:: การศึกษาและการศึกษาและการศึกษา ::
:: การศึกษาและการศึกษาและการศึกษา ::
“การศึกษาไม่ได้หมายความว่าต้องเรียนมหาวิทยาลัย ไม่มีตังค์เรียนก็ไม่เป็นไร เพราะโลกทั้งใบ การศึกษาเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทุกสถานที่ ทุกโอกาส ถ้าไม่เข้าใจ ไม่มีใจ แม้แต่ในสถานศึกษาก็ไม่เรียกว่าการศึกษา เป็นการประกอบพิธีกรรมเฉยๆ
เราคิดแบบนี้มานาน โลกของเราเป็นแบบนี้ ไม่เคร่ง เหมือนปล่อยลูกเข้าเซเว่นฯ เข้าโลตัส หลายคนหัวเราะเยาะ เป็นไปได้ยังไง กวีพาลูกเข้าห้าง ผมถือว่าที่ไหนเราก็ได้ความรู้ ในห้างก็มีร้านหนังสือ ผมพาลูกไปทุกที่ เพื่อนบางคนผิดหวังในตัวเรามาก เพราะลูกเขาไม่แตะแม้แต่เป๊บซี่ เขาโฆษณาใหญ่โตว่าลูกไม่ดื่มน้ำอัดลม เวลาดื่มต้องแอบๆไม่ให้คนเห็น เพราะไม่งั้นเสียฟอร์ม
บางทีผาเมฆ (ลูกชายของคุณศักดิ์สิริ) ถามว่า พ่อ ขอกินน้ำไม่มีประโยชน์ครึ่งหนึ่งได้ไหม ขอกินเป๊บซี่ น่าสงสารไหมล่ะ เราบอก...เอาเลยลูก
ช่วงบ้าบิ๊กซีก็เข้าไป เล่นของเล่นให้มันรู้ไปเลย สอนเขาไปด้วยว่าเดี๋ยวลูกก็เบื่อ โตขึ้นก็เบื่อ ผมไม่ปิดกั้น แม้แต่เหล้า บุหรี่ พ่อ ขอลองจิบเบียร์หน่อย เอาเลยลูก ให้เขาเต็มที่ เต็มที่กับเขา ไม่เคยคิดทำ Home School เข้าระบบไปเลยลูก ระบบที่ไม่ดี ไปเจอเลย ครูที่งี่เง่า ไปเจอเลย ถ้าครูงี่เง่า เราอย่างี่เง่า เอาประโยชน์ให้ได้ ครูใจร้าย มองให้เห็นแง่ดีมีประโยชน์ให้ได้ ครูดุ ไม่มีเหตุผล ทนเอา สำคัญอยู่ที่ตัวเรา
บางครั้งพ่อแม่ก็ไม่มีเหตุผลเหมือนกัน ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรงี่เง่า ทำอะไรโง่ๆได้ ก็สอนเขาไป
ศักดิ์สิริ มีสมสืบ
: กวีซีไรท์
จากหนังสือ - WRITER ปีที่ 1 ฉบับที่ 5
บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ ทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวสองเรื่องที่เชื่อมโยงกับเรื่องราวของการศึกษา
ครั้งหนึ่งมีนักวิจัยและนักภูมิศาสตร์เดินทางขึ้นไปบนยอดดอย เพื่อทำการเก็บข้อมูลด้านการพยากรณ์อากาศ สามวันเต็มๆที่นักวิจัยกลุ่มนี้ทำการเก็บข้อมูลด้วยเครื่องมือราคาแพง จนในที่สุดผลการประมวลข้อมูลของเครื่องมือ ก็บ่งชี้ว่าจะมีฝนตกในอีกห้าวันข้างหน้า
ชาวเขาผู้นำทางมองดูเครื่องมือนี้อย่างสนใจ เขาถามว่ามันทำอะไรได้บ้าง นักวิจัยบอกว่ามันเป็นเครื่องมือพยากรณ์อากาศ สามารถบอกได้ว่าจะมีฝนตกในอีกกี่วันข้างหน้า และจะตกหนักเพียงใด
ชาวเขาเลยบอกว่าเขาไม่ต้องใช้เครื่องมือยุ่งยากแบบนี้เลย และสามารถบอกได้ว่าฝนจะตกเมื่อไหร่ นักวิจัยเลยลองให้ชาวเขาแสดงวิธีการให้ดู
ชาวเขาเอามีดพร้าที่เหน็บเอวอยู่ ปักลงไปในดิน เมื่อดึงขึ้นมามีเศษดินแดงติดอยู่ตรงคมมีด
“อีกสองวันมีฝนตกแน่นอน”
นักวิจัยพากันหัวเราะกับวิธีการของเขา แต่แล้วสองวันต่อมาฝนก็ตกลงมาจริงๆ.....
ชาวเขาเล่าว่าเขาดูสภาพของดินที่ติดขึ้นมากับคมพร้า ถ้าดินแฉะแสดงว่ามีความชื้นในดินและอากาศมากพอที่จะเกิดฝนนั่นเอง
อีกเรื่อง....เป็นเรื่องเล่าแบบขำขันแนวเสียดสี
นักวิทยาศาสตร์ของรัซเซียและอเมริกากำลังแข่งขันกันอย่างหนัก ในเรื่องการพัฒนาโครงการสำรวจอวกาศและจักรวาล
สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุด คือ การจดบันทึกข้อมูลลงในกระดาษ เพราะในยานอวกาศนั้นมีสภาพไร้แรงดึงดูด ปากกาหมึกไม่สามารถเขียนตัวอักษรได้ ทุกครั้งที่เขียนหมึกจะไหลย้อนกลับออกมาเป็นหยดกลมๆ ลอยไปในอากาศที่ไร้แรงดึงดูด
ทีมนักวิทยาศาสตร์อเมริกันจึงทุ่มเงินกว่า 3 ล้านเหรียญ ใช้เวลาทดลอง ค้นคว้าและสร้างปากกานานกว่า 3 เดือน ในที่สุดก็สามารถผลิตปากกาแบบพิเศษ ที่ใช้เขียนข้อความลงบนกระดาษได้โดยหมึกไม่เลอะเทอะ
พวกเขาประกาศความสำเร็จนี้ไปทั่วโลก
และเมื่อสอบถามความคืบหน้าในเรื่องนี้ ไปยังทีมนักวิทยาศาสตร์รัซเซีย พวกเขาได้รับคำตอบว่า
“พวกเราไม่เสียเงินซักกะแดงเดียวเพื่อแก้ปัญหาในเรื่องนี้ พวกเราใช้ดินสอเขียนว่ะ”
การศึกษา คือ สิ่งที่เราต้องทำให้ผู้เรียน “งอกงาม” ความงอกงามทางความคิด เพื่อนำไปสู่ชีวิตที่ “งอกเงย”
ผมคิดว่าบางทีสิ่งที่สำคัญมากกว่า “ความรู้” คือ “วิธีคิด” ที่จะนำมาซึ่งความรู้ และ “วิจารณญาณ” ที่จะกลั่นกรองข้อมูลนับล้าน เพื่อการต่อยอดความคิดและสร้างสรรค์สิ่งใหม่จากสิ่งเก่า
สิ่งที่สำคัญมากกว่าการเป็นคนเก่งและท่องจำข้อมูลได้เยอะ น่าจะเป็นความสุขและความสนุกขณะเรียนรู้
ความรู้ไม่ควรถูกจำกัดไปด้วยข้อจำกัด ไม่ควรถูกกรอบกฎ ชุดความเชื่อ หรือทัศนคติของผู้ใหญ่ ครอบงำและตัดสินว่าอะไรเป็นไปได้ อะไรเป็นไปไม่ได้
เด็กควรได้มีโอกาสลองคิด ลองค้น ลองคว้าโอกาสในการแสงหาคำตอบด้วยตัวเอง โดยมีผู้ปกครองและครู ตลอดจนสิ่งแวดล้อม ที่เอื้อต่อการค้นหาคำตอบของเขา
วิธีนี้จะทำให้ “วิชาการ” เป็น “วิชาเกิน”
วิชาที่เกินกว่าการเรียนรู้ในกรอบแคบๆ แต่เป็นองค์ความรู้ที่เกินออกไปจากตำราที่มีอยู่ และทำให้การศึกษาไม่เป็นเพียงเรื่องที่น่าเบื่อในห้องหับและสถานศึกษา
หลายครั้งที่เราดูข่าว พบนักประดิษฐ์ที่สามารถทำอุปกรณ์ไฟฟ้าใช้เองในบ้านได้ ทั้งๆที่เรียนจบประถม 4
เกษตรกรบางท่านวางแผนและจัดการระบบต่างๆในสวนของตนเองได้ยอดเยี่ยม ชนิดที่ตำราในมหาวิทยาลัยใดก็ไม่มีสอน
เรามีปราชญ์ชาวบ้านมากมายที่แสดงให้เห็นถึงอัจฉริยะในการปฏิบัติงาน แต่เราไม่เคยนำภูมิปัญญาเหล่านั้นมาต่อยอดและสอนเด็กของเรา
เราปล่อยบุคคลและความคิดทรงคุณค่าเหล่านี้ ล่องลอยผ่านไป
แม้จะมีการยกย่องบุคคลเหล่านี้ แต่เราก็ทำอย่างฉาบฉวย วาบเดียวแล้วลืมเลือน
ในขณะที่นักการศึกษาและนักการเมืองหลายชุด ไปคิดค้นปรับปรุง เพื่อหวังเปลี่ยนแปลงปฏิรูประบบการศึกษาของชาติ ซึ่งที่ผ่านมาก็พิสูจน์ไปแล้วว่า มันไม่เคยได้ผลที่ดีเลยไม่ว่าจะเป็นสมัยรัฐบาลใด....
การศึกษาคืออะไร ? อะไรคือการศึกษา ?
ไม่ต้องไปถามรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ไม่ต้องไปถามนักการศึกษา
ถามตัวเรานั่นล่ะ...
เราเรียนมาแบบไหน ? เราชอบสิ่งที่เราเคยเรียนมาหรือไม่ ? ความรู้แบบไหนที่เรารู้มา แล้วมันแก้ปัญหาในชีวิตของเราได้บ้างไหม ?
ที่สุดแล้ว....การศึกษาแบบนั้นมันทำให้เราเป็นอย่างไร ? มีวิธีคิด มีมุมมองต่อโลกและตัวเองอย่างไร ?
คำถามแบบนี้ต่างหากที่จะตอบตัวเราเองได้ ว่าการศึกษาที่แท้จริงนั้น คือ อะไร ?
Create Date : 20 มิถุนายน 2555 |
Last Update : 27 มกราคม 2556 7:33:10 น. |
|
84 comments
|
Counter : 2301 Pageviews. |
|
|
|