:: แนวทางการสอนของโรงเรียนต้นกล้า ::
:: แนวทางการสอนของโรงเรียนต้นกล้า ::
เมื่อถูกถามบ่อยว่า “โรงเรียนทางเลือก” เป็นอย่างไร ผมขอถือโอกาสนี้อธิบายจากเอกสารประกอบการบรรยาย ของโรงเรียนเลยนะครับ
แต่ก่อนจะพูดถึงแนวทางการสอนของโรงเรียนต้นกล้า เชียงใหม่ ผมว่าเรามาทำความรู้จักกับนิยามความหมาย ของ “โรงเรียนกระแสหลัก” กันก่อนดีไหม ?
โรงเรียนกระแสหลัก เป็นแบบไหน ? ก็เป็นแบบที่พวกเราเคยเรียนกันมาในสมัยเด็กนั่นล่ะครับ
เด็กถูกคัดเลือกเข้าเรียน พร้อมกับครูเป็นผู้จัดการเรียนการสอน เลือกเฟ้นและหาวิธี “เติมความรู้” เข้าสู่สมองของเด็ก ด้วยวิธีการต่างๆ โดยแยกวิชาออกเป็น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ศิลปะ ฯลฯ
จากนั้นก็สอนไปตามลำดับขั้นตอน สุดท้ายก็ประเมินและวัดคุณภาพเด็กจาก “การสอบ”
ความรู้ส่วนใหญ่เกิดจากการท่องจำ จำเพื่อไปสอบวัดผล.....
ผมก็เรียนมาในระบบนี้ เรียนตั้งแต่อนุบาลจนจบมหาวิทยาลัย แล้วเมื่อผมถามตัวเองว่าเราชอบการเรียนการสอนแบบนี้ไหม ? คำตอบคือ “ไม่ชอบเลย”
ยิ่งถ้าไปเจออาจารย์ที่ไม่มีคุณภาพ ไม่มีจิตวิทยาในการสอน วิชานั้นจะยิ่งน่าเบื่อหน่ายมาก อาจารย์ถือเอกสารเข้ามาแล้วอ่าน อ่านแล้วก็จดบนกระดานให้เราลอกตาม สิ้นปีมาบอกก่อนสอบว่าข้อสอบจะออกอะไร เสร็จแล้วเรากลับบ้านไปอ่านๆๆๆแล้วจดจำคำตอบ เพื่อจะมากากบาทถูกผิดเสี่ยงดวง 1 ใน 4 ของคำตอบ....
เรียน จำ สอบ ลืม เรียน จำ สอบ ลืม เรียน จำ สอบ ลืม เรียน จำ สอบ ลืม เรียน จำ สอบ ลืม เรียน จำ สอบ ลืม เรียน จำ สอบ ลืม เรียน จำ สอบ ลืม เรียน จำ สอบ ลืม เรียน จำ สอบ ลืม เรียน จำ สอบ ลืม เรียน จำ สอบ ลืม เรียน จำ สอบ ลืม เรียน จำ สอบ ลืม เรียน จำ สอบ ลืม เรียน จำ สอบ ลืม
ฯลฯ
เป็นอย่างนี้ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการการเรียนรู้....
เราเรียนไปทำไม ?
เราเคยถามตัวเองบ้างหรือเปล่า ?
“การศึกษา” ซึ่งน่าจะเป็นกระบวนการที่ทำให้เราได้เรียนรู้ และพัฒนาตนเอง กลับเป็นทางเลือกหนึ่งซึ่งสร้างความน่าเบื่อหน่ายจำเจ ความรู้ที่ตายซากเหล่านั้นถูกลืมไปอย่างรวดเร็วเมื่อเราเติบโต
ความรู้มากมายที่เราเรียน จำ แต่ไม่สามารถนำไปต่อยอด หรือเชื่อมโยงกับการใช้ชีวิตได้เลย....
ที่สุดแล้วผมต้องการอะไรจาก “การศึกษา”
ผมต้องการให้ “การศึกษา” เป็นกระบวนการหนึ่งใน “การเรียนรู้” และมันต้องเป็น “การเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์” ต้องเป็นการเรียนรู้ท่ามกลาง “ความสุข” และ “ความสนุกสนาน”
ความรู้ที่ได้รับต้องเชื่อมโยงกับวิธีคิด วิธีมองโลก และนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนเองและผู้อื่นได้
ผมเชื่อมั่นว่า “ทุกวิชาและทุกๆศาสตร์” บนโลกนี้ มี “กระบวนการ” ในการเรียนรู้ มีประโยชน์ และสามารถทำให้เราพัฒนาวิธีคิดได้
การเรียนรู้และการศึกษาต้องทำให้เด็ก ได้ใช้ “ปัญญา” ที่มีอยู่แล้วในตัวเด็กอย่างเต็มที่และสร้างสรรค์
ไม่ว่าเราจะเรียนวิชาใดใดในโลกนี้ มันจะมีขั้นตอนที่เหมือนๆกัน คือต้องรู้จักพื้นฐานความรู้ จากนั้นก็เรียน จำ ศึกษา ค้นคว้า ทดลอง และปฏิบัติซ้ำๆจนเกิดความชำนาญ และที่สุดแล้ว... เราต้องสามารถนำความรู้นี้ไปต่อยอดและพัฒนาตนเองได้
เหมือนเวลาเราเรียนโจทย์เลข เมื่อเราเป็นเด็กต้องเริ่มจากการนับ หนึ่ง สอง สาม พอจำได้หมายรู้ก็เริ่มเรียนรู้การบวก ลบ คูณ หาร จากนั้นประยุกต์ไปแก้โจทย์สมการที่ซับซ้อนและยากมากขึ้นเรื่อยๆ...
ชีวิตจริงของคนเราก็เช่นเดียวกัน ต้องเริ่มต้นจากพื้นฐานจิตใจ แล้วจึงค่อยๆเติบโต เรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาที่ยากขึ้นเรื่อยๆในชีวิต
การเรียนรู้ในระบบการศึกษา จึงเป็นการจำลองวิธีแก้ปัญหาในชีวิตของเรา
โจทย์ของชีวิตที่จะยากขึ้นขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราเรียนรู้อย่างเป็นระบบ มีวิธีคิดที่ถูกต้อง ชีวิตเราจะเหมือนกับโจทย์เลขที่ต่อให้โจทย์นั้นยากแค่ไหน ขอเพียงเราใช้ “วิธีทำ” และ “ขั้นตอนการแก้ปัญหา” ที่ถูกต้อง
“คำตอบ” ที่ได้รับย่อมจะถูกต้องเสมอ
หลายคนชอบทำข้อสอบแบบปรนัย เพราะมันเดาได้ เสี่ยงดวงได้ ข้อสอบแบบกากบาท ก. ข. ค. ง. และ ถูกทุกข้อ ถึงเราไม่รู้คำตอบก็ยังสามารถเดาได้ แต่ “ข้อสอบชีวิต” เรามีโอกาสพลาดผิด และเดามั่วอย่างนั้นได้สักกี่ครั้งกี่หน
หมิงหมิงเรียนที่โรงเรียนต้นกล้าจนจบไปหนึ่งภาคการศึกษา พ่อแม่บางคนอาจจะงงเพราะที่นี่ไม่มีการสอบวัดผลปลายภาค มีเพียงการเชิญผู้ปกครองมานั่งพูดคุยสองครั้ง เพื่อดูพัฒนาการของเด็กไปพร้อมๆกัน ดูว่าเด็กเติบโตทางร่างกาย อารมณ์และความคิดอย่างไร
ที่นี่จึงไม่มีเด็กที่เรียนได้ที่หนึ่ง หรือเรียนได้ที่โหล่ ไม่มีเด็กโง่หรือเด็กฉลาด….
“รักในการเรียนรู้” และ “เรียนรู้อย่างมีความสุข”
คุณเคยมองดูแววตาลูกบ้างไหมครับ ? เคยถามลูกบ้างไหมว่าไปเรียนแล้วมีความสุข เรียนรู้สิ่งต่างๆอย่างเชื่อมโยง เรียนว่ายน้ำแต่ได้ความรู้เรื่องเลข เรียนศิลปะแต่ได้ความรู้เรื่องการแบ่งปัน ฯลฯ
สิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง คือ “ทัศนคติ” ของพ่อแม่ที่มีต่อโรงเรียน ผมคิดว่าความไว้ใจและความเชื่อมั่นเป็นส่วนสำคัญ โรงเรียนคิดแบบนี้ พ่อแม่ก็ควรมีแนวคิดที่คล้อยตามเช่นกัน ไม่เช่นนั้นโอกาสเข้าใจผิด และคิดผิดไปจากความคาดหวังจะเกิดขึ้นได้ง่ายมาก
ไม่ใช่เรื่องผิดเลยนะครับ ถ้าพ่อแม่คนหนึ่งจะคาดหวังว่าลูกต้องเก่ง ต้องเป็นอัจฉริยะ หรือการคาดหวังว่าลูกจะต้องเข้าเรียนต่อในโรงเรียนดังที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ
ผมคิดว่านี่เป็นความปรารถนาดีอย่างหนึ่งที่พ่อแม่จะมอบให้กับลูก
แต่อย่าลืมถามตัวเองบ่อยๆนะครับ ว่าสมัยที่คุณเรียนนั้น...คุณเรียนมายังไง ? คุณมีความสุขกับการเรียนรู้ (ทุกระดับชั้น) บ้างไหม ?
ถ้าคำตอบ คือ “ไม่”
แล้วคุณเอาความทุกข์แบบนี้ไปยัดใส่ชีวิตลูกทำไม ?
Create Date : 16 พฤศจิกายน 2554 |
|
90 comments |
Last Update : 1 มกราคม 2555 7:54:08 น. |
Counter : 12787 Pageviews. |
|
|
ดีใจ๋ขนาด นานๆ ได้เจิม..