จงให้ความสำคัญต่อสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าสิ่งที่ถูกใจ
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28 
 
27 กุมภาพันธ์ 2553
 
All Blogs
 

ชัยชนะและความพ่ายแพ้ของ "บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย" (ตอนที่ 31)

โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ

ตอนที่ 31

เมื่อเห็นกองทัพอากาศเจริงอย่างนั้น บนเรือก็วุ่นวายชุลมุน เพราะใช้ปืนเรือยิงก็ไม่ได้ผล เรือก็ชักจะยิงสะเปะสะปะ เข้ามาตกในเมืองก็มี เป้าหมายก็คงจะใช้ปืนยิงมายังที่ทำการของฝ่ายรัฐบาลก็ได้ แต่ปืนนั้นใหญ่เกินไปสำหรับยิงในเมือง กระสุนจึงตกเปะปะในที่ต่าง ๆ ซึ่งไม่น่าจะเป็นที่หมาย

เครื่องบินปีกแดงลำนั้นก็เริ่มหย่อนลูกระเบิดลงเรือหลวงศรีอยุธยา ระเบิดลูกหนึ่งลงไปในปล่องเรือพอดี ตกลงไปที่ห้องเครื่อง เกิดระเบิดในห้องเครื่อง ภายในเรือก็วุ่นวายกันใหญ่ ทหารเรือที่อยู่ในห้องเครื่องเสียชีวิตไปหลายคน

นาวาตรี มนัส และนาวาโท อานนท์ กัปตันเรือ ต้องหลบหนีโดดลงแม่น้ำ ส่วนตัวท่านจอมพล ป. นั้น มีนายทหารเรือคนหนึ่ง ยศเรือโท พาตัวโดดลงน้ำ ประคองว่ายน้ำหนีมาขึ้นฝั่งที่กองบัญชาการกองทัพเรือที่ท่าพระราชวังเดิมได้โดยปลอดภัย และหลบอยู่ที่นั่น ตัวนาวาตรี มนัส หายไป ไม่ได้อยู่ที่กองบัญชาการกองทัพเรือ ทั้งตัวท่านกัปตันเรือก็ไม่รู้หายไปไหน

บุคคลที่นำท่านจอมพล ป. ประคองว่ายน้ำข้ามฟากมาขึ้นที่ท่าพระราชวังเดิมได้อย่างปลิดภัยนั้น มีชื่อว่า เรือโท (ยศขณะนั้น) ชอบ ศิริวัฒน์

ได้พบท่านผู้นี้เมื่อตอนต้นปี 2529 ท่านเข้ามาทักผมเองในร้านอาหารแห่งหนึ่งแถว ๆ ถนนพระราม 6 โดยผมไม่รู้จักว่าท่านเป็นใคร แต่ท่านรู้จักผม ท่านได้เดินจากโต๊ะของท่านเข้ามาหา แล้วแนะนำตัวเองกับผมอย่างสุภาพ เราก็เลยได้คุยกันเป็นครั้งแรกในวันนั้น ท่านมียศนาวาเอก หรือจะเป็นนายพลเรือแล้วก็ไม่ทราบ ป่านนี้คงจะเกษียณอายุไปแล้ว

ผมมันเป็นคนขาดทุนคนทั้งหลายเขาอย่างนี้ คือเขารู้จักผม แต่ผมไม่รู้จักเขา ก็เลยคุยกันไม่ค่อยจะเข้าเรื่อง นี่ดีแต่ท่านบอกชื่อมาก่อน ผมก็เลยเดาเรื่องถูก เพราะรู้อยู่ว่าบุคคลชื่อนี้ นามสกุลนี้ เป็นคนที่พาท่านจอมพล ป. ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาจากเรือรบหลวงศรีอยุธยาไปได้อย่างปลอดภัย

ถ้าไม่มีบุคคลผู้นี้ ท่านจอมพล ป. จะเป็นอย่างไรก็ยังเดาไม่ออก เพราะท่านแม่ทัพอากาศสั่งทิ้งระเบิดเรือลำนั้นอย่างไม่คิดถึงชีวิตเพื่อนของท่าน และยังประกาศให้ท่านจอมพล ป. เสียสละเสียอีก เพื่อการปราบปรามกบฏให้ราบคาบ จะมาเอาชีวิตของท่านจอมพล ป. เป็นเครื่องต่อรองไม่ได้

ผู้คนทั้งเรือจึงต้องสละเรือใหญ่ โดดน้ำหนีกันทั้งลำเรือ และเรือก็จมลง เป็นการปิดฉากการสู้รบครั้งนั้น เรือรบหลวงศรีอยุธยายังจมอยู่ใต้แม่น้ำเจ้าพระยา และค่อย ๆ เลื่อนเคลื่อนลำไปทีละน้อยตามกระแสน้ำ ไปติดอยู่แถวบริเวณสะพานพุทธ ฯ

มีการพยายามที่จะกู้เรือขึ้นมา แต่ไม่สำเร็จ ไม่ว่าบริษัทไหนก็ไม่สามารถที่จะกู้เรือลำนี้มาได้จนบัดนี้ ผมไม่ได้ข่าวอีกว่า ทางราชการจะได้กู้เรือลำนี้ขึ้นมาสำเร็จหรือไม่ เพราะไม่ได้ติดตามข่าวนี้อีกเลย

ในขณะที่มีข่าวเรือรบหลวงศรีอยุธยาจมลงนั้น ในกรุงเทพ ฯ ก็มีข่าวเรื่องทหารเรือส่วนหนึ่งนำกำลังตีฝ่าแนวของรัฐบาล จากกองสัญญาณ ทหารเรือมาตามถนนราชดำริ เข้ามาทางประตูน้ำ และเดินหน้ามาตามถนนเพชรบุรี บ่ายโฉมหน้ามาหาวังปารุสกวันแล้ว

เจ้านายของผมออกคำสั่งทันทีให้ผมนำกำลังรถเกราะทั้งใหญ่เล็กออกสกัด โดยบอกว่าจะมีกำลังทหารหนึ่งกองร้อยจากกองทัพ 1 ซึ่งอยู่ติด ๆ กับวังปารุสกวัน มาเป็นหน่วยกำลังกองหนุน

พอคำสั่งออกมา มีนายทหารยศชั้นร้อยเอก นั่งรถจี๊ปคุมกำลังหนึ่งกองร้อยมาถึงพอดี ร้อยเอกผู้นั้นเข้ามารายงานตัวกับท่านรองอธิบดีเผ่า ฯ แล้วรถเกราะใหญ่สองคัน เล็กสองคัน ก็เคลื่อนออกมาจากหน่วย มาสมทบ

เจ้านายหันมาสั่งผม

“ มึงเอารถเกราะนำทหารเข้าไป ถ้าทหารเรือผ่านประตูน้ำมาได้ มึงไม่ต้องมาให้กูเห็นหน้า ”

ผมตะเบ๊ะรับคำสั่ง โดดขึ้นนั่งหน้าป้อมรถเกราะคันใหญ่ที่จอดอยู่ตรงหน้า แล้วสั่งเคลื่อนขบวนออกไปตามถนนที่ผ่านหน้านั้นไปทันที

รถจี๊ปมีนายทหารร้อยเอกคุมมาคันนั้น แล่นผ่านหน้าผมไปเป็นรถนำ เห็นจะเป็นเพราะรถเกราะคันใหญ่ของผม มันค่อนข้างจะอืดอาด วิ่งเร็วนักไม่ได้ เขาจึงเอารถผ่านหน้าผมไปเป็นรถนำ ส่วนรถที่บรรทุกกำลังตามมานั้น ยังคงแล่นตามผมมาเป็นขบวน

รถนำผ่านไปตามถนนที่เลียบเขาดินไป ผ่านพระราชวังสวนจิตรลดา แล้วออกไปทางถนนพระราม 5 เข้าถนนเพชรบุรี ผ่านราชเทวี เข้าไปทางประตูน้ำ สมัยนั้น สะพานลอยประตูน้ำยังไม่มี ถนนเพชรบุรีก็ยังไม่มีตัดใหม่ ถนนเพชรบุรีมาสิ้นสุดที่คลองประตูน้ำ แล้วก็ต้องเลี้ยวขวาเข้าถนนราชดำริ ไปทางสี่แยกเพลินจิต เลี้ยวซ้ายเข้าถนนเพลินจิต ไปทางแยกถนนวิทยุ

กองสัญญาณทหารเรือตั้งอยู่บนถนนวิทยุ เลยไปทางสี่แยกศาลาแดง ที่ตั้งของกองสัญญาณทหารเรือก็คือที่ตั้งของโรงเรียนรวมเหล่า (เดี๋ยวนี้คือ Night Bazaar – ธารน้อย)

รถนำของร้อยเอกคนนั้น นำมาถึงแถวสี่แยกเพลินจิต แล้วเลี้ยวหายไปทางไหนก็ไม่รู้ ผมตามไม่ทัน พอรถเกราะใหญ่ของผมมาถึงสี่แยกเพลินจิต ก็ไม่เห็นเขาเสียแล้ว ผมเลี้ยวรถเข้าถนนเพลินจิต ตรงไปทางสี่แยกวิทยุ พอถึงสี่แยกวิทยุ ผมเห็นมีแถวทหารหมอบอยู่ในคูข้างถนน ด้านสถานทูตอังกฤษ สมัยนั้นสองข้างถนนเพลินจิตยังเป็นคันคูไปตลอดคลองข้างทาง ยังไม่ถมคูทำเป็นถนนอย่างสมัยนี้

ทหารที่หมอบอยู่ในคู ต่างมองดูรถเกราะของผมอย่างแปลกใจ เพราะคนที่นั่งอยู่ข้างหน้าป้อมปืนเป็นตำรวจในเครื่องแบบร้อยตำรวจเอก คือผมนั่นแหละ

ผมสั่งหยุดรถตรงถนนสี่แยกวิทยุ โดดลงจากป้อมปืน ลงมาสั่งการให้รถเกราะใหญ่สองคันเข้าประจำที่ในถนนวิทยุสองข้างริมถนน
ขณะที่ผมยืนจังก้า ถ่างขาสั่งการ ชี้จุดให้รถเข้าที่อยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงกิ่งไม้บนหัวลั่นดังกราว เหมือนมีอะไรไปกรีดใบไม้ที่กิ่ง มันดังกราวเป็นทางจากด้านหลังผมมาทางด้านหน้า ผมก็ยังไม่รู้สึกอะไร

ต่อมาในช่วงเวลานั้น ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนถนนถูกครูดด้วยของมีคมหนัก ๆ แล้วก็มีรอยแผ่นคอนกรีตถนนถูกครูดไปเป็นทางลึก ลอดใต้ขาผมไป มันขุดเอาคอนกรีตถนนที่ใต้หว่างขาผมนั้นไปเป็นลอยลึก

ผมชักเอะใจ หันขวับไปมองทางข้างหลัง

แสงไฟแวบออกมาเป็นประกายจากอะไรอย่างหนึ่ง ผมเผ่นพรวดลงคูข้างถนนพร้อมกับเสียงดังโครมใหญ่เข้าที่ป้อมปืนใหญ่จำลองที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ ตรงมุมรั้วสถานทูตอังกฤษ เสาคอนกรีตที่ปืนใหญ่นั้นกระจายว่อนตรงจุดที่ตรงกับหัวผมพอดี ถ้าผมยังยืนจังก้าอยู่ตรงสี่แยกนั้น

พวกแถวทหารที่หมอบอยู่ในคูส่งเสียงหัวเราะกันกราว มองดูผมที่ยังหมอบมองเขาอยู่ในคู น่าหมั่นไส้ไหมล่ะ

ตอนที่ผมยืนจังก้าสั่งการให้รถเกราะเข้าที่นั้น เขาก็ไม่ได้บอกผมว่าทางปลายถนนนั้นมันมีปืน ไม่รู้ขนาดไหน ตั้งอยู่ และไอ้ปืนกระบอกนั้นก็คงจะระดมยิงพวกเขาเข้าให้ก่อนหน้านั้นแล้ว จนต้องลงไปหมอบกันอยู่ในคู

พวกเขาน่าจะบอกผมบ้างว่า อะไรเป็นอะไรที่นั่น เขาก็ไม่บอก ปล่อยให้ผมออกไปยืนเป็นเป้าปืนขนาดใหญ่อย่างสง่าผ่าเผย จนต้องเผ่นลงคูแทบไม่ทัน เคราะห์ดีที่มันข้ามหัวไปนัดหนึ่ง และลอดหว่างขาไปนัดหนึ่ง ไม่งั้นผมก็คงด่าวดิ้นไปแล้ว และถ้าไอ้นัดที่ลอดหว่างขาไปนั้น มันเขยิบสูงขึ้นมาอีกหน่อย ผมมิเสียอะไรต่อมิอะไรที่ควรถนอมไปทั้งพวงเรอะ นึกแล้วเสียวไส้ !

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่นิยายแต่งขึ้นมาเขียน ผมนึกถึงทีไรก็ยังอดเสียวไม่ได้จนบัดนี้

ผมหันไปดูรถของผม เขายังจอดอยู่ที่ใกล้กับสี่แยกนั้น รอฟังคำสั่งผมอยู่ เขาก็คงไม่รู้ว่า ผมโดดลงคูไปทำไม เพราะจากภายในรถ เขาคงจะมองอะไรทางข้างไม่ชัด

ผมค่อย ๆ คลานขึ้นมาจากคู มาที่รถที่จอดแอบอยู่ข้างทาง ผมโดดขึ้นไปบนรถ ปีนขึ้นไปนั่งอยู่ข้างหลังป้อมปืน ซึ่งพลยิงของผมยังคุมปืนยี่สิบ มม. นิ่งอยู่ เมื่อแอบเข้าข้างหลังป้อมปืนได้แล้ว ผมก็โบกมือให้รถเกราะใหญ่อีกคันตามมาอีกฟากของถนนวิทยุ ส่วนรถเกราะเล็กนั้น ผมให้ตามหลังมาทั้งสองคัน ผมสั่งคนขับให้เลี้ยวเข้าถนนสุขุมวิททันที

พอรถตั้งหน้าตรงถนน ผมก็สั่งยิงไปตรงหน้า หมายจะทำลายปืนกระบอกนั้น ซึ่งเดาเอาว่าคงจะตั้งอยู่บนถนน แต่ระยะห่างเท่าไร วัดไม่ได้ ทางโน้นนะเขารู้ระยะแน่ เพราะตอนที่เขาออกมาตั้ง เขาก็ต้องรู้ว่า ที่ที่เขาตั้งปืนนั้น ห่างจากปากถนนเท่าไร แต่ทางผมไม่มีทางรู้ว่า เขาอยู่ห่างจากปากถนนแค่ไหน ได้แต่กะเอา

ผมนอนแอบบังป้อมปืนอยู่ เมื่อรถค่อย ๆ เขยิบเข้าไป กระสุนปืนของฝ่ายโน้นยังคงมีมาอยู่ ทีนี้แถวทหารที่หมอบอยู่ในคูก็เขยิบออกมา ข้ามคูถนนเพลินจิตไปยังคูข้างถนนวิทยุ เพราะมีรถเกราะใหญ่ของผมคุ้มอยู่ แถวทหารถ่อปืนคืบคลานไปตามคูริมถนนวิทยุ เป็นแนวเรียงไปตามคันคู

ผมหันไปมองแถวนั้น ได้ยินเสียงดังเฟี้ยว แล้วทหารคนหนึ่งก็ฟุบหัวทิ่มลงคู นิ่ง เดี๋ยวก็มีเสียงเฟี้ยว ทหารลงไปหัวทิ่มอีกคน นั่นมันเสียงปืนเล็กยาวแน่ ๆ ทหารอีกสองสามคนหัวทิ่มลงคูไปอีกตามเสียงปืนเล็กยาวนั่น ไม่รู้ว่ามันมาจากทางทิศไหน

ผมสะกิดพลปืนให้เอากล้องส่องทางไกลประจำรถออกมา ผมยกกล้องขึ้นส่องไปตามกิ่งไม้ที่เรียงรายอยู่สองข้างถนน มันต้องอยู่ด้านขวามือ เพราะมีแต่ทหารทางด้านขวาเท่านั้นที่หัวทิ่มคู ผมส่ายกล้องไปมาตามกิ่งไม้ข้างบน แล้วผมก็เห็น

บนคาคบกิ่งไม้ต้นหนึ่งทางขวามือ ไกลออกไปสักสองร้อยกว่าเมตร สีกากีของเครื่องแบบทหารเรือมันตัดกับสีเขียวของกิ่งไม้ เขานั่งอยู่บนคาคบไม้ต้นหนึ่ง ขี่คาคบนั้นอย่างสบายอารมณ์ ที่ไหล่มีปืนเล็กยาวประทับอยู่ แล้วเขาก็ลั่นไกอย่างสนุกมือ ส่องเอาทหารในคู หัวทิ่มคนแล้วคนเล่า โดยไม่รู้ที่มาของกระสุน

ผมตบไหล่พลปืนให้หลบไป แล้วผมก็ล้มลงจับพานท้ายปืนหันมาเล็งไปที่หมายบนคบไม้นั่น พอได้ศูนย์นั่งแท่นดี ผมก็หมุนล๊อคปืนแน่น แล้วตบไหล่พลยิงให้ลั่นไกเป็นชุด

ผมหยิบเอากล้องมาส่อง เสียงปืนจากรถคำรามถี่ ๆ ออกไป ร่างของทหารเรือคนนั้นก็ลอยลิ่วลงมาจากคบไม้นั้น เสียงเฟี้ยวหายไป ทหารที่คืบคลานไปตามคูนั้น ไม่มีใครเอาหัวทิ่มคูอีก

ผมเองก็โดนลูกปืนเฉียดปลายขาที่ยื่นออกไปข้างป้อมปืนที่แอบอยู่ ควันฝุ่นข้างป้อมออกฉุยที่ทางด้านที่ขาผมยื่นออกไป

ผมสั่งให้รถถอยออก เพื่อที่จะเข้าไปที่ป้อม ไอ้รถเกราะเล็กของผมคันหนึ่งมันดันแล่นผ่านหน้าผมไป เข้าไปในถนนแล้วหัวมันก็ทิ่มเข้ากับต้นไม้ข้างทาง หัวปักต้นไม้นิ่ง ไม่มีใครออกมาจากรถนั้น

ผมต้องสั่งให้รถที่ผมหมอบอยู่นั้นเข้าไปอีก เสี่ยงลงไปเอาสลิงเกี่ยวไอ้รถคันนั้นลากออกมา ดึงออกมาเข้าถนนเพลินจิต แล้วไปที่รถคันนั้น เปิดประตูข้างออกดู

ทั้งพลขับและพลปืน นั่งหัวทิ่มกระจังหน้ารถนิ่ง ตายสนิททั้งคู่

ไอ้คนที่นั่งข้างคนขับมีหน้าที่เป็นพลยิง ตรงหน้าของมันมีชามข้าวกระจายอยู่ มันยิงไปด้วยกินข้าวไปด้วย กระสุนที่ทะลุหน้ารถเข้าไปนั้น เจาะทะลุพุงมันพอดี ตรงใต้ลิ้นปี่ ผมดึงมันออกมาจากรถ ที่ตรงใต้ลิ้นปี่นั้น เป็นรูกลวง มองทะลุหลังได้ กระสุนที่โดนก็คงเป็นกระสุนที่มาจากปืนกระบอกที่ผมเผ่นหนีมันได้แค่เส้นยาแดงผ่าสิบหกนั่น

ผมสั่งรถเกราะคันใหญ่ของผมให้เอาสลิงออกมาพ่วง ดึงไอ้รถเกราะเล็กนั้นกลับไปที่หน่วย ให้ไปจัดการเรื่องศพกันเอง แล้วผมก็เข้าไปเอารถเกราะอีกคันที่เหลือ สั่งให้ตะลุยเข้าไปในถนนวิทยุอีก

พอเลี้ยวเข้า หันหน้าตรงตามถนนวิทยุ ผมก็สั่งพลปืนที่ป้อมปืนยิงตะลุยไปพร้อมกับรถ เข้าไปได้หน่วยเดียว รถเกราะใหญ่ที่ผมนั่งก็โดนกระสุนเข้าตรงหน้าอย่างจัง ดีที่เกราะตรงนั้นหนา แต่กระนั้นรถทั้งคันก็สั่นเหมือนถูกจับโยก

คิดดูก็แล้วกันว่า รถเกราะขนาดแปดตันโดนโยกอย่างนั้น ฤทธิ์เดชของกระสุนมันจะหนักเท่าไร ต้องเป็นปืนขนาดใหญ่ไม่ต่ำกว่า 20 มม. ควันดินปืนลอดช่องมองที่ปิดแล้ว เข้ามาคลุ้งอยู่ในรถ

ผมสั่งเดินหน้า พลปืนก็ยิงลั่นกระสุนไม่นัด ครู่เดียว เขาก็ร้องออกมาว่า

“ ขัดลำกล้องครับ ”

เสียงปืนสะดุดหยุดลง พลยิงพยายามที่จะดึงลูกเลื่อน แต่มันไม่ทำงานเสียแล้ว ผมก็ต้องตกเป็นเป้านิ่ง กำลังสั่งให้ถอยนั่นเอง ผมก็โดนเข้าอีกนัด ทีนี้มันตัดเพลาใต้รถขาด รถที่กำลังจะถอยก็หันคว้าง ล้อรถมันบิดไปทางขวา ดึงไม่กลับ ถอยออกไปก็จะลงคูท่าเดียว ไม่ยอมออกไปทางอื่น พวงมาลัยบิดไปทางซ้ายไม่ได้ คนขับหน้าเสีย ทำอย่างไรก็ดึงพวงมาลัยกลับไม่ได้ ถอยไปรถมันก็จะลงคูเอา ไอ้คนขับร้องไห้อย่างไม่อาย มันคงเกิดความกลัวสุดขีด จะไม่กลัวยังไง เสียงลูกปืนขนาดใหญ่นั่น มันฉีวเฉียดกระทบข้างเกราะอยู่เป็นระยะ ๆ รถขยับไม่ได้ก็ต้องตกเป็นเป้านิ่ง ไอ้ปืนประจำรถก็ขัดข้องเสียอีก จะใช้ยิงสู้ก็ไม่ได้

ผมต่อยกร้วมเข้าที่ใบหน้าพลขับ

“ กลัวห่าอะไรวะ ” ผมคำรามเข้าใส่มัน “ กูอยู่ด้วย ตายก็ตายด้วยกัน เอาแขนมึงกดพวงมาลัยไว้แน่น ๆ กดลงทางด้านซ้าย แล้วถอยรถตามสั่ง ”

พลขับหยุดร้องไห้ ทำตามคำสั่งผม มันใช้ข้อศอกเข้าไปอัดพวงมาลัยกดไว้ ไม่ให้พวงมาลัยหมุนขวาไปมากกว่านั้น ผมสั่งให้เดินหน้ายาว

รถเดินหน้าไปได้ในระยะยาว ผมก็สั่งหยุดเมื่อมันถึงจุดที่จะเลี้ยวลงคู เพราะรถมันเลี้ยวขวาอย่างเดียว สั่งหยุดแล้วผมก็สั่งให้มันถอยหลังยาวอีกครั้ง พอถึงคูก็สั่งหยุด ให้เดินหน้าอีกยาว สลับกันอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เดินหน้าถอยหลังอยู่อย่างนั้น ชั่วประเดี๋ยวเดียวก็มาถึงทางแยก ผมสั่งถอยยาว รถก็ออกมาอยู่ถนนเพลินจิต พ้นวิถีกระสุนมาได้

ผมสั่งดับเครื่องจอดนิ่ง สักครู่ไอ้รถเกราะคันใหญ่ที่ให้ฉุดคันเล็กที่ถูกเจาะเกราะไปส่งหน่วยก็กลับมา ผมสั่งเอาสลิงเข้าฉุดคันของผมอีก เอากลับไปที่หน่วย คราวนี้ผมติดรถไปด้วย จะไปเปลี่ยนเอารถเกราะคันใหม่มาสู้ต่อ

มาถึงวังปารุสกวัน ผมก็เอารถเข้าหน่วย ขอรถคันใหม่มาเปลี่ยนอีกสองคัน

ผู้บังคับหน่วยส่งเสียงเอะอะลั่น

“ โอย คุณมาเอารถผมไปพังมาอย่างนี้ ผมไม่ให้แล้ว เดี๋ยวก็พังหมดกัน ”

ผมได้ยินเข้าก็งง ผมก็เอะอะเข้าให้มั่ง

“ ผมเอารถไปรบนะครับ ไม่ได้เอาไปทัศนาจร ไม่เหมือนคุณ ควบคุมรถอยู่แต่ที่นี่ ออกไปยิงกับเขาอย่างผมบ้างซิ ”

เขาเดินหนีผมขึ้นบ้านไป ไม่ยอมเถียงด้วย

เมื่อไม่ให้ ผมก็ไม่เอา แต่ก็อดตะโกนด่าไปไม่ได้ ก่อนที่ผมจะเอารถที่เหลืออยู่อีกคันที่ใช้ฉุดลากรถคันที่พังมานั้น กลับไปที่จุดสู้รบบนถนนเพลินจิต เขาจะได้ยินเสียงที่ผมตะโกนด่าไปนั้นหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เขาเป็นนายตำรวจอาวุโสกว่าผมหลายปี ยศชั้นพลตำรวจจัตวา ก็เท่ากับพันตำรวจเอกพิเศษสมัยนั้น ไอ้ผมมันร้อยตำรวจเอกเท่านั้น อย่าไปรู้เลยว่าเขาชื่ออะไร

ผมเอารถกลับมาถึงสี่แยกวิทยุ ผมก็จอดบนถนนเพลินจิต ไม่เข้าไปในถนนวิทยุนั้นอีก จะมาบ้ารบอยู่คนเดียวยังไง

ตอนนั้นก็เย็นมากแล้ว ใกล้หกโมงเย็น ผมสั่งรถจอดแอบตรงหน้าสถานทูตอังกฤษ แล้วก็ลงนอนเอนหลังที่หน้าป้อมปืน หลับดีกว่า

ผมหลับไปจนตะวันลับฟ้าอากาศมืด ชักหิว เรียกพลประจำรถสองคนมา คนหนึ่งเป็นพลขับ อีกคนหนึ่งเป็นพลปืน ให้ไปดูซิว่ามีอะไรกินแถวนี้มั่ง กำลังทหารในคูนั่นหายไปไหนหมดแล้วก็ไม่ทราบ แถวนั้นจึงมีรถเกราะคันเล็กจอดนิ่งอยู่อีกคัน และรถเกราะใหญ่ของผมเท่านั้น

พลประจำรถของผมหายไปพักใหญ่ก็กลับมารายงานว่า มีแต่ที่สี่แยกราชประสงค์แห่งเดียว เขาไปเคาะประตูร้าน มันไม่เปิด มันบอกว่าไม่มีอะไรในร้าน มีแต่กากหมูกับข้าวสวยเท่านั้น

ผมให้เขาไปสั่งเอาข้าวผัดกากหมูมากินกัน ควักกระเป๋าส่งเงินให้ร้อยหนึ่ง

เขาหายไปครู่ใหญ่ก็หิ้วเอาข้าวผัดกากหมูมาให้หลายห่อ ผมก็แบ่งไปให้กินกันทั่ว ๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ในบริเวณนั้น ข้าวผัดกากหมูแพงหน่อย ตั้งร้อยบาท แต่ก็ได้มาหลายห่อ พอแก้หิวไปได้

กินเสร็จผมก็เอนหลังบนรถหน้าป้อมปืนนั่น หลับไปได้ตลอดคืน ถ้าทหารเรือแอบย่องมาคืนนั้นก็คงเสร็จเรียบร้อยทั้งหมด

ตื่นเช้ามาผมก็กระวีกระวาดลงมาดูเหตุการณ์ รอบ ๆตัวเงียบไปหมด

ไม่กี่นาทีต่อมาก็ได้ข่าวจากทางในว่า ทหารเรือที่กองสัญญาณหนีไปหมดแล้ว เพราะทางกำลังฝ่ายรัฐบาลยกมาทางสนามม้าฝรั่ง ตะลุยข้ามคูเข้ายึดกองสัญญาณแต่เช้า ปรากฏว่าทหารเรือทั้งหน่วยไปก่อนหน้าแล้ว ฝ่ายรัฐบาลจึงเข้ายึดกองสัญญาณได้โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ

ผมเอารถเข้าไปทางถนนวิทยุ แล่นเรื่อยเข้าไปดูถึงกองสัญญาณ ปรากฏว่าจริง มีทหารบกอยู่หลายคนอยู่ในหน่วยนั้น ไอ้ปืนกระบอกนั้นเขายังทิ้งมันไว้กลางถนน เป็นปืนขนาด 20 มม. จริง ๆ ตั้งอยู่บนล้อลากเหมือนปืนใหญ่สนาม มิน่า ไอ้รถเกราะคันเล็กของผมจึงทานไม่อยู่ เจาะทะลุถึงเครื่องท้ายรถ ผ่านพุงพลยิง ไปออกถึงห้องเครื่องท้ายรถ ไปตุงอยู่ที่นั่น

ผมก็เอารถกลับ ได้ข่าวว่า ไอ้อ้วน เพื่อนผมมันกำลังสนุก ข้ามไปฝั่งธนบุรี ไปราวีทางฝั่งโน้น ทหารเรือมีหน่วยนาวิกโยธินสองสามหน่วยอยู่ทางฝั่งธน ฯ ผมนั่งรถจี๊ปประจำตัวของผมข้ามฟากไปฝั่งธน ฯ ไปช่วยเพื่อนต่อดีกว่าอยู่เปล่า ๆ

รถผมบึ่งมาถึงสะพานพุทธ ฯ ข้ามสะพานไปถึงกลางสะพานก็พบศพทหารเรือหัวทิ่มพื้นสองสามศพอยู่บนกลางสะพาน มีปืนตกอยู่ข้าง ๆ ศพ ก็ไม่รู้ฝีมือใคร เข้าใจว่าคงจะเป็นฝีมือของไอ้เพื่อนผม ขณะที่มันยกกำลังข้ามฟากมาเจอกัน ไอ้คนนี้ เวลามันทำงาน มันไม่ค่อยจะมีความบันยะบันยัง มันตะลุยไม่หยุดมือ

ผมผ่านสะพานพุทธ ฯ ไปเรื่อย ไปตามหน่วยนาวิกโยธิน ซึ่งผมรู้ว่าเขาตั้งอยู่ที่ไหนบ้าง ก็พบว่าทุกหน่วยถูกยึดครองได้หมดแล้ว ไม่มีการสูญเสียชีวิตทั้งสองฝ่าย ฝ่ายทหารเรือคงจะยอมเอง เพราะข่าวคราวการพ่ายแพ้ในกรุง ฯ คงจะไปถึงทางโน้นแล้ว ไอ้อ้วนไปตั้งกองบัญชาการของมันอยู่ที่สถานีตำรวจนครบาลบางยี่เรือ ผมไปพบมันที่นั่น ก็นั่งคุยกัน

ไม่มีอะไรทำ เพียงแค่จัดกำลัง วางเวรยามดูแลความสงบทั่ว ๆ ไปเท่านั้น เสร็จแล้วก็นั่งตั้งวงกับพวกตำรวจลูกมือของไอ้อ้วนอยู่ที่นั่น

การปราบปรามเหตุการณ์ที่เรียกว่า “ กบฏแมนฮัตตัน ” ก็สงบเรียบร้อยลงอย่างค่อนข้างจะสมบุกสมบัน เพราะได้ทำการสู้รบกันสามวันสองคืน เรียกว่าเป็นการปราบกบฏที่ยาวนาน เสียกำลังคนไปข้างละมากอยู่ ผมไม่ได้สำรวจว่าเสียกำลังคนตายจากไปกันฝ่ายละเท่าไหร่ เพราะไม่รู้จะสำรวจไปทำไม ไม่มีหน้าที่

หลังจากเหตุการณ์สงบเรียบร้อยลงอย่างไม่มีอะไรจะเป็นห่วงอีกแล้ว ก็มีการปูนบำเหน็จความดีความชอบกัน ผมได้สามขั้น ได้เป็นพันตำรวจตรีในปีนั้น นายเขาว่า มึงควรจะได้สี่ขั้น เพราะเข้าข่ายเสี่ยงชีวิต แต่ทางกรมเขาบอกว่า ถ้าได้สี่ขั้นก็ต้องลงปี๊บ คือขึ้นเชิงตะกอนไปเลย เขาเลยให้เพียงสามขั้นก็เรียกว่าสูงสุดแล้ว เท่าที่จะให้ได้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ผมก็ไม่ได้เถียงอะไร ได้เป็นพันตำรวจตรีก็พอใจแล้ว มีมงกุฎครอบดาวบนบ่า ถึงแม้ดาวจะหดไปเหลือดวงเดียวก็ยังดี




 

Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2553
2 comments
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2553 22:07:26 น.
Counter : 1823 Pageviews.

 

ตอนนี้มีทั้งฉากที่ตื่นเต้น ขำๆ น่าคิด มากมาย

 

โดย: Psycho man 1 มีนาคม 2553 7:20:20 น.  

 

ปล.
เริ่มอ่านทางเสือผ่านแล้วครับ
พอเริ่มอ่านทางเสือผ่าน (อารัมภบท ) ก็รู้สึกว่าน่าสนุกมาก
และรู้ความเกี่ยวข้องระหว่างชุมโจรต่างๆ กับสงครามโลกครั้งที่ 2 ในแง่มุมที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย
ขอบคุณมากครับ



 

โดย: Psycho man 1 มีนาคม 2553 7:33:23 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ธารน้อย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ธารน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.