สู่ลาว ... ตอนที่ 34
สู่ลาว ... ราชอาณาจักรแห่งความไม่แน่นอน โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ
ประพันธ์ เมื่อปี พ.ศ. 2527
เหตุการณ์เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2507 2512
ตอนที่ 34
ในช่วงระยะที่ผมยังอยู่ในตำแหน่งรองผู้บังคับการตำรวจสันติบาลนั้น ขอบข่ายการทำงานของตำรวจสันติบาลกว้างขวางมาก ความจริงแล้ว เรื่องของงานสันติบาลนั้น ย่อมมีขอบข่าย ไม่ว่าจะอยู่ในยุคใดสมัยใด เพราะเป็นงานที่เรียกว่า เป็นระดับชาติก็ว่าได้
มันสำคัญอยู่ที่ว่า ผู้ที่มีหน้าที่ จะทำงานของตัวแค่ไหน
ถ้านั่งอยู่กับที่คอยงานเข้ามาหา มันก็ไม่หนัก แต่ถ้าออกไปหางาน มันมีงานให้ทำล้นมือ
งานของตำรวจสันติบาลที่ถูกต้องนั้น ต้องออกไปหางาน และงานบางชิ้น ผู้ใหญ่จะต้องรับผิดชอบในผลงานนั้นให้ด้วย ผู้ปฏิบัติงานจึงจะทำได้ด้วยความมั่นใจ ถ้าจะปล่อยให้ผู้ปฏิบัติงานรับผิดชอบเอาเองเมื่อเขาทำตามคำสั่ง แล้วใครจะทำ ?
แต่มีงานบางประเภท ที่ผู้ปฏิบัติการจะต้องมีความเสียสละ เมื่อทำงานผิดพลาด เขาจะต้องรับผลอันเกิดจากการปฏิบัติงานชิ้นนั้นไป โดยไม่ซัดทอดถึงใคร
นี่คือลักษณะของผู้ปฏิบัติงานสันติบาล ขอบข่ายงานประเภทนี้ ต้องใช้เงินจำนวนมากไม่น้อย และคาดหมายจำนวนไม่ได้ จะรู้ก็ต่อเมื่อมันมาถึง
ผมทำงานของผมด้วยความสนุก เพราะมีผู้ใหญ่รับผิดชอบ และไม่มีปัญหาเรื่องเงิน รัฐบาลได้วางจุดมุ่งหมายไว้ให้แล้ว ในการประชุมร่วมกันของผู้กุมอำนาจของประเทศในส่วนต่าง ๆ ที่วังสวนกุหลาบ ผมบังเอิญได้รู้เห็นมติของที่ประชุมในวันนั้นด้วย
เรามีนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์เต็มพิกัด ถ้าต้องทำลายก็ให้ทำลาย ไม่ให้มีโอกาสตั้งตัวได้ นั่นเป็นนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ที่ถูกต้อง
คอมมิวนิสต์กลัวเผด็จการ ไม่ว่าเขาจะไปเผยแพร่ลัทธิของเขาที่ไหน สิ่งแรกที่เขาจะประโคมโฆษณาก็คือ ไม่ให้ที่นั่นเป็นเผด็จการ
พวกเขาจะยุยงประชาชนของประเทศนั้นให้ขัดขวางลัทธิเผด็จการ ให้ประชาชนเรียกร้องประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์ก็มีโอกาสที่จะเติบโตมาในคราบประชาธิปไตยได้ และเมื่อเขาเติบโตจนได้ที่ และยึดครองอำนาจได้แล้ว เขาก็จะปิดทางประชาธิปไตยไว้อย่างแน่นแฟ้น แล้วก็เผด็จการด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์ แต่ก็อย่างว่า เราจะต้องหาตัวผู้เผด็จการที่มีคุณธรรมจริง ๆ มาปกครองประเทศ เราเคยได้มาแล้ว ถึงแม้ผู้เผด็จการคนนั้น จะมีอะไร ๆ ที่ไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง เราก็ได้ความเจริญของประเทศมาในแบบหนึ่งไม่ใช่หรือ และเรารอดพ้นเงื้อมมือคอมมิวนิสต์มาได้อย่างหวุดหวิด ผมยังชมเชยความเด็ดขาดของท่านผู้นั้น แม้ว่าผมจะได้รับผลจากการกระทำของท่านทางการเมืองอย่างเจ็บแสบ
สิบสองปีของการที่ต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่อย่างไม่มีจุดหมาย จนกระทั่งต้องพลัดเข้ามาอยู่ในลาวด้วยความจำเป็น มันมีความหมายกับชีวิตของผมมาก ผมได้บทเรียนชีวิตอย่างที่จะต้องจดจำไปจนวันตาย
นั่นมันเป็นผลอันเกิดจากการที่ผมได้ทุ่มเทชีวิตจิตใจให้กับงานในหน้าที่จนสุดตัว มันเจ็บแสบจนต้องหัวเราะ
ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นเพื่อให้เป็นนิทัศน์อุทาหรณ์แก่น้อง ๆ ตำรวจทั้งหลาย ที่ยังอยู่ในราชการทุกวันนี้ อย่าได้เอาเยี่ยงอย่างผม อย่าทำงานทุ่มสุดตัว นึกถึงผลที่จะได้รับในอนาคตไว้บ้าง
เมื่อถึงกำหนดที่จะได้กลับเข้าสู่เมืองไทย มันก็ตื่นเต้น เพื่อนฝูงที่เป็นห่วงใยผม ช่วยกันนำหนังสือของผมไปยื่นให้กับท่านอธิบดีประเสริฐ ฯ ในที่สุดท่านก็ไม่ขัดข้อง และยังเตือนผมมาด้วยว่า ให้นับวันขาดอายุความให้ดี อย่าให้ผิดพลาดได้ จะเป็นที่น่าเสียดาย ท่านให้ผมทิ้งวันเผื่อเอาไว้สักห้าหกวัน เพื่อให้มันแน่ ๆ
ผมยังระลึกถึงพระคุณท่านมาจนบัดนี้
ผมเดินทางเข้าเมืองไทยเมื่อวันที่เท่าใด จำไม่ได้ แต่เป็นวันหลังจากวันขาดอายุความแล้วไม่น้อยกว่าสี่ห้าวัน ในเดือน มีนาคม 2512
ท่านผู้บังคับการตำรวจสันติบาลขณะนั้น ได้ส่งนายตำรวจสันติบาลชั้นสารวัตรกองสองนาย ข้ามฟากไปรับผมถึงเวียงจัน ผมยังจำชื่อเขาได้คนหนึ่ง คือ ร้อยตำรวจเอก ถวิล ศิริจรรยา
ผมไม่ได้ข้ามฟากที่ท่าข้ามท่าเดื่ออย่างที่คนอื่นเขาข้ามกัน ผมแอบไต่ตลิ่งทางด้านอำเภอศรีเชียงใหม่ ที่นั่น ผมพักรอเวลารถไฟอยู่ที่บ้าน จ.ส.ต. มุข ลูกน้องของพ่อประชาเขา ไม่มีใครรู้เบาะแสถึงเส้นทางของผม หนังสือพิมพ์หลายฉบับไปดักรอที่จะคุยกับผมอยู่ที่ท่าเดื่อ และที่สถานีรถไฟหนองคาย ทางเวียงจันเขาได้ข่าวว่าผมออกจากเวียงจันไปแล้ว เขาก็ค้นหากันว่า ผมออกไปทางไหน บางคนมาดักรออยู่ที่สถานีรถไฟหนองคาย คิดว่ายังไง ๆ ผมก็ต้องไปทางรถไฟ
ผมไม่ไปสถานีรถไฟหนองคาย ผมใช้รถยนต์จากบ้านของจ่ามุขบึ่งไปอุดร ไม่มีนักข่าวคนไหนที่คิดจะติดรถไฟไปดักผมที่อุดร ผมส่งคนไปดูที่สถานีหนองคาย ได้รับข่าวมาว่า มีนักข่าวเต็มไปหมด แต่เมื่อขบวนรถออกจากสถานี ไม่มีนักข่าวคนไหนถึงรถไฟไป บางคนข้ามกลับไปเวียงจันอีก ไม่รู้ว่าข้ามไปทำไม เขาคงจะนึกว่า ผมอาจเล่นตลกทำเป็นว่าข้าม แต่ไปแอบอยู่ที่อื่นเสียก็ได้ คิดมาก
Create Date : 23 ตุลาคม 2554 |
Last Update : 31 ตุลาคม 2554 18:16:04 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1088 Pageviews. |
|
|
|
| |