สู่ลาว ... ตอนที่ 12
สู่ลาว ... ราชอาณาจักรแห่งความไม่แน่นอน โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ
ประพันธ์ เมื่อปี พ.ศ. 2527
เหตุการณ์เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2507 2512
ตอนที่12
ทางอีกด้านหนึ่งของเวียงจัน มาทางท่าเดื่อ ออกจากเวียงจันมาประมาณกิโลเมตรกว่า ๆ ก็เป็นที่ตั้งของค่ายทหารของนายพลกุปะสิต ตั้งอยู่บนเนินสูงขนาดย่อม ๆ มีรั้วรอบขอบชิดกว้างขวาง บอกอาณาเขตทหารไว้ ที่ค่ายนี้มีชื่อว่า ค่ายจินายโม้ บางคนเรียกว่า จินาโม้
ถามผู้รู้ว่า คำ ๆ นี้มีคำแปลไหม เขาบอกว่ามี จินา หรือ จินาย แปลว่า จิ้งหรีด โม้ ก็แปลว่า ร้อง จินาโม้ หรือ จินายโม้ ก็แปลว่า จิ้งหรีดร้อง แปลเป็นไทยก็ได้ความว่าชื่อ ค่ายจิ้งหรีดร้อง คงได้ยินแต่เสียงจิ้งหรีดร้องจริง ๆ ในยามค่ำคืน ดีเหมือนกัน ไม่เหงา เพราะออกจะอยู่ไกลตัวเมือง ตอนกลางวันไม่เหงา เพราะมีรถวิ่งมาจากท่าเดื่อผ่านไปมาอยู่เสมอ ๆ กลางคืนเงียบ ไม่มีใครกล้าเสี่ยงขับรถผ่านไปทางนั้นแน่ ทหารก็นอนฟังเสียงจิ้งหรีดไป สภาพของเวียงจันโดยทั่ว ๆ ไปเป็นอย่างอธิบายมานี้ เพื่อให้ท่านผู้อ่าน ได้วาดภาพถูก เมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น จะได้เดาได้ถูกว่า มันเกิดขึ้นตรงไหน ส่วนร้านสีมาลาของพ่อประชา ที่ผมมาพักพิงอยู่นั้น ตั้งอยู่บนถนนหลวงพระบาง ซึ่งเป็นถนนที่แยกออกจากถนนท่าเดื่อ ตรงเข้าเมืองทางซ้ายมือ ไม่ผ่านพวกที่ตั้งร้านรวงขายของและร้านอาหารที่มีชื่อพิลึกนั้น ทางด้านที่ผมอยู่ มีตึกแถวสองชั้นอยู่สองข้างทาง ส่วนมากอยู่ทางด้านขวาของถนน เป็นที่พักอยู่อาศัยเสียเป็นส่วนมาก มีร้านขายของเบ็ดเตล็ด และร้านเสริมสวยอยู่สอง-สามร้าน ร้านสีมาลาที่ขึ้นชื่อที่สุดนี้ อยู่ทางด้านซ้ายขาเข้าเมือง เป็นห้องแถวสองชั้นเรียงกันไปสาม-สี่ห้อง
ติด ๆ กับร้านสีมาลา เป็นร้านอาหารไทย โดยคนไทยที่ข้ามฟากมาเหมือนกัน ผมไม่ได้ถามว่าข้ามมาเพราะอะไร ผมเรียกสองผัวเมียผู้เป็นเจ้าของร้านนั้นว่า คุณลุง-คุณป้า ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าชื่ออะไร คุณลุงตัวโต ผมเลยไม่อยากถามอะไรแกมาก
สองผัวเมียคู่นี้ไม่มีลูก มีเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เป็นคนรับใช้อยู่คนเดียว แต่เลี้ยงหมาไว้หลายตัว แกรักหมามากกว่าคน เด็กคนนั้นชื่อ ปาน ทนมือทนไม้ดีจัง เวลาแกโกรธหมา แกก็ตีเด็ก เด็กลืมให้ข้าวหมา แกก็โขกหัวเด็ก หมาวิ่งไปชนข้าวของแตก แกก็ตีเด็ก หาว่าไม่ดูแลหมาให้ดี
ยิ่งกว่านั้น บางวันนังปานไม่ได้กินข้าว เพราะหมากินข้าวที่เหลือจากขายหมด หมาต้องอิ่มก่อน เหลือจากหมาจึงจะถึงคน หมากินหมดเพราะข้าวเหลือน้อย ก็หมาตั้งสี่-ห้าตัว คนตัว เอ๊ย คนเดียวก็เลยอด ผมก็เพิ่งเคยเห็นคนทำกับเด็กได้ยังงั้น แล้วมันก็รับใช้ตัวเป็นเกลียว กลัวเขาด้วย ผมเคยชวนเด็กมาอยู่ด้วย เพราะสงสารมัน เด็กไม่ยอมมา เอาแต่สั่นหน้า ไม่พูดไม่จา
ได้ความว่าแกเลี้ยงของแกมาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ข้ามมาลาวก็เอาติดตัวมาด้วย ใช้มันได้สารพัด ทั้งล้างถ้วยล้างชาม เช็ดถูปัดกวาด ยกข้าวยกปลาให้แขกในร้านด้วย ทำหน้าที่เสิร์ฟของไปในตัว เรียกว่า วันเกิร์ลโชว์
ตอนที่แกอพยพกลับ แกก็หิ้วของแกไปด้วย ผมก็เลยไม่ได้ยินเสียงเด็กร้อง และไม่ได้เห็นรายการโชว์ของแกอีก เด็กคนนี้ฉลาดแคล่วคล่องว่องไว อายุก็สิบเอ็ด-สิบสองเห็นจะได้ แต่ตัวมันแกร็น เล็กขนาดเด็กเจ็ด-แปดขวบ คงจะโดนทุบหัวเสียจนตัวยืดไม่ขึ้น ไม่รู้ว่าขณะนี้เป็นยังไงไปแล้ว ยังอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้
ร้านสีมาลาที่พ่อประชาเขาอยู่ และผมมาอาศัยอยู่ด้วยนี้ เป็นร้านที่เช่าเขาอยู่ เจ้าของบ้านเป็นคนมีอันจะกิน ดูเหมือนจะเคยเป็นเจ้าแขวงอะไรมาก่อน มีลูกชายอยู่คนเดียว ไม่ค่อยจะเอาไหน ทำงานที่ไหนก็โดนไล่ออก เลยหากินอยู่กับพ่อ
ผู้หลักผู้ใหญ่ ที่นี่เขาเรียกว่า ยาพ่อ
เจ้าของบ้านของผมก็เป็น ยาพ่อ เหมือนกัน ยาพ่อไม่ต้องทำอะไร เมาทุกวัน ยาลูกก็เลยเมาทุกวันด้วย ลูกชายมีเมียสวยและนิสัยผิดผัว ทั้งครอบครัวสนิทสนมชอบพอกับทางร้านสีมาลา และไม่ค่อยละเมียดละไมกับค่าเช่านัก ยังไงก็ได้ พอรู้ว่าผมเป็นใครมาจากไหน ก็เลยชอบใจกัน เย็น ๆ พอได้ที่ มักจะแถมาคุยด้วยทั้งพ่อทั้งลูก แต่ต้องมาคนละที มาเจอกันไมได้ เพราะยาพ่อกับยาลูกคุยกันคนละเรื่อง ผมคุยได้ทั้งสองคน และร่วมวงกันได้ แต่เขาไม่ค่อยจะกล้ากินเหล้ากับผม ไม่ทราบเป็นเพราะอะไร
ยาลูกเรียกผมว่า ท่านรอง ตามอย่างพ่อประชา และเขาก็คงเรียนรู้ประวัติของผมจากพ่อประชามาบ้าง อยู่ ๆ วันหนึ่ง เขาก็ถามผมว่า
ท่านรอง เคยฆ่าคนมากี่คนแล้ว ผมก็ถามว่า ทำไม อยากรู้ไปยังงั้นเองแหละครับ เขาว่า ซักสิบกว่าคนละมั้ง ผมคุยออกไป อุ๋ย เขาครางเสียงยาว ฆ่าเรื่องอะไรครับ ใครกวนใจ ผมรำคาญ ผมฆ่าทั้งนั้น เขายกมือไหว้ แล้วลุกขึ้นเดินแถกลับบ้านไป
ตั้งแต่นั้นมา ผมชวนเขาร่วมวงเหล้าตอนเย็นที่หน้าร้าน เขาไม่ยอมผ่านมาอีกเลย
ส่วนยาพ่อนั้นผ่านมาทางหน้าบ้านก็เซมาแล้ว เซเรื่อยไปทางหัวถนน หายวับไปทางด้านหลัง ประเดี๋ยวก็มีคนหามขึ้นสามล้อมาส่งหน้าบ้าน พยุงเข้าบ้านไป เป็นยังงี้แทบทุกเย็น
ยาพ่อมีหลานสาวกำลังรุ่น ๆ อยู่อีกคนหนึ่งชื่อ เงิน อายุสิบห้าหยก ๆ สิบหกหย่อน ๆ กำลังอยากเรียนรู้ เรียนหนังสืออยู่ที่ไหนหรือเปล่าก็ไม่ได้ถาม ตอนเช้า ๆ หายไป ไม่รู้ไปทางไหน ที่ไหน ยังไง เย็น ๆ จึงจะออกมาจากบ้าน เข้ามาดูอะไร ๆ ในร้านที่เปิดเป็นห้องเสริมสวย
ห้องที่ผมอยู่เป็นห้องสองคูหา ห้องหนึ่งเป็นห้องรับแขก อีกห้องทางด้านซ้าย เวลาหันหน้าเข้า เป็นห้องเสริมสวย เย็น ๆ คุณเงินจะต้องมาเข้าทางห้องรับแขก แล้วเข้าไปทางห้องเสริมสวย เดินสะอิ้งเอวผ่านหน้าผมไป เพราะตอนนั้นเป็นเวลาที่ผมนั่งเล่นอยู่ในห้องรับแขก รอเวลากินเหล้า จะออกไปหากินข้างนอก หรือไปซื้อมาตั้งวงในร้านดี คุณเงินเข้าไปคุยกับคุณสีมาลาครู่หนึ่ง ก็จะกลับออกมาทางห้องรับแขก แล้วก็จะทักผมว่า ท่านรอง ฯ บ่ไปไสหวา แปลว่า ไม่ไปไหนหรือ แล้วก็ไม่ได้รอฟังคำตอบ เดินเลยออกไปนอกร้าน ผมก็ได้แต่นั่งปรายตาดูแกเดินสะอิ้งเอวออกไป พ่อประชาห้ามผมนักห้ามผมหนา อย่าไปยุ่งนา ท่านรอง หลานเจ้าของบ้าน เดี๋ยวยุ่งตายห่า อยู่มาวันหนึ่ง พ่อประชาเขาก็มายืมรถผม บอกว่าจะพาผู้หญิงไปกินข้าว ผมก็ให้ไป ตอนเที่ยง ผมก็เดินไปหาข้าวกลางวันกินที่ร้านอาหารบนถนนสายเดียว นั้น แต่อยู่ไกลเข้าไปในตลาดขนาดเดินประมาณห้านาทีตามสบาย ๆ เป็นร้านอาหารไหหลำ ประเภทไก่ตอน ข้าวมันไก่ ที่ร้านนั้น ผมเห็นพ่อประชานั่งกินข้าวอยู่กับคุณเงิน รถของผมจอดอยู่หน้าร้านด้านถนนแยก เขาเห็นผมเข้าก็ทำหน้าพิกล ช่างกล้าหาญชาญชัยจริง ๆ ไม่ยักกลัวคุณสีมาลาจะเดินมาพบเข้า ตอนที่ผมออกมาจากร้าน คุณสีมาลาแกก็ยังอยู่ที่ร้าน เกิดเดินตามผมมากินข้าวด้วยจะว่ายังไง เรื่องนี้ยืดยาวมาจนถึงเมืองไทย มิน่า ถึงห้ามผมนัก ไม่ยักกะกลัวว่าจะยุ่งตายห่าอย่างที่ห้ามผม เพื่อนกินเหล้าของผมที่น่าจะกล่าวถึงมีอีกสองคน คนหนึ่งเป็นผู้ช่วยทูตทหารบกประจำนครเวียงจัน ชื่อ พันเอกวิชัย พิไลพงษ์ อีกคนก็คือ คุณประทาน บุนนาค คนหลังนี่ ทำงานอยู่องค์การช่วยเหลือของอเมริกัน ตำแหน่งใหญ่โตอยู่ในนั้น
คนแรกมีเมียใจดีเป็นแม่น้ำ คนหลังตรงกันข้าม เมียใจดีเหมือนกันแต่นัยน์ตาขวางบ่อย ๆ
ผมเลยชวนตั้งวงไพ่ที่บ้านคุณประทาน แล้วหลอกให้พวกเมีย ๆ ทั้งหลายถือไพ่แทนผัว แล้วชวนฝ่ายชายออกมานั่งกินเหล้ากันอยู่ในห้องรับแขก พ้นสายตาวงไพ่ แล้วก็พากันค่อย ๆ ย่องออกมาทางหน้าบ้าน จะหนีไปหาที่กินเหล้าในเมือง จวนจะหลบได้สำเร็จอยู่แล้ว คุณใจใส เมียคุณประทาน ไหวทันเก่งกว่าเพื่อน ทิ้งไพ่ออกมาตามคว้าตัวคุณประทานไว้หมับก่อนที่จะก้าวออกนอกบ้าน ชั้นนึกแล้ว กินเหล้ากันยังไง ถึงได้เงียบนัก ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เข้ามาถือไพ่ต่อเสียดี ๆ คุณใจใสพูดไป ดึงมือคุณประทานกลับเข้าบ้านไปด้วย วงไพ่แตก ผมก็เลยออกไปกินเหล้ากับคุณวิชัยเพียงสองคน ส่วนคุณประทานนั้น ถูกจูงขึ้นรถกลับบ้าน แผนการไม่สำเร็จ ไม่มีอะไรทำ ก็เลยวางแผนแก้เหงาขึ้นมายังงั้นเอง วันหลัง ๆ เวลามีวงไพ่ พวกผู้ชายเป็นต้องถือไพ่ ฝ่ายหญิงไม่มีใครยอมถือ คอยนั่งเอาใจช่วยอยู่ข้างหลัง แล้วรินเหล้าให้ ไม่ต้องไปหากินที่อื่น แต่ถึงยังไงก็แพ้แผนของเราเข้าจนได้ ผมดึงตัวคุณประทานออกมาได้จนสำเร็จวันหนึ่ง ทำยังไงผมไม่บอก เพราะยังจะใช้ได้อีกวันข้างหน้า ไม่มีอะไรมากหรอกครับ อยู่ว่าง ๆ ก็หาเรื่องล้อบรรดาคุณภรรยาเล่นเท่านั้นเอง หนีรอดไปได้ก็ถือว่ามีชัยชนะ สนุก ๆ ไปเท่านั้นเอง
ผมอยู่ที่นั่นอย่างคนโสด ผมก็หาอะไรมาเล่นของผมแก้เหงาไปเรื่อย ๆ แล้วอะไรมันก็ไม่สนุกเท่าหลอกดึงผัวให้หนีเมียออกไปเที่ยวได้ ผัวเขาก็เป็นใจกับเรา สนุกด้วยกัน ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร อย่างมากก็ถูกทุบ ถูกข่วนสอง-สามที ผมไม่ได้โดนด้วยนี่ !
Create Date : 28 สิงหาคม 2554 |
Last Update : 28 สิงหาคม 2554 4:51:17 น. |
|
2 comments
|
Counter : 1207 Pageviews. |
|
|
|