13 ปีกับบุรุษเหล็กแห่งเอเชีย (ตอนที่ 12)
โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ
ตอนที่ 12
เราไปถึงหน้ากรมโฆษณาการเกือบจะตีห้าแล้ว ที่นั่นมีทหารรักษาการณ์อยู่หน่วยหนึ่ง ซึ่งรักษากรมที่เพิ่งจะยึดคืนมาจากพวกกบฏสด ๆ ร้อน ๆ ได้ความว่ามีการยิงกันบ้างประปราย มีรอยร้าวนิดหน่อย ขบวนของเราเลยไปตามถนนราชดำเนิน ข้ามสะพานผ่านพิภพไปทางสนามหลวง ที่นั่นมีรถถังจอดจังก้าอยู่สองคัน เราก็พบ พลตรี สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่นั่น ท่านควบคุมกำลังรถถังอยู่ ตอนนั้นดำรงตำแหน่ง ผบ. พล ๑ เจ้านายกับพลตรี สฤษดิ์ เข้าไปคุยกัน ผมกับพันศักดิ์ออกสำรวจพื้นที่ เราพากันเดินไปทางป้อมบนกำแพงวังหลวง เพื่อดูว่าจะมีการเคลื่อนไหวอะไรบ้างบริเวณนั้น ไม่พบอะไรผิดปกติ หรือจะมีความผิดปกติอยู่บนเชิงเทินป้อมนั้นเราก็ไม่อาจเห็นได้
ภายหลังทราบจากปากคำของผู้ต้องหาบางคนที่จับได้ และเป็นผู้ที่เรารู้จักดีเพราะได้เคยร่วมงานเสรีไทยมาด้วยกัน ชื่อ ดอน บุนนาค เขาบอกว่า เขาอยู่ที่เชิงเทินป้อมนั้น มีบาซูก้ากระบอกหนึ่งเตรียมจะยิงรถถังที่บุกเข้ามา เขาเห็นผมทั้งสองตอนที่เดินเข้าไปหา และเขาจำเราได้ดี เลยไม่ทำอะไร เพราะทำไม่ลง รอดตายกันไปอย่างไม่เข้าท่า ! เฮ้ย นั่นรถเฮียเชื้อนี่หว่า ไอ้อ้วนตาไวกว่าผม มันชี้มือไปที่ประตูวิเศษชัยศรี ผมหันไปตามมือมันชี้ ที่หน้าประตูวิเศษชัยศรีไฟเปิดสว่าง ผมเห็นรถออสตินเก๋งคันเล็ก ๆ คันหนึ่งจอดอยู่ที่หน้าประตูนั้น ผมจำรถคันนี้ได้ เพราะพี่เชื้อใช้ประจำอยู่ ผมก็เคยนั่ง
สักประเดี๋ยวประตูก็เปิดออกแล้วรถคันนั้นก็แล่นเข้าไป มีรถเก๋งคันใหญ่อีกคันตามติดเข้าไป ตอนนั้นกำลังของฝ่ายรัฐบาลทางด้านนั้นยังไม่มี ก็เป็นอันแน่ว่าพี่เชื้อต้องอยู่ในขบวนรถนั้นด้วย เมื่อมีพี่เชื้อก็ต้องมีท่านปรีดี ฯ และอีกหลายคนที่ผมรู้จัก แต่พวกผมไม่ได้อยู่เฉย ๆ อย่างที่พี่เชื้อแอบกระซิบกับผมในวันนั้นเสียแล้ว มีพวกแม่ค้าพ่อค้าหาบของกระเร่อกระร่าจะมาตั้งขายที่บริเวณท้องสนามหลวง ตอนนั้นใกล้จะหกโมงเช้าแล้ว ผมสองคนต้องเข้าไปบอกเขาให้หลบไปเสียและให้เขารู้ว่าอะไรเป็นอะไร พวกเขารีบแจวอ้าว ยกหาบกลับไป ผมกลับมาที่ตั้งรถถังอีกที คราวนี้ผมเห็นมีกำลังตำรวจประมาณ ๒๐-๓๐ คนอยู่ที่รถถังจอดอยู่ ได้ความว่าเจ้านายเรียกมาจากหน่วยกำลังที่ชุมนุม คอยฟังคำสั่งอยู่ที่ลานพระรูป เราจะส่งกำลังไปตรึงด้านสะพานพุทธ ฯ เพื่อกันไม่ให้มีการส่งกำลังเข้ารบกวนทางด้านนั้น เพราะเราจะล้อมวังหลวงตามแผน พลตรีสฤษดิ์ ฯ พูดกับเจ้านาย ลื้อจะให้ใครคุมกำลังส่วนนี้ไป ให้ไอ้พุฒมันไป เจ้านายสั่งทันทีที่หันมาเห็นผม ไอ้พุฒ ชื่อติดปากเสียแล้ว ดีแล้วยังงั้น พลตรีสฤษดิ์ ฯ หันมาทางผม ลื้อเอาตำรวจไป ๒๐ ไปตรึงทางด้านสะพานพุทธไว้ คุมเส้นทางที่จะเข้ามาวังหลวงจากด้านนั้น ไม่ให้ใครเข้าใครออก หมาในไม่ให้ออก หมานอกไม่ให้เข้า เข้าใจไหม ผมเกือบจะถามว่า ห้ามกระทั่งหมาเชียวเรอะ แต่อดไว้ ครับผม ก็ได้แต่ตอบแค่นั้น ผมเลือกตำรวจได้ ๒๐ สั่งขึ้นรถบรรทุกที่นำตำรวจพวกนี้มา มีนายตำรวจสองสามนายกระโดดขึ้นรถตามมาด้วย ผมจำไม่ได้ว่ามีใครบ้าง ผมสั่งให้รถเลียบไปทางคลองหลอด ไปโผล่ทางด้านปากคลองตลาด เพราะตรงนั้นอยู่ใกล้สะพานทางที่จะข้ามมาเข้าถนนข้างโรงพักพระราชวัง แยกไปท่าเตียนก็ได้ สนามไชยก็ได้
เมื่อมาถึงปากถนนที่ติดกับถนนปากคลองตลาด ผมก็สั่งหยุดรถ ให้กำลังทั้งหมดลงจากรถ ไล่รถกลับ ผมวางกำลังเรียงรายตามบาทวิถีของถนน วางยามสังเกตการณ์ทางด้านสะพานพุทธ ฯ ตอนนั้นฟ้าเริ่มสางแล้ว ตำรวจของผมยึดพื้นที่อยู่ไม่ถึงสิบนาที ผมก็ได้ยินเสียงกึงกังมาทางด้านฝั่งถนนตรงกันข้าม
กำลังทหารเรือหน่วยหนึ่งกำลังลากปืนขนาด ๒๐ มม. ไร้แรงสะท้อนซึ่งใช้ยิงรถถังกระบอกหนึ่ง กัง ๆ มาตามถนนท่ากลาง มาจากทางแม่น้ำเจ้าพระยา มาถึงปากถนนก็หยุดตั้งปืนจังก้า ปากกระบอกปืนจ้องมาที่แนวที่ผมวางกำลังเรียงรายอยู่ ห่างกันเพียงชั่วถนนกั้น กำลังที่คุ้มกันปืนกระบอกนั้นมีประมาณหนึ่งหมู่
ทำยังไงดีล่ะ สารวัตร นายตำรวจนายหนึ่งที่หมอบอยู่ข้าง ๆ ผม ถามเสียงสั่น ๆ มันเล็งมาทางเรานี่ครับ
ผมกำลังพิจารณาเหตุการณ์อยู่ กำลังของผมมีเพียง ๒๐ และอาวุธก็มีแต่ปืนเล็กยาว ฝ่ายโน้นมีปืนยิงเร็วทั้งหมู่ และไอ้ ๒๐ มม. กระบอกนั้น ตูมเดียวพวกผมก็หายไปเป็นแถบ ๆ
แต่เขาก็ไม่ทำอะไร เขามาตั้งจังก้าเสร็จแล้วก็หมอบอยู่อย่างนั้น ประจันหน้ากันอยู่เฉย ๆ
ผมเห็นท่าไม่ได้การ จะนิ่งเฉย ๆ อยู่อย่างนั้นไม่ได้
คุณอยู่นิ่ง ๆ ที่นี่ ไม่ต้องเคลื่อนไหวอะไร ผมบอกนายตำรวจที่อยู่ข้าง ๆ ผมคนนั้น สั่งพวกเราทุกคนให้หมอบอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องตามผมไป
ว่าแล้วผมก็ลุกขึ้น เดินข้ามถนนไปคนเดียว ตรงไปที่ปืน ๒๐ มม. กระบอกนั้น ปืนพกของผมที่ห้อยอยู่ข้างตัว ผมไม่ได้แตะมัน เดินมือเปล่าเข้าไปหาเขา
ผู้บังคับหมวดนั้นมียศเป็นเรื่อตรี เขาลุกขึ้น ก้าวเท้าเข้ามาหาผมขณะที่ผมมาถึงบาทวิถีฝั่งที่ตั้งปืนกระบอกนั้น เขาเหลือบตาขึ้นมองบ่าผมแวบหนึ่ง แล้วยกมือทำวันทยหัตถ์พร้อมกับชิดเท้า
ผมทำความเคารพตอบอย่างแข็งแรงเช่นกัน
คุณเป็นพวกไหน ผมถาม
ฝ่ายรัฐบาลครับ เขาตอบ
ผมก็ฝ่ายรัฐบาล ผมบอกเขา ผมได้รับคำสั่งให้มารักษาเส้นทาง ไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนทางวังหลวง
ผมก็เหมือนกัน เขาว่า ผมได้รับคำสั่งให้มาป้องกันทางด้านนี้
ถ้ายังงั้นเราจะมายันกันอยู่ทำไมเล่าครับ ผมแนะเขา คุณปล่อยแนวนี้ให้ผม แล้วคุณไปทางริมแม่น้ำไม่ดีกว่าหรือครับ
ครับ เขารับคำอย่างง่ายดาย แล้วสั่งให้ทหารของเขาลากไอ้ ๒๐ มม. นั้นออกไปจากที่นั่น
แต่เขาไม่ได้ย้ายไปทางริมแม่น้ำ เขาลากมันกัง ๆ ไปทางสะพานข้ามคลอง ไปยังโรงพักพระราชวัง แล้วเขาก็ตั้งปืนตรงเชิงสะพานนั้น ใช้โค้งราวสะพานเป็นที่กำบัง หันปากกระบอกปืนเข้าโรงพักพระราชวัง กำลังทั้งหมดก็ย้ายไปอยู่ที่นั่น
ผมเห็นบนโรงพักมีกำลังตำรวจแน่นอยู่บนนั้น บ้างก็เดินกันขวักไขว่ ไอ้ปืนกระบอกนั้นลั่นตูมออกไปเมื่อไรก็ต้องมอดไปหลายคน แล้วผมก็ยังไม่รู้ว่าเขาลากปืนกระบอกนั้นไปตั้งที่นั่นทำไม
ข้อสำคัญ เพื่อนรุ่นพี่ของผมซึ่งชื่อ ร้อยตำรวจเอก ประสาธน์ สุวรรณสมบูรณ์ เป็นสารวัตรอยู่โรงพักนั้น คงไม่ทิ้งโรงพักไปไหนในเหตุการณ์เช่นนี้
ผมเดินเข้าไปหาเรือตรีผู้นั้นอีก เขากำลังสั่งการอะไรอยู่กับลูกน้องของเขา ขณะที่ตั้งปืนกระบอกนั้น
คุณตั้งปืนจะยิงใครน่ะ ผมถามเขา เมื่อไปถึงตัว
โรงพักตรงหน้านั่นไง เขาชี้ไปสถานีตำรวจพระราชวัง
ผมสะดุ้งวาบ ไอ้ที่ว่าพวกเดียวกัน คงจะมีการเข้าใจผิดกันเสียแล้ว
เขากับผมรู้ว่าคำว่ารัฐบาลนั้นมันหมายถึงรัฐบาลเก่าหรือใหม่ ตอนที่พวกกบฏประกาศทางวิทยุ ก็เรียกตัวเองว่ารัฐบาลเหมือนกัน
เขาก็พวกรัฐบาล ผมก็พวกรัฐบาล สงสัยว่าของเขาใหม่ ของผมเก่า แต่แถลงการณ์ของเรายังไม่ออกอากาศ
ผมไม่ได้แสดงท่าทีอะไรให้เขารู้ ผมพูดกับเขาว่า
เดี๋ยวก่อนคุณ นั่นก็พวกเรา
เขาหันมามองผม ไม่พูด ทำท่างง ๆ พิกล
ผมจะไปสอบดูเอง ผมพูดต่อ คุณรออยู่ที่นี่ก่อน อย่าเพิ่งทำอะไร
เอาซีครับ เขาตกลง
ให้คนของคุณถอยห่างออกมาจากปืนเสียก่อน ผมชึ้ไปที่พลประจำปืนซึ่งกำลังประทับไหล่แนบกับพานท้ายโค้งใหญ่ของ ๒๐ มม. กระบอกนั้น มือของเขาพร้อมที่จะลั่นไก
เขาสั่งให้คนของเขาผละจากพานท้ายปืน แล้วให้ถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว
ผมก้าวเข้าไปที่ตัวปืน ตบเอาแม็กกาซีนบรรจุกระสุนออก ส่งให้เรือตรีผู้นั้น
เอาไอ้นี่เก็บไว้ด้วยครับ
เขารับแม็กกาซีนซึ่งบรรจุกระสุนเต็มปรี่อันนั้นไว้ ไม่ยักว่าอะไร กลับยิ้มมองดูผม ผมยิ้มให้เขาก่อนที่จะเดินข้ามถนนมายังสถานีตำรวจ สารวัตรประสาธน์ ฯ ของผมอยู่ที่นั่นจริง ๆ เขาอยู่ปะปนกับตำรวจประจำสถานีซึ่งกำลังเดินกันพล่านอยู่บนโรงพัก ทุกคนสะพายอาวุธ ได้ความว่าเพิ่งได้รับคำสั่งให้นำกำลังไปเสริมที่สะพานผ่านพิภพ ฯ กำลังสั่งการกันอยู่ จึงดูสับสนอลหม่าน รีบกระจายกำลังกันไปเถอะ เฮีย ผมพูดกับเขาทันทีที่เจอตัว เห็นข้างหลังผมไหม ที่เชิงสะพานนั่นเป็น ๒๐ มม. ของ ทร. กำลังจ้องจะเล่นงานโรงพักนี้อยู่ เขาชะโงกข้ามไหล่ผมไป แล้วว่า ผมนึกว่าเป็นปืนพวกเดียวกัน เห็นคุณพูดอะไรอยู่กับนายทหารเรืออยู่ที่นั่น เมื่อกี้ รีบแยกย้ายกันไปเถอะ เร็ว ๆ เข้า ไม่ใช่พวกเดียวกันหรอก เดี๋ยวพังเป็นแถบ ๆ อ้าว เขาร้องออกมา แล้วสั่งการให้ลูกน้องหลบไปทางด้านหลังโรงพัก ผมกลับมายังที่ตั้งปืน พวกทหารเรือนี่เขาเคร่งครัดต่อวินัยและข้อตกลงดีจริง ๆ พลประจำปืนยังคงยืนอยู่ที่เดิม และผู้บังคับหน่วยผู้นั้นก็ยังคงยืนถือแม็กกาซีนกระสุนที่ผมถอดส่งให้อยู่อย่างเดิม ที่เดิม เรียบร้อยครับ ผมพูดกับเรือตรีคนนั้น ทางนี้ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเดียวกันเหมือนกัน เขานำกำลังไประวังทางด้านหลังโรงพักแล้ว คุณปล่อยบริเวณนี้ให้ผมก็แล้วกัน
เขาหันไปสั่งให้ลูกน้องถอนปืนออกจากที่ตั้งยิง หันมาตะเบ๊ะผม แล้วนำลูกน้องลากปืน กัง ๆ กลับไปทางเก่า เข้าถนนท่ากลาง เคลื่อนกำลังไปทางริมแม่น้ำ หายเงียบไป
ผมถอนใจโล่งอก และเพิ่งรู้ตัวเดี๋ยวนั้นเองว่า ผมไม่ได้ข้ามถนนไปพบเรือตรีผู้นั้นแต่ผู้เดียว มีนายตำรวจคนหนึ่งติดตามผมไปด้วยตลอดเวลา แต่เขาอยู่ติดข้างหลังผมติด ๆ จนผมไม่ได้สังเกต
ผมจำได้ว่าเขาคือ ร.ต.ต. เจริญ วัจนคุปต์ เดี๋ยวนี้เขาเป็นนายพลตำรวจตรีแล้ว แต่จะอยู่ที่ไหนขณะนี้ ผมไม่ทราบ
นี่แหละครับ ความ กระจอก ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ประจัญหน้ากันแล้วยังไม่รู้ใครเป็นใคร แล้วต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไป ไม่ได้ทำอะไรกัน
ฝ่ายเขาก็คงคิดเหมือนกันว่า ใครมันพวกใครกันแน่
Create Date : 26 เมษายน 2553 |
Last Update : 26 เมษายน 2553 20:27:09 น. |
|
1 comments
|
Counter : 2168 Pageviews. |
|
|
|