบ ๆ ในความรู้เห็นของคนใกล้ชิดจริง ๆ เพียงไม่กี่คน ได้แต่นำเอาเถ้าถ่านที่เหลือจาการเผาไหม้ของร่างกลับเมืองไทยอย่างเงียบ ๆ ไม่มีขบวนห้อมล้อมรับรู้ แม้แต่จากบุคคลที่เคยห้อมล้อมหนาแน่น เมื่อยังมีอำนาจรุ่งเรือง ซึ่งครั้งนั้นนับจำนวนไม่ไหว

สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็มีแต่ความทรงจำของบุคคลที่เคยใกล้ชิดเพียงสอง-สามคน ความทรงจำที่สะท้อนใจทุกครั้งที่ระลึกถึง เมื่อมองเห็นภาพถ่ายในเครื่องแบบที่ตั้งไว้บนหิ้งหัวนอน บนภาพนั้นมีลายมือของท่านเจ้าของภาพเขียนไว้ว่า

“ ให้ พุฒ น้องชายเพื่อนร่วมตาย ”

เป็นภาพที่ได้รับจากมือของท่าน เมื่อได้รับใช้อยู่ใกล้ชิดไม่กี่ปี ภาพนั้นยังตั้งอยู่มองเห็นได้ทุกวัน ยามจะนอน

ก็มีเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่ นอกจากความทรงจำ

บทบาทบนเวทีชีวิตของท่าน “ บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย ” ก็จบลงอย่างกระแทกกระทั้นอย่างนี้ จากวันที่ถือกำเนิด 2 มีนาคม 2452 และปิดฉากชีวิตอย่างง่าย ๆ ที่ข้างโต๊ะปิงปอง เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2503 มาพ่ายแพ้ต่อชะตากรรมเอาง่าย ๆ โดยไม่มีวี่แวว ในวันที่มีอายุได้เพียง 51 ปีกับแปดเดือนเศษ ๆ

มันสะใจดีไหมครับ

*อวสาน*




Create Date : 21 เมษายน 2553
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2553 1:50:59 น. 9 comments
Counter : 1587 Pageviews.

 
...อ่านทีเดียว 4 ตอนรวดเลย...

ขอบคุณมากๆ ที่กรุณานำเรื่องดีๆแบบนี้มาให้อ่าน..

....จะรออ่านเรื่องต่อๆไป...


โดย: ก้นกะลา วันที่: 21 เมษายน 2553 เวลา:3:45:25 น.  

 
คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...




โดย: นนนี่มาแล้ว วันที่: 21 เมษายน 2553 เวลา:4:14:50 น.  

 
ท่านอธิบดีเป็นสุภาพบุรุษมากท่านคงเสียความรู้สึกที่เพื่อนรักและบุคลที่ดื่มนมเต้าเดียวกันทำกับท่านอย่างนั้นเเต่ ผลกรรมก็ตามมาเร็วเมื่อบุคคลผู้นั้นเสียชีวิตก้มีการยึดทรัพย์เปิดโปงการทุจริตเสียเกียรติยศฟ้องกันวุ่นวายท่านอธิบดีเสีนชีวิตท่านก็ไม่โดนเรื่องอย่างว่าผมประทับใจเรื่องนี้จรึงๆ
สุภาพบุรุษตัวจริงผมอ่านทุกตอนโดยไม่เคยเบื่อผมต้องขออนุญาติก๊อปมาไว้อ่านส่วนตัวครับขอบคุณมากครับหวังว่าผมคงจะได้อ่านเรื่องดีๆๆจากท่านนะครับ


โดย: ศรชัย IP: 112.142.119.135 วันที่: 21 เมษายน 2553 เวลา:7:40:00 น.  

 


โดย: thanitsita วันที่: 21 เมษายน 2553 เวลา:13:18:07 น.  

 
เรียน คุณศรชัย
ยินดีค่ะ
กำลังปรึกษากับพี่ ๆ น้อง ๆ ว่า จะพิมพ์ออกดีไหม ?
ขอความเห็นจากเพื่อน ๆ ร่วม bloggang ด้วยนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ



โดย: ธารน้อย วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:2:09:13 น.  

 
คุณก้นกะลา คะ
ขอบคุณที่ติดตามจนจบนะคะ
กำลังคิดว่า จะเอาเรื่อง "13 ปีกับบุรุษเหล็ก ฯ" มาให้อ่าน แต่เนื้อหาก็คล้าย ๆ กัน เดี๋ยวเพื่อน ๆ จะเบื่อ
แต่ในเรื่องนั่้นมีรายละเอียดบางตอนที่สนุกดี
ถ้ายังไม่เบื่อ ก็จะคัดเอาบางตอนมาให้อ่านกัน จะได้ไม่ต้องดูหนังซ้ำ ๆ ดีไหมคะ ?



โดย: ธารน้อย วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:2:14:24 น.  

 
คุณ Thanitsita
โอ๋ ๆๆๆ

เรายังไม่ทิ้งกันค่ะ
จะหาเรื่องสนุก ๆ มาให้อ่านอีก

ย้อนไปอ่านเรื่อง " ตลกสังคม" หรือยังเอ่ย ?



โดย: ธารน้อย วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:2:17:58 น.  

 
อยากให้พิมพ์อีกครั้งครับ ผมเกิดไม่ทัน มีแต่ที่บ้านเล่าให้ฟังและเคยเห็นรูปถ่ายที่ลุงเผ่ากับป้าใหญ่ส่งมาให้ดูจากสวิส ซึ่งเหตุการครั้งนั้นมีผลกับที่บ้านผมพอสมควร

ถ้ามีการพิมพ์อีกครั้งรวมถึงเรื่อง 13ปีกับบุรุสเหล็กแห่งเอเซียจะดีมากเพราะเราจะได้มีโอการรู้ถึงอีกด้านหนึ่งของประวัติศาสต์ที่ผู้แพ้ไม่มีโอกาศได้อธิบาย


โดย: เทวา IP: 58.8.181.140 วันที่: 15 พฤศจิกายน 2553 เวลา:10:07:42 น.  

 
คุณเทวาเป็นญาติของท่านทางไหนหรือคะ ?

เราน่าจะรู้จักกันไว้

ส่งข่าวมาทาง eMail ส่วนตัวได้ค่ะ
tha.rinee@yahoo.com




โดย: ธารน้อย วันที่: 15 พฤศจิกายน 2553 เวลา:19:03:32 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ธารน้อย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ธารน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.