พริกขี้หนูเผ็ด (ตอนที่ 7)
โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ
ตอนที่ 7
บทที่ ๔
ผมขับรถไปที่สถานีตำรวจพญาไทก่อนที่อื่น ที่นั่นผมมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นนายตำรวจชั้นสารวัตรอยู่ นายตำรวจเพื่อนผมคนนั้นกำลังเข้าเวรตอนเช้าอยู่ที่โรงพักพอดี ผมเข้าไปคุยกับเขาถึงเรื่องคนขับรถสามล้อเครื่องถูกยิงตายรายนั้น ได้ความรู้เพิ่มเติมมาอีกเล็กน้อย มากกว่าข่าวที่ได้อ่านในหนังสือพิมพ์
กระสุนที่ใช้ยิงเป็นลูกกระสุนขนาด ๙ มม. ตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นปืนรีวอลเลอร์ เพราะไม่ได้พบปลอกกระสุนในที่เกิดเหตุเลยสักอันเดียว และการฆาตกรรมรายนี้ไม่ใช่เป็นการฆ่าเพื่อหวังทรัพย์ในตัว เพราะของมีค่าซึ่งเชื่อกันว่า หากเป็นคนร้ายธรรมดา ก็คงจะต้องเอาไปด้วยนั้น ยังอยู่ครบถ้วน เช่น สายสร้อยทองคำหนักสามบาท และพระเครื่องสอง-สามองค์ ที่ผู้ตายใช้ห้อยคออยู่ ยังอยู่เรียบร้อย รวมทั้งเงินสดอีกสี่ร้อยกว่าบาทในกระเป๋าสตางค์นั้นด้วย
เท่าที่ตรวจร่องรอยแล้ว ปรากฏว่า คนร้ายไม่ได้แตะต้องตัวผู้ตายเลย เมื่อยิงแล้วก็หลบหนีไปทันที
ผมได้ทราบต่อไปว่า เมื่อทางตำรวจทราบว่าผู้ตายเป็นพยานปากสำคัญในคดีขับรถชนเด็กตาย เจ้าหน้าที่จึงได้รีบรุดไปตามตัวจำเลยในคดีนั้น ซึ่งชื่อนางสาว ยุพดี พวงพยอม ที่บ้าน เพื่อสอบสวน แม้ตำรวจจะได้ไปที่บ้านของหล่อนแต่เช้าตรู่ คือเจ็ดโมงกว่า ๆ ก็ไม่พบตัว
คนทางบ้านบอกว่า นางสาวยุพดีไปตากอากาศที่หัวหินตั้งแต่เย็นวานนี้ ไปโดยรถยนต์ ขับไปเอง ขณะนี้ตำรวจกำลังวิทยุไปยังหน่วยตำรวจที่หัวหิน เพื่อให้ติดตามหล่อน คงจะรู้ผลอีกไม่กี่นาทีนี้ เพราะได้ติดต่อไปตั้งแต่ก่อนแปดโมง
ผมถามเขาถึงตำบลบ้านของแม่ยุพดีคนนั้น เขาก็บอกบ้านเลขที่ ๑๑ ซอยสุขุมวิท ๓๔ เขาถามผมว่า ผมสนใจเรื่องนี้ด้วยเหตุอันใด ผมบอกเขาว่า ผมทำงานเป็นนักข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง เขาถามว่าหนังสือพิมพ์อะไร ผมจึงบอกชื่อหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งดุ่ย ๆ ออกไป
ผมคิดจะรอฟังผลการติดต่อทางวิทยุของตำรวจอยู่ที่นั่น แต่มาคิดดูแล้ว พอจะเดาผลได้ว่า น่าจะไม่ได้ตัว เพราะการที่ทางที่บ้านบอกว่า ยุพดีขับรถไปหัวหินตอนเย็นวานนี้นั้น มันไม่น่าจะเป็นไปได้ คนที่ขับรถยนต์ไปทางไกล ๆ ก็ควรจะออกแต่เช้า หรือบ่ายหน่อย
ผมนั่งคุยกับเขาถึงเรื่องต่าง ๆ อยู่เกือบครึ่งชั่วโมง เขาก็ได้รับข่าวจากหน่วยหัวหินว่า ทางนั้นได้ออกสืบหาตัวยุพดีทั่วแล้ว ไม่ปรากฏที่นั่น หล่อนมีบ้านพักอยู่ที่นั่นหลังหนึ่ง ชื่อบ้านลมโชย คนเฝ้าบ้านบอกว่า นายของเขาขับรถมาที่บ้านจริง แต่ได้ขับออกจากบ้านตอนเช้าวันนี้เอง ว่าจะเลยไปใต้ นัยว่าจะไปถึงหาดใหญ่และไปคนเดียว
เพื่อนของผมคนนั้นเขาส่งวิทยุไปดักแล้วตามทางตลอดจนถึงหาดใหญ่ ถ้าแม่ยุพดีคนนั้นไปตามทางนั้น ก็จะต้องได้ตัวแน่นอน
ผมลาเพื่อนสารวัตรของผมกลับออกมาจากโรงพัก แล้วก็ขับรถตรงไปที่ซอยสุขุมวิท ๓๔ เลยทีเดียว
ในซอยนั้น ผมเสียเวลาไม่นานที่จะค้นหาบ้านเลขที่ ๑๑ มันอยู่ต้นซอยนั่นเอง
บ้านนั้นเป็นบ้านที่ปลูกแบบทันสมัย อยู่บนเนื้อที่ดินประมาณเกือบไร่ ผมจอดรถแล้วก็เข้าไปกดกริ่งที่หน้าประตู เสียงกริ่งดังไม่กริ่งธรรมดา มันดังเป็นเสียงเพลง
ผมรออยู่เกือบห้านาทีและต้องกดกริ่งถึงสองครั้ง จึงได้มีคนเดินมาเปิดประตู ผู้ที่มาเปิดเป็นเด็กผู้หญิงวัยรุ่น อายุในวัยสิบสี่สิบห้า หล่อนถามผมว่ามาหาใคร
ผมบอกไปว่า ผมมาหาคุณยุพดี คุณนายไม่อยู่ค่ะ แม่คนนั้นตอบ ไปต่างจังหวัด
เอ ... ผมแกล้งครางอยู่นาน แล้วพูดต่อ ผมมีธุระสำคัญเสียด้วย ผมจะสั่งความไว้ได้ไหมครับ
ได้ค่ะ แม่คนนั้นพูด โดยไม่ได้หลีกทางที่จะให้ผมเข้าไปในบ้าน ผมยืนลังเลอยู่สักครู่แล้วจึงว่า
มันยาว ให้ผมเขียนในกระดาษไว้ให้ได้ไหม
แล้วผมก็ทำท่าล้วงกระเป๋า หากระดาษและปากกา
ผมไม่มีกระดาษ-ปากกาเสียด้วย ผมรำพึงดัง ๆ พอให้หล่อนได้ยิน ในบ้านมีไหมครับ
แม่คนนั้นไม่ตอบคำถามผม กลับหันหน้าเข้าไปพูดกับใครก็ไม่รู้ข้างใน
ลุง มีคนมาหาคุณนาย... เขาจะเขียนอะไรไว้ให้ ให้เขาเข้าไปไหม ลุง
ผมได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาใกล้ สักครู่ก็มีชายคนหนึ่งโผล่หน้ามาทางช่องประตูที่เด็กสาวคนนั้นเปิดไว้ เขาเป็นคนในวัยเลยกลางคนไปแล้ว หนวดที่ปล่อยไว้จนเฟิ้มบนริมฝีปากเริ้มจะหงอก เขาพูดว่า
คุณมาจากไหนไม่ทราบ
ผมมาจากสำนักงานคุณธรรมนูญ ผมเอ่ยชื่อทนายของแม่ยุพดีที่ผมเจอที่ศาล
เชิญครับ เขาหลีกทางให้ผมทันที
ผมก้าวเข้าไปทางช่องประตูนั้นแล้วหยุดนิ่งอยู่ตรงหน้าชายผู้นั้น เขามองดูผมอย่างพินิจพิจารณา แล้วว่า
มีอะไรหรือครับ
คุณธรรมนูญให้ผมมาสั่งความอะไรบางอย่างเกี่ยวกับคดี คุณยุพดีไปไหนเสียล่ะครับ
คุณนายไปต่างจังหวัด เขาตอบ คุณจะสั่งอะไร ก็สั่งไว้กับผม
เมื่อไรจะกลับ ผมถาม
สอง-สามวันละมังครับ เขาว่า เห็นว่าจะไปถึงหาดใหญ่
ถ้างั้น ผมก็ต้องเขียนข้อความฝากไว้ ขอกระดาษกับปากกาให้ผมหน่อย
เชิญขึ้นข้างบนก็แล้วกัน เขาพูดแล้วเดินนำหน้าผมไปตามถนนที่โรยกรวดอย่างละเอียด
เขาให้ผมเข้าไปนั่งคอยอยู่ในห้องรับแขก ซึ่งประดับประดาด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง ถ้าแม่ยุพดีคนนี้เป็นคุณนายของใครสักคนหนึ่ง ก็ต้องเป็นคุณนายของใครที่เป็นเศรษฐีขนาดไม่ใช่ย่อย ๆ
ขณะที่ชายคนนั้นหายเข้าไปข้างหลังบ้าน ผมก็ส่ายสายตาไปรอบ ๆ ห้อง ที่โต๊ะเล็กตรงมุมห้อง ผมเห็นเครื่อง โทรศัพท์ตั้งอยู่ ผมเดินไปที่นั่น
แล้วผมก็ท่องเบอร์โทรศัพท์ที่เขียนไว้ที่แป้นหมุนนั้นไว้ในใจ
ผมกลับมานั่งที่เก้าอี้รับแขก สำรวจทั่วห้องด้วยสายตาอีกครั้ง ที่มุมห้องอีกด้านหนึ่ง บนโต๊ะเล็กแบบเดียวกับที่ตั้งโทรศัพท์ มีรูปของแม่ยุพดีคนนั้นขนาดสิบสองนิ้ว ตั้งคู่อยู่กับรูปของชายคนหนึ่งในชุดสากล ขนาดเดียวกัน
ผมมองดูรูปผู้ชายคนนั้นอยู่นาน ให้มันบันทึกเข้าไปในความทรงจำ ผมคิดว่าผมเคยเห็นเขาที่ไหนสักแห่ง
ผมแน่ใจว่า แม่ยุพดีคนนี้จะต้องเป็นคุณนายของบุคคลผู้นั้น และเป็นคุณนายน้อย ๆ เพราะหล่อนยังใช้คำว่า นางสาว นำหน้าชื่อ สักครู่ คุณลุงของเด็กสาวที่เปิดประตูให้ผม ก็เข้ามาในห้อง เขาถือกระดาษและปากกามาด้วย เอามาส่งให้ผม ผมเขียนข้อความอะไรส่งเดชลงบนกระดาษแผ่นนั้น แล้วก็ขอซอง ผมบอกว่า มันเป็นเรื่องที่คุณธรรมนูญสั่งมาโดยเฉพาะ ไม่ควรให้ใครได้รู้ เขากลับออกไปหาซองจดหมายมาให้ผม ผมสอดกระดาษที่เขียนข้อความอะไรส่งเดชนั้นเข้าในซอง แล้วก็ส่งให้เขา กำชับให้เขาส่งให้คุณยุพดีโดยด่วน ในทันทีที่คุณยุพดีกลับมา แล้วผมก็ลาเขาออกจากบ้าน ผมเชื่อแน่ว่า เขาคงจะไม่มีโอกาสส่งให้คุณยุพดี ผมออกมาจากบ้านนั้นผมก็บึ่งไปที่องค์การโทรศัพท์ทันที ที่นั่นผมมีเพื่อนที่ชอบกันอยู่คนหนึ่ง เขาเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งขององค์การ ฯ ผมให้เขาช่วยค้นดูว่า เบอร์โทรศัพท์ที่ผมจำมาจากบ้านแม่ยุพดีคนนั้น ว่าเป็นเบอร์ของใคร ผมรออยู่ไม่นาน ผมก็ได้รู้ว่า เบอร์นั้นเป็นเบอร์ของนาย เชิด ดุรงค์นพคุณ พ่อค้าใหญ่ และนายธนาคารคนหนึ่งของประเทศไทย ผมออกจากองค์การโทรศัพท์ ผมก็ตรงดิ่งไปที่อำเภอพระโขนง ขอเขาดูทะเบียนสำมะโนครัวบ้านเลขที่ ๑๑ สุขุมวิทซอย ๓๔ ผมพบว่าชื่อเจ้าของบ้านคือ นายเชิด ดุรงค์นพคุณ คนเดียวกัน ไม่มีชื่อ นางสาว ยุพดี พวงพยอม แต่มีชื่อผู้อาศัยอีกสามคนในทะเบียนบ้านหลังนั้น ผมรู้จักว่าบ้านของนายเชิด ดุรงค์นพคุณ อยู่ที่ไหน และผมนึกออกแล้วว่า รูปผู้ชายขนาดสิบสองนิ้วที่วางคู่อยู่กับแม่ยุพดีบนโต๊ะเล็กในห้องรับแขกนั้น คือรูปนายเชิดผู้นี้เอง รูปที่ถ่ายนั้นหนุ่มกว่าตัวจริงมาก ผมจึงจำไม่ได้ตอนที่เห็นในห้องนั้น ผมบึ่งรถไปที่บ้านของเขา ซึ่งเป็นบ้านที่โอ่อ่าที่สุดในละแวกถนนวิทยุ คนที่บ้านนั้นบอกผมว่า นายเชิดอยู่ที่ธนาคาร ผมมองดูโรงรถที่ว่างเปล่าแล้วก็เชื่อว่าเขาไม่อยู่บ้านจริง ๆ ผมไปที่ธนาคารของเขา คนที่นั่นบอกว่า นายเชิดไม่มาที่ธนาคาร อยู่ที่บริษัท ผมรู้จักว่า บริษัทของเขาอยู่ที่ไหน ผมไปที่นั่น คนที่บริษัทบอกว่า นายเชิดไม่มา ไม่รู้อยู่ที่ไหน
ผมกลับมาที่สำนักงานเอาเกือบเที่ยง
Create Date : 29 พฤษภาคม 2553 |
|
3 comments |
Last Update : 29 พฤษภาคม 2553 5:39:23 น. |
Counter : 872 Pageviews. |
|
|
|