|
เงื่อนไขการปฎิวัติ (ตอนที่ 7)
โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ
ตอนที่ 7
บทที่ ๓ - รอยเท้าที่ถูกเดินตาม
นวนิยาย (เอ๊ย) ไม่ใช่ สารคดี (เอ๊ะ ใช่หรือเปล่า) เรื่อง เงื่อนไขการปฏิวัติสองดอนแรกของผมที่ได้ตีพิมพ์ไปแล้วเรียบร้อย ไม่ได้ส่งปฏิกิริยาสะท้อนกลับจากทิศทางใดมาด้วยระยะเวลาอันสมควรแล้ว ทำให้ผมมานั่งเขียนเงื่อนไขอย่างว่านี้ต่อเป็นตอนที่สามได้ด้วยใจคอที่ไม่ตื่นเต้น
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ข้อเขียนของผมไม่ได้รุนแรงอะไร เป็นไปอย่างอ่อนนวลละมุนละไม หรือมิฉะนั้นก็เพราะว่า ท่านผู้มีอำนาจที่จะชี้ต้นตายปลายเป็นได้นั้น ท่านมีใจเป็นธรรม ใช้ธรรมเป็นอำนาจ มิได้ใช้อำนาจเป็นธรรม ยอมรับฟัง (ความจริงอ่าน) ด้วยความหนักแน่น เอาก้อนหินก้อนใหญ่มาถ่วงหัวใจไว้อย่างมั่นคง ไม่เงื้อกำปั้นฟาดโครมลงมา ซึ่งถ้าหากท่านฟาดลงมาจริง ๆ กำปั้นนั้นก็คงจะมาลงต่อคอต่อของผม
เอ๊ะ ! หรือท่านไม่ได้อ่านแฮะ
ตอนสามตอนนี้ ผมว่าจะเขียนเป็นตอนสุดท้าย สุดท้ายของเงื่อนไขการปฏิวัติ ก็เห็นจะเริ่มเรื่องเงื่อนไขการปฏิวัติตอนที่สามได้เสียทีละทีนี้
ผมได้ให้ข้อคิดไว้ในตอนที่สองแล้วว่า การปฏิวัติที่จะทำได้สำเร็จนั้นต้อง
1. ผู้จะทำการปฏิวัติต้องเป็นทหารราบ 2. ผู้จะทำการปฏิวัตินั้นจะต้องเป็นบุคคลในคณะที่ปกครอง แผ่นดิน 3. ผู้ที่จะทำการปฏิวัตินั้นจะต้องเป็นผู้คุมอำนาจของกอง ทัพบก โดยเฉพาะทหารราบอย่างแน่นแฟ้นในกำมือ
ทั้งสามข้อนี้เป็นหลักใหญ่ ๆ แต่ว่าหลักการอะไรก็ตามย่อมมีข้อยกเว้น หลักการนี้ก็ต้องมีข้อยกเว้นเช่นกัน ข้อยกเว้นนั้นจะมีก็ต่อเมื่อสถานการณ์ของประเทศตกอยู่ในภาวะที่วุ่นวายทางด้านเศรษฐกิจและการปกครองจนหาที่ติไม่ได้ เรียกว่าเลวสมบูรณ์แบบ สภาวะเช่นนี้หาได้ยากในเมืองไทย ไม่ค่อยจะมีให้เห็น เพราะสภาพโดยแท้จริงของเมืองไทยเรานั้น ความยุ่งยากประเภทนี้ไม่ปรากฏให้เห็นบ่อยนัก หรือเรียกว่าแทบจะไม่มีให้เห็นเลย มันจึงเป็นสภาวะที่ชักจูงใจให้คนส่วนใหญ่ของประเทศเกิดความเบื่อหน่าย และพร้อมที่จะยอมรับความเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะมาในรูปใด ขอให้ได้ไปอยู่ในสภาวะที่ไม่เหมือนกับที่ได้รับอยู่นั้น เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่สองจบไปใหม่ ๆ สภาวะของบ้านเมืองตอนนั้นยุ่งเหยิงจนแทบจะเอาตัวไม่รอด ประเทศไทยเกือบจะถูกยึดครองโดยมหาอำนาจที่ชนะสงคราม เคราะห์ดีที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวของประชาชนและมีพระสยามเทวาธิราชคุ้มครอง เราจึงรอดจากการถูกยึดครองออกมาได้อย่างปาฏิหาริย์
บุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น หรือได้ผจญกับเหตุการณ์ในครั้งนั้นย่อมรู้ดีว่า สถานการณ์ของประเทศเราตอนนั้นร่อแร่เพียงใด ในยามสงครามเราต้องถูกบังคับจำยอมเป็นมหามิตรกับฝ่ายอักษะ คือเยอรมัน อิตาลี และญี่ปุ่น และยอมให้กองทัพญี่ปุ่นใช้เมืองไทยเป็นทางผ่านลงไปตีอังกฤษทั้งทางตะวันตกและทางใต้ รวมทั้งผ่านมาจากทางทิศตะวันออกเมื่อญี่ปุ่นยึดครองญวนได้แล้ว เพื่อส่งกำลังเข้ามาในกรุงแล้วเดินทางต่อไปยังทางใต้และตะวันตก
ถ้าผู้นำของประเทศเราในขณะนั้นไม่รู้จักใช้นโยบายยืดหยุ่น กรุงเทพ ฯ ก็คงเป็นผุยผงไปแล้ว และประเทศไทยทั้งประเทศก็คงต้องตกอยู่ในฐานะถูกยึดครองโดยกองทัพลูกพระอาทิตย์แน่นอน ผู้นำในขณะนั้นจึงต้องจำยอมรับสภาพความเป็นมหามิตร และร่วมรุกร่วมรบกับญี่ปุ่น พอญี่ปุ่นแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข เราก็ตกเป็นผู้แพ้ไปด้วย กองทัพอังกฤษซึ่งเป็นกองทัพที่รับผิดชอบในแถบนี้ ก็จะเข้ามายึดครองเราเช่นผู้แพ้
เคราะห์ดีที่เรามีพระมหากษัตริยาธิราชที่มีพระปรีชาญาณล้ำเลิศ และมีพระสยามเทวาธิราชคุ้มครองเราอยู่
การสงครามครั้งนั้นมีประเทศเราประเทศเดียวที่เป็นฝ่ายอักษะ ได้รับการยอมรับจากสัมพันธมิตรให้คงสภาพเดิมอยู่ได้ รบกันแทบแย่ โดนทิ้งระเบิดจนกรุงเทพ ฯ เป็นเมืองร้าง ด่าพ่อล่อแม่เขาจนลั่นโลก ด่าไปจนถึงกษัตริย์ของเขาเสียไม่มีดี
จบลงท้าย กลับเจ๊าไปได้ ไม่แพ้ไม่ชนะ อย่างนี้ไม่เรียกว่าปาฏิหารย์จะให้เรียกว่าอะไร ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์การสงคราม
หลังจากนั้น ความยุ่งยากก็เข้ามาเยี่ยมกราย เป็นเรื่องปกติของประเทศชาติทุกแห่งที่จะต้องประสบหลังจาก สงคราม ข้าวยากหมากแพงอย่างที่เขาว่ากัน ผู้คนขาดอาชีพ ไม่มีทางทำมาหากิน
ทหารที่ถูกปลดปล่อยจากกองทัพไม่มีอาชีพ ต้องปล้นสดมภ์ โจรผู้ร้ายเต็มบ้านเต็มเมือง รัฐบาลสมัยนั้นก็จนใจที่จะแก้ไข เพราะจู่ ๆ ก็ถูกจับมาปกครองประเทศ จะไม่รับก็ไม่มีใครยอมรับ ความปั่นป่วนเกิดขึ้นทั่ว ๆ ไป ประชาชนก็ขาดที่พึ่งพิง แถมบุคคลในคณะรัฐบาลบางคนยังฉวยโอกาสหาผลประโยชน์จากความยุ่งยากในครั้งนั้นเข้าอีก เกิดการคอร์รัปชั่นแสวงหาผลประโยชน์กัดกินประเทศชาติกันอย่างขนาดใหญ่ ตักตวงเอาผลประโยชน์ที่รัฐจัดส่งให้ประชาชนไปเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวและพรรคพวก
ประชาชนยังคงต้องเผชิญกับความยากจนอยู่ทั่ว ๆ ไป ครั้งนั้นประชาชนส่วนใหญ่จึงหันไปหาใครก็ได้ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของเขา
คณะรัฐประหารจึงก่อตัวขึ้น ความจริงในขณะนั้นก็ได้มีกลุ่มบุคคลหลายกลุ่มที่คบคิดกันที่จะทำการปฏิวัติ แต่กลุ่มที่ไวกว่าเท่านั้นที่จะฉวยโอกาสไว้ได้อย่างง่าย ๆ
กลุ่มคณะรัฐประหารนำโดยพลโท (ยศตอนนั้น) ผิน ชุณหวัณ ฉวยโอกาสทองอันนี้ไว้ได้ก่อนคณะอื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่เป็นนายทหารนอกราชการ ทำการยึดอำนาจครั้งนั้นไว้ได้สำเร็จ ด้วยกำลังเพียงไม่กี่กองทัพ แถมที่อยู่กองพันหนึ่งที่ยกกันไปจับตัวหัวหน้ารัฐบาลตอนนั้นด้วยการแบกปืนเล็กยาวที่ไม่มีลูกเลื่อนปืนแม้แต่กระบอกเดียวทั้งกองพัน ก็ยังทำการได้สำเร็จ
ผมได้เขียนรายละเอียดของเรื่องนี้ไว้แล้วในหนังสือของผมตอนต้น ๆ นั่นเป็นข้อยกเว้นที่ไม่ปรากฏบ่อยนัก ด้วยเหตุการณ์และสภาพทางการเมืองและอะไรต่ออะไรของบ้านเมืองอำนวยให้ประชาชนยอมรับได้ทุก ๆ กรณี เพื่อที่จะดิ้นไปหาสภาพการณ์ใหม่ ๆ ที่อาจจะดีกว่า ด้วยความเหลวแหลกอย่างไม่มีที่ติอย่างว่าของรัฐบาลขณะนั้น
ผมอยากจะเตือนใครก็ได้ไว้สักหน่อยว่า อย่าปล่อยให้สภาวะอย่างนั้นเกิดขึ้นอีกในบ้าน อย่าถือว่ามีอำนาจล้นฟ้า บันดาลอะไรก็ได้ หรือคุมเหตุการณ์ได้แน่นอน เกิดเรื่องเมื่อใดก็ใช้กำลังเข้าปราบปรามได้เด็ดขาด
อย่าตกอยู่ในความประมาท เพราะเมื่อใดประชาชนทนไม่ได้ ก็จะต้องผจญกับพลังอันมหาศาลที่กองทัพจะต้านทานไม่ได้ เหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นแล้ว
ผู้ยิ่งใหญ่ที่คิดว่ากุมอำนาจไว้เด็ดขาดต้องมีอันเป็นไป ต้องระเห็จออกนอกประเทศ ไปตายนอกประเทศก็มี และก็เคยมีเหตุการณ์เช่นว่านี้ซึ่งได้ทำให้มีวีรบุรุษเกิดขึ้นมาแล้วที่อยู่ทางฝ่ายประชาชน
วีรบุรุษแห่งสะพานมัฆวาฬนั่นไง ยังจำกันได้ไหมเล่า วีรบุรุษท่านนั้นอย่าได้ลืมตัวเสียก็แล้วกัน เมื่อได้มานั่งในเก้าอี้ที่กุมอำนาจเต็มมือ การกล่อมพลังประชาชนนั้นไม่ใช่ของง่าย ๆ มันง่ายเป็นบางจังหวะ และมันจะยากเป็นบางจังหวะ ข้อสำคัญ ท่านต้องรู้จักจังหวะ
ท่านจะได้เคยสังเกตกันบ้างไหมว่า การปฏิวัติแต่ละครั้งนั้นที่สำเร็จมักจะเป็นบุคคลที่มาจากสถาบันเดียวกัน เคยกินข้าวโต๊ะเดียวกัน นั่งเรียนในห้องเดียวกัน มีผู้บังคับบัญชาในโรงเรียนคนเดียวกันและเป็นพ่อลูกเดียวกัน คือเสด็จพ่อในรัชกาลที่ห้า ซึ่งพวกนักเรียนนายร้อยจะต้องไปเข้าแถวล้อมรอบพระบรมรูปที่ศาลาวงกลมทุก ๆ สิ้นปีการเรียน เพื่อขอพรต่อพระองค์ท่านก่อนการสอบไล่ใหม่ทุกปี แล้วทุกคนก็สอบไล่ได้สมปณิธานทุกปี มีเหมือนกันที่มีคนสอบตก แต่น้อยมาก ที่ตกเพราะคะแนนความประพฤติก็มี ก็ต้องนับว่าซวยไป
เพื่อนร่วมรุ่นผมคนหนึ่ง มันเป็นเอกในทางขี้เกียจดูหนังสือ วันสอบไล่ปลายปีสุดท้ายจะออกรับกระบี่กันอยู่แล้ว มันยังขี้เกียจดูหนังสือ
ข้อสอบวิชากฎหมายลักษณะอาญานั้นมันหนักแค่ไหนทุกคนที่เคยเรียนมาก็ย่อมรู้ ไอ้เสือนี่มันรู้ตัวว่าแย่มากในวิชานี้ ถึงวันทำพิธีขอพรเสด็จพ่อ มันก็ไปล้อมวงด้วย แล้วถือโอกาสเอาหนังสือกฎหมายอาญานี้ไปด้วย เอาไปวางไว้ที่หน้าแท่นตรงหน้าพระรูป แล้วมันก็อธิษฐานให้เสด็จพ่อช่วยมัน บอกข้อสอบให้มันด้วย
พอมันขึ้นนอนแล้ว ผมก็แอบย่องลงมาจากโรงนอน จะมาล้อมันเล่น ผมแอบเปิดหนังสือนั้นออกหน้าหนึ่งลึก ๆ แล้วเอาก้อนหินทับไว้ แล้วก็ย่องขึ้นนอน
เช้ามืดมันก็ลงมาดูที่แท่น เห็นหน้าหนังสือเปิดอยู่ มันก็ดีใจคิดว่าเสด็จพ่อมาเปิดให้มัน มันก็ดูหนังสือวิชานั้นแต่หน้านั้นทั้งหน้า หน้าอื่นไม่เอาใจใส่
ผลของการออกข้อสอบวิชากฎหมายลักษณะอาญาปีนั้น ออกมาแต่หน้านั้นทั้งหน้าเลยครับ มีปัญหาอยู่ข้อเดียวแต่ต้องตอบกันยาวเหยียด และคำตอบอยู่ในหน้านั้นทั้งหมด ไอ้นั่นมันดีใจใหญ่ มันเอาดอกไม้ไปกราบไหว้เสด็จพ่อในคืนนั้นทันที
หรือเสด็จพ่อบันดาลให้ผมลงไปเปิดให้มันก็ไม่รู้
นั่นเป็นเหตุการณ์ประทับใจตอนหนึ่งของชีวิตในโรงเรียนนายร้อย เหตุการณ์ประทับใจอย่างนี้ก็คงจะมีเกิดขึ้นในระหว่างเพื่อนร่วมรุ่นอื่น ๆ เหมือนกัน แตกต่างกันไปตามแต่เหตุการณ์ เราไม่โกรธกัน ไม่ถือกัน เพราะรู้ว่าเป็นการหยอกล้อระหว่างเพื่อนฝูง
บางรายมีเรื่องกระทบกระทั่งกันนิดหน่อยก็ชวนกันเข้าห้องยิม เอานวมมาสวมเข้าแล้วก็ต่อยกันโดยไม่นับยก จนกว่าฝ่ายหนึ่งจะหมอบลงไป แล้วเขาก็จับมือกัน เลิกแล้วกันไป ไม่ถือโทษโกรธพยาบาทกัน ไม่ชอบใจอีกเมื่อไรก็ชกกันอีกก็ได้ ที่เขาไม่ชกกันด้วยหมัดลุ่น ๆ ด้วยความโมโหหุนหันก็เพราะถ้าขืนทำอย่างนั้น ผู้บังคับบัญชาในโรงเรียนมาเห็นเข้า ก็ต้องเข้าไปนอนเอนหลังในห้อง ๑๘
ห้อง ๑๘ เป็นห้องเดียวที่พวกนักเรียนนายร้อยไม่อยากเข้าไปนอน เพราะมันเป็นห้องขังสำหรับผู้กระทำความผิดร้ายแรง เป็นห้องที่ผู้ถูกลงโทษจะต้องหอบที่นอนหมอนมุงเข้าไปนอนแทนที่นอนบนกองร้อย แล้วแต่จะถูกกำหนดให้นอนกี่วันโดยคำสั่งลงโทษนั้น ๆ แล้วยังถูกตัดแต้มความประพฤติอีกยี่สิบแต้ม
แต้มความประพฤตินี้ถือเป็นสมบัติอันควรแก่การทะนุถนอมเป็นอย่างยิ่ง ต้องพยายามรักษาไว้อย่าให้ถูกตัดโดยไม่จำเป็น เพราะถ้าถูกตัดเกินกำหนดที่วางไว้ก็อาจมีหวังไม่ได้เข้าสอบไล่ เมื่อไม่ได้เข้าสอบไล่ มันก็สอบตก โดนเรียนซ้ำชั้น
กฎของโรงเรียนนายร้อยนั้น เขาเปิดโอกาสให้เรียนชั้นเดียวกันได้เพียงสองปี ถ้าสอบตกทั้งสองปี เขาก็เชิญออกไปเรียนที่อื่น จะมานั่งสอบทุกปีเป็นปู่โรงเรียนอย่างโรงเรียนสามัญนั่นไม่ได้ เขาต้องเปิดที่ว่างให้คนอื่นมาเข้าเรียนบ้าง
ฉะนั้น มักจะเกิดเรื่องเมื่อถึงคราวสอบไล่ประจำปี หรือสอบเก็บคะแนนประจำภาคบ่อย ๆ โดยเพื่อนที่อยากจะช่วยเพื่อน โดยแอบให้เพื่อนลอกคำตอบจากกระดาษคำตอบของตัว ที่ทำเป็นปล่อยให้ห้อยลงมาข้าง ๆ ตัวบนโต๊ะเรียน แล้วให้เพื่อนข้างหลังชะโงกแอบอ่านเอาเอง นายทหารที่คุมสอบเห็นเข้า จับได้ รายงานขึ้นไป โดนถูกปลดออกไปก็มี
Create Date : 06 พฤษภาคม 2553 |
Last Update : 6 พฤษภาคม 2553 2:38:50 น. |
|
1 comments
|
Counter : 782 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ก้นกะลา วันที่: 6 พฤษภาคม 2553 เวลา:18:19:23 น. |
|
|
|
| |
|
|