จงให้ความสำคัญต่อสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าสิ่งที่ถูกใจ
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
12 มีนาคม 2553
 
All Blogs
 
ชัยชนะและความพ่ายแพ้ของ "บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย" (ตอนที่ 39)

โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ

ตอนที่ 39

ฆาตกรรมการเมือง

อย่างเรื่องที่ว่า ฆาตกรรมทางการเมืองนั่น

พอมีเรื่องต้องทำเพื่อความอยู่รอดของบ้านเมือง ซึ่งระยะนั้น การเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์ในประเทศกำลังเพิ่มความรุนแรงขึ้น ทุกคนที่รับผิดชอบร่วมกันทางการเมืองก็ชี้นิ้วมาที่ท่านอธิบดีเผ่า ฯ ให้เป็นคนจัดการ

“ ให้ไอ้เผ่ามันทำ ลูกน้องมันแยะ ”

นี่คือคำพูดของท่านจอมพล สฤษดิ์ ฯ ในที่ประชุม ซึ่งผมได้ยินมากับหู

เริ่มที่เรื่องสี่อดีตรัฐมนตรี ที่กลายเป็นศพคารถทั้งสี่คน ที่กิโลเมตรที่ 13 บนถนนพหลโยธินนั่น
เรื่องนี้ก็ต้องตกเป็นแพะรับบาป เพราะตำสั่งของผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ผมเป็นตัวสำคัญก็ต้องมารับผิดชอบเรื่องนี้เต็มประตู เพราะนั่งควบคุมผู้ต้องหาทั้งสี่คนในรถ

เรื่องนี้มีปฐมเหตุมาจาก “ กบฏวังหลวง ” หรือกบฏ 26 กุมภาพันธุ์ 2492 นั้น เมื่อการปราบปรามจนสงบราบคาบไปแล้ว ทางฝ่ายวางแผนเขาก็เดินงานกัน พวกผมนั้นไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาด้วย เพราะแม้แต่กำลังในการที่จะใช้เข้าช่วยปราบปรามก็ยังไม่มี ต้องใช้หน่วยทหารเป็นส่วนใหญ่ หน่วยอะไรต่ออะไรของตำรวจยังไม่มี

เมื่อการปราบปรามเรียบร้อยลงแล้ว ก็มีคนส่งโทรเลขไปที่มาเลเซียถึงคุณทองเปลว ชลภูมิ ที่ตั้งหลักคอยฟังข่าวการทำงานในกรุงของพรรคพวกอยู่ โทรเลขฉบับนั้นมีข้อความว่า

“ การทำงานสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ให้เข้ามาได้ ”

ทางนั้น พอได้รับโทรเลขก็ไม่ได้ทบทวนตรวจสอบอะไร เดินทางรี่เข้ามาทางเครื่องบินทันทีในเช้าวันนั้นเอง เมื่อมาถึงสนามบินดอนเมืองก็มีนายตำรวจไปรับตัวถึงบันไดเครื่อง นายตำรวจท่านนั้นคือ ร้อยตำรวจเอก ต่อศักดิ์ ยมนาค (ยศขณะนั้น)

คุณทองเปลวถูกนำตัวไปควบคุมไว้ที่สถานีตำรวจสามเสน ส่วนนายจำลอง นายทองอินทร์ และนายถวิล อุดล นั้น โดนจับตัวไว้แล้วหน้านี้ ฝากขังไว้แยกกันตามสถานีตำรวจต่าง ๆ มี บางเขน บางซื่อ ผมจำไม่ได้ว่า ใครถูกขังอยู่ที่ไหน จำได้แต่นายทองเปลวคนเดียว

คุณทองเปลวชะงักขาที่กำลังก้าวลงจากเครื่อง เพราะรู้ ๆ อยู่ว่า นายตำรวจท่านนี้เป็นคนละพวก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เสียแล้ว ต้องอยู่ในความควบคุมของคณะตำรวจที่ไปคอยรับ ก็ไม่ทราบว่าทำไมถึงได้ประมาทอย่างนั้น พอได้รับโทรเลขก็ดีใจ เดินทางเข้ามาทันที

พวกผมกำลังนอนพักผ่อนกันที่สวนอัมพร โดยไม่รู้เรื่องอะไรกับเขา คืนหนึ่งเป็นคืนวันที่ 2 มีนาคม 2492 หลังจากวันที่เหตุการณ์สงบลงไม่กี่วัน ผมก็ถูกปลุกขึ้นมาให้นำกำลังไปหนึ่งหมู่ ไปที่วังปารุสกวัน ตอนนั้นกองตรวจของผมมีรถสเตชั่นแว๊กกอน (station wagon) ประจำอยู่คันหนึ่ง เป็นรถสำหรับใช้ในการขนกำลังไปทำงาน

ผมก็ปลุกตำรวจของผม และปลุกรองสารวัตรของผมคนหนึ่ง คือ ร้อยตำรวจโท บุญสม ประไพ ให้คุมกำลังหนึ่งหมวดที่ปลุกขึ้นมาแล้วนั้น เอาขึ้นรถประจำของผมไปกับผม ผมขึ้นนั่งข้างหน้ากับคนขับ ส่วนบุญสมนั่งไปกับกำลังตำรวจบนรถติดตามอีกคันหนึ่ง ที่ยืมเอามาจากแผนกอื่นในกองตรวจด้วยกัน สเตชั่นแว๊กกอนคันเดียวมันบรรทุกตำรวจทั้งหมู่ไม่ได้

ผมนั่งรถมาถึงหน้าวังปารุสกวัน ก็พบนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งเป็นคุณอาของผม ท่านเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรอยู่ที่โคราช มาช่วยงานปราบกบฏด้วย ท่านคือ พันตำรวจเอก หลวงพิชิตธุรการ คุณอาของผมนั่งอยู่บนรถจี๊ปเล็กรออยู่ที่หน้าวังแล้ว พอผมไปถึง ท่านก็ให้ผมสั่งคนขับรถของผมให้ขับตามท่านไป

ผมไม่ได้เห็นท่าน อ.ตร. เผ่า ฯ เลยตอนนั้น

พอคุณอาหลวงพิชิต ฯ ออกรถ ผมก็สั่งคนขับตามไปทันที รถกำลังของผมก็ตามรถผมไปด้วย รถคันหน้าตระเวนไปตามสถานีตำรวจ รับเอาผู้ต้องหาที่ฝากไว้ตามสถานีตำรวจนั้นขึ้นรถ ให้มานั่งในรถผม แล้วก็ตระเวนไปตามสถานีตำรวจแถวเขตนครบาลเหนือ เข้าถนนพหลโยธิน พอเข้าถนนพหลโยธินท่านก็หยุดรถ ให้ตำรวจประจำรถท่านมาสั่งผมว่า ถ้าเห็นรถคันนำคือรถของท่านหยุด ก็ให้หยุด ทิ้งระยะตามไว้เท่าที่ตามมานั่น

ผมรับทราบ รถก็เคลื่อนขบวนต่อไปช้า ๆ ตามถนนพหลโยธิน สมัยนั้น สองข้างทางถนนนี้ยังมีต้นก้ามปูเรียงรายอยู่สองข้างถนน และเป็นถนนสายแคบ ๆ กว้างสิบกว่าเมตร เป็นถนนเปลี่ยว นาน ๆ จึงจะมีรถสวนผ่านมาสักคัน หรือไม่ก็ตามมา แล้วผ่านขึ้นหน้าไป

รถคันหน้ายังคงแล่นเอื่อย ๆ ไปตามถนน บนรถที่ผมนั่งอยู่ตรงหน้าคู่คนขับนั้น มีผู้ต้องหาทั้งสี่คน ที่ไปรับมาจากสถานีตำรวจต่าง ๆ นั่งอยู่ที่เบาะข้างหลังผมเรียงอยู่ เบียดกันหน่อย ผู้ต้องหาทั้งสี่คน คือ นายทองเปลว นายทองอินทร์ นายถวิล และนายจำลอง ทั้งสี่ต้องหาร่วมมือในการกบฏ 26 กุมภาพันธุ์ มีตำรวจสองคนนั่งคุมอยู่ที่ที่ว่างด้านหลัง ไม่มีเบาะนั่ง เป็นที่สำหรับวางของหรืออาวุธ

ขบวนรถวิ่งต่อไปช้า ๆ ผมทิ้งระยะห่างรถนำพอควร ประมาณยี่สิบเมตร

ขณะที่รถวิ่งเอื่อย ๆ ไปนั้น ผู้ต้องหาคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างหลังผม ถามขึ้นมาว่า

“ จะเอาพวกผมไปไหนครับ ” เหมือนจะเป็นเสียงของคุณทองเปลว

ผมสั่นหน้า ตอบไปว่า ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหน ผมได้รับคำสั่งแต่เพียงให้ตามไปเท่านั้น

สักครู่ รถคันหน้าก็หยุด ผมสั่งคนขับรถของผมให้หยุด ผมก็ไม่ทราบว่ารถคันหน้าหยุดทำไม หยุดก็หยุดด้วยกันตามคำสั่ง แล้วรถคันหน้าก็เคลื่อนต่อไปหลังจากหยุดอยู่นานสักสองสามนาที ผมก็สั่งให้ตามไปอย่างเดิม

ขณะนั้นอากาศรอบ ๆ ข้างมืดสนิท ไม่มีรถผ่านไปมา ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงสองทุ่มกว่า ๆ เท่านั้น บรรยากาศตอนนั้นเงียบสนิท

ขบวนเคลื่อนไปอีกครู่ใหญ่ รถคันหน้าก็หยุดอีก ผมสั่งรถให้หยุดตาม

ทีนี้มีเสียงตะโกนมาจากรถคันหน้าดังลั่น

“ เฮ้ย มัวทำอะไรกันอยู่วะ ” เสียงนั้นเป็นเสียงของผู้บังคับขบวน คือ คุณอา หลวงพิชิต ฯ ของผม

ผมก็ไม่ทราบว่า ท่านตะโกนพูดกับใคร
ผมนั่งนิ่งอยู่บนรถ

ประเดี๋ยวเดียวกันนั่นเอง ก็มีคนกลุ่มใหญ่ประมาณสี่ห้าคน ในชุดสีดำสนิท กลมกลืนกับบรรยากาศ กลุ่มคนสี่ห้าคนนั้น วิ่งข้ามถนนมาจากอีกฝั่งหนึ่งของถนน ตรงรี่เข้ามาที่รถคันที่ผมคุมผู้ต้องหาอยู่ ในขณะเดียวกันนั้นก็มีเสียงปืนลั่นเป็นชุด ๆ จากทางที่คนกลุ่มนั้นวิ่งมา

ผมเห็นท่ามันจะไม่ได้เรื่อง ผมก็เปิดประตูรถออก หันไปดึงผู้ต้องหาที่อยู่เบื้องหลังผม จะให้ลงจากรถ

“ คุณจะทำอะไรผม ” เสียงนายทองเปลว ซึ่งนั่งอยู่ใกล้ผม ร้องขึ้น พร้อมทั้งดึงมือสู้ ไม่ยอมลง

“ ลงมาเถอะครับ ” ผมบอกเขา “ ลงมาดีกว่า ”

เขาขัดขืน ดึงมือกลับอีก พร้อมตะโกนดัง ๆ
“ คุณพุฒ อย่าทำยังงี้ – อย่า ”

ขณะที่เขากำลังชักมือกับผมอยู่พอดี กลุ่มคนเหล่านั้นก็ดาหน้ากันมาข้างรถ ล้อมรถรอบด้าน

ผมพอจะเดาออกว่า อะไรเป็นอะไร ผมปล่อยมือคุณทองเปลว โดดลงคูข้างถนน เสียงปืนก็คำรามลั่นเป็นถี่ ๆ หลายชุด จากที่ตรงนั้น

ผมนอนหมอบซุกหัวกับขอบคู ผมชักปืนข้างเอวออกมาถือไว้แล้วในลักษณะพร้อมสู้ ผมเงยหน้าขึ้นมองไปข้างบน ไม่มีเงาอะไรแถวนั้น
เสียงปืนดังเป็นชุด ๆ อยู่สองสามชุดก็เงียบ

ผมซุกตัวเงียบอยู่ในคูนิ่ง เสียงปืนเงียบไป ทีนี้มันเงียบสนิท

ผมค่อย ๆ ชะเง้อคอขึ้นมองแล้วค่อยคืบคลานขึ้นมาริมคู ชะเง้อคอขึ้นมองไปรอบ ๆ ทุกสิ่งอยู่ในความเงียบสงัด กลุ่มคนที่เห็นนั้นหายไปแล้ว มันมาเงียบ ๆ พร้อมกับเสียงปืน แล้วก็หายไปกับเสียงปืน

ผมก้าวขึ้นมาจากคู เดินไปที่รถ

ผู้ต้องหาของผมทั้งสี่คน บางคนหงายหลังหัวพิงเบาะนิ่ง บางคนฟุบหน้าทิ่มลงกับพื้นรถ ผมเปิดประตูเข้าไป จับร่างของเขาเขย่า บางคนยังหายใจแขม่ว ๆ

คุณอา หลวงพิชิต ฯ ของผมวิ่งมาจากรถ มาถึงที่ผมยืนอยู่ พูดขั้นเสียงกระหืดกระหอบว่า

“ เป็นยังไงบ้าง ”

“ ยังพอหายใจอยู่ครับ ” ผมตอบ “ ผมจะพาไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ ”

ว่าแล้ว ผมก็เปิดประตูรถขึ้นนั่ง สั่งคนขับของผมที่ยังคงนั่งนิ่งตรงที่คนขับ ให้ออกรถไปโรงพยาบาล

เขานั่งนิ่ง ไม่มีปฏิกิริยาอะไร ผมได้ยินเสียงครางเบา ๆ จากเขา จับความไม่ได้ เป็นเสียงครางอย่างคนไข้หนัก

“ เฮ้ย ” ผมตวาด “ ไปซีวะ กลับรถ ”

เขายังคงนั่งนิ่ง ไม่พูดจาอะไร เอาแต่ส่งเสียงครางอยู่อย่างนั้น

ผมลงจากรถ เดินรีบ ๆ อ้อมไปหน้ารถไปทางประตูคนขับ เปิดประตูออก ผลักเขาไปทางที่ผมนั่งอยู่เมื่อกี้นี้ เขากระเด็นไปตามแรงผลักของผม ไปฟุบอยู่ตรงที่นั่น

ผมขึ้นนั่งที่คนขับ หมุนกุญแจติดเครื่อง พอเสียงเครื่องรถครางติด ผมก็เข้าเกียร์เหยียบคันเร่ง เลี้ยวรถตีวงกลับ ไม่ฟังเสียงใคร คุณอาผมยืนอยู่ข้างรถ มีเสียงพูดอะไรกับผม ผมไม่ได้เอาใจใส่ ขณะนั้นคิดเอาแต่จะพาคนเจ็บไปโรงพยาบาล

สมัยนั้น โรงพยาบาลแถวนั้นยังไม่มี ต้องไปโรงพยาบาลกลางแห่งเดียว

ผมบึ่งรถมาถึงโรงพยาบาลกลางภายในไม่ถึงยี่สิบนาที สมัยนั้นรถไม่มากเหมือนสมัยนี้ ถนนว่าง และยามสามทุ่มอย่างนั้นก็ยิ่งเงียบ มาถึงโรงพยาบาลกลาง ผมก็เห็นมีหมอมายืนรออยู่ที่หน้าตึกแล้วสองสามคน เขามารอใครก็ไม่ทราบ

ผมเปิดประตูรถลงไปอย่างรีบ ๆ หมอคนที่ผมพบคนแรกคือ หมอเชิด โทณวนิก ผมรู้จักคุณหมอเชิดดี เพราะเคยพบกันบ่อย ๆ เมื่อผมเอาคนเจ็บมาส่ง ซึ่งส่วนมากจะเป็นคนเจ็บในทางคดี เพราะหมอจะต้องเป็นคนลงความเห็นว่า บาดแผลฉกรรจ์ หรือไม่ฉกรรจ์ ผมกับหมอเชิดคุ้นหน้ากันดี

“ เอาอะไรมาอีกล่ะ คุณพุฒ ” คุณหมอทักผม

ผมจูงมือหมอไปที่รถ ชี้ให้ดูร่างทั้งสี่ที่นอนบ้าง คว่ำบ้างอยู่ในรถนั้น

“ ช่วยทีเหอะ หมอ ” ผมพูด

“ ให้คนเอาลงจากรถไปดูทีว่าเป็นยังไง ”

“ ไปโดนอะไรมาล่ะ ” หมอยังถามอีก

“ เร็วเข้าเหอะ หมอ เอาเข้าห้องฉุกเฉินก่อน เดี๋ยวผมจะเล่าให้หมอฟัง ” ผมดึงมือหมอเขย่าเบา ๆ

หมอเชิดชะโงกเข้าไปในรถ เอามือคลำที่ร่างพวกนั้น แล้วถอยออกมา พูดว่า

“ เสร็จหมดแล้วนี่ ไม่หายใจกันสักคน ” หมอส่ายหน้า แล้วหมอก็หันไปสั่งคนของหมอที่มายืนออกันอยู่ข้าง ๆ หมอ ให้ช่วยกันดึงเอาร่างพวกนั้นลงจากรถ เอาเข้าไปในห้องเล็ก ๆ ของโรงพยาบาล ผมจำได้ว่ามันเป็นห้องดับจิต

“ ไม่มีทางช่วยอะไรเลยเชียวเหรอ หมอ ” ผมถามหมอให้แน่ใจ

หมอสั่นหน้า “ ไปหมดแล้วทุกคน ไม่ต้องห่วง ”

ผมมองดูหมออย่างสงสัย อดที่จะตั้งคำถามไม่ได้

“ หมอออกมายืนคอยใครอยู่นี่ล่ะ ”

หมอหัวเราะ “ ผมได้รับโทรศัพท์จากตำรวจที่ไหนเขาก็ไม่ได้บอก ว่าให้เตรียมหมอไว้คอยรับศพ ไม่รู้เหมือนกันว่าศพใครที่ไหน ไม่ยักรู้ว่าคุณจะเป็นคนเอามาให้ ไปโดนอะไรมาล่ะครับเนี่ย ”

ผมยืนงง นิ่งอยู่ครู่ใหญ่ เรื่องไม่น่าลึกลับกลับมาเป็นเรื่องลึกลับไปได้

ผมหันกลับ “ งั้นผมไปก่อนละครับ มีงานที่ต้องทำอีก หมอจัดการกับศพนั่นแล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยพบกัน ”

ผมขึ้นรถ บึ่งออกจากที่นั่น ไอ้คนขับรถผมยังนั่งตาลอยอยู่ที่นั่งของมัน ผมออกรถมันก็ยังนั่งเหม่ออยู่อย่างนั้น

ผมมาถึงที่เกิดเหตุ ก็พบว่าที่นั่นมีตำรวจหลายคน ผมพบกับสารวัตรตำรวจท้องที่ ซึ่งเป็นนายตำรวจรุ่นพี่คนรุ่นเดียว เขาเป็นเจ้าของท้องที่ เขาถามผมว่า คนเจ็บไปไหน

ผมบอกเขาว่า ไม่ใช่คนเจ็บแล้วครับ เป็นศพไปแล้ว ผมพึ่งเอาไปโรงพยาบาลกลางมานี่ หมอบอกว่าตายสนิททั้งสี่คน เขาพยายามถามอะไรต่ออะไรผมอีก ผมไม่ตอบ ให้ไปถามคุณอาหลวง ฯ แต่ตอนนั้นผมไม่เห็นรถของคุณอาหลวง ฯ ของผมที่นั่นแล้ว ไม่รู้ว่าท่านไปไหน

ผมขึ้นรถ หันไปพูดกับรุ่นพี่ของผมคนนั้น

“ พรุ่งนี้ผมจะมาให้พี่สอบสวน ตอนนี้ผมต้องรีบไปรายงานเจ้านายก่อน ”

ผมบึ่งรถมาที่วังปารุสกวัน ไอ้คนขับรถของผมมันยังนั่งเป็นเบื้ออยู่อย่างนั้น มาพูดไม่จา ผมจะเขย่าตัวมันยังไงมันก็ตาลอย ไม่หันมามองผมด้วยซ้ำ เสียสติไปเสียแล้วก็ไม่รู้

ผมมาถึงวังปารุสกวันไม่พบเจ้านาย ไม่รู้ว่าท่านไปไหน ผมก็เข้าที่รวมพล เอาคนรถนั่นไปให้พรรคพวกของมันช่วยปลุกสติ แล้วผมก็เข้านอน รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยที่ต้องฝ่าดงกระสุนโดยไม่รู้ตัว จะเล่นอะไรกันก็ไม่บอกกล่าวกันให้รู้ตัว ดีแต่ว่ามีสัญชาตญาณรู้จักหลบอันตรายติดตัวอยู่ เพราะการที่ได้ผจญกับเหตุการณ์มาบ่อย ๆ จึงเอาตัวรอดมาได้อย่างไม่น่าจะเป็นไปได้

ผมถูกเจ้านายเรียกตัวไปตั้งแต่เช้า ให้ไปพบที่วังปารุสกวัน

“ เมื่อคืนนี้ เกิดเรื่องอะไรกันวะ ” ท่านถามผม “ กูได้ยินเขาว่ากันว่า มึงพาผู้ต้องหาไปทำอะไรแถว ๆ บางเขน ”

ผมก็เล่าเรื่องให้ฟัง ตั้งแต่ผมถูกเรียกตัวไปจากสวนอัมพรอย่างไร และไปโดนพวกไหนก็ไม่รู้ แต่งตัวสีมืดทั้งตัว ยกขบวนกันมาล้อมยิงรถผม และผมเผ่นลงจากรถลงไปในคูยังไง

“ เขาเล่นอะไรกันวะ ” เจ้านายบ่นพึมพำ “ เมื่อคืนกูไปหาไอ้สฤษดิ์มัน ไปนั่งกินเหล้ากับมัน ไม่ได้เรียกมึงไปด้วย เพราะกูไม่ได้แวะมาที่นี่ เมื่อเช้านี้ ไอ้พวกตำรวจแถวนี้มันพูดกันถึงเรื่องมึง ก็เรียกว่าถาม เขาว่าเสร็จไปสี่เชียวเรอะ พวกรัฐมนตรีเสียด้วย ”

“ ผมก็เกือบเป็นคนที่ห้า ” ผมรายงาน “ ถ้าไม่ไว เห็นท่าไม่ดีก็โดดลงมา ผมดึงมือพวกนั้นลงมาด้วยกัน เขากลับคิดว่าผมเล่นอะไรกับเขา ก็เลยต้องทิ้งไว้ในรถ เอาตัวรอดก่อน มันเหมาทั้งรถเลยครับ ไอ้คนขับรถผมไม่รู้มันรอดกระสุนมาได้ยังไง ทั้ง ๆ ที่มันนั่งตะลึงอยู่ที่คนขับ ป่านนี้มันยังพูดไม่ได้เลยครับ สติเสียไปแล้วก็ไม่ทราบ ”

“ หนังสือพิมพ์ยกโขยงมาหากูแต่เช้า เขาจะมาเอาข่าว กูก็บอกว่ากูไม่รู้เรื่อง ให้รอถามมึง เขาว่าเขาจะมาพบมึงที่นี่ตอนเก้าโมงเช้า ประเดี๋ยวก็คงมากัน มึงรออยู่ที่นี่ก่อนก็ได้ แดกข้าวเช้าหรือยังล่ะ ”

แดก ก็เป็นภาษาพ่อขุนที่ใช้พูดกับผม คงถนัดปาก แปลว่าอะไรคุณ ๆ คงทราบดี

“ กำลังตื่นพอดีครับ จะเข้าห้องน้ำพอดี โดนเรียกมานี่ ”

“ เออ งั้นขึ้นไปแดกก่อน แล้วกูจะเรียกไปถ้าเขามากัน ”

ผมกลับมาที่รวมพล อาบน้ำอาบท่าแล้วก็กินข้าวเช้ากับพวกตำรวจของผม อิ่มแล้วก็นั่งจัดเวรจัดยามอยู่กับพวกที่มีหน้าที่เวรยาม จนเที่ยงก็ไม่เห็นมีคำสั่งเรียก ผมก็เตร่อยู่ที่นั่น อีกไม่กี่วันก็คงได้กลับที่ตั้งเดิม เหตุการณ์จะเข้าที่แล้ว

วันรุ่งขึ้น ผมก็ได้อ่านหนังสือพิมพ์ พาดหัวหรา

“ โจรมลายูดักล้อมรถที่นำสี่อดีตรัฐมนตรีไปคุมขัง แล้วยิงทลายรถคันนั้น รัฐมนตรีทั้งสี่โดนกระสุนโจรตายเรียบ ”

ผู้ที่ให้ข่าวนั้นคือ คุณอาหลวงพิชิต ฯ ของผม หัวหน้าผู้คุมขบวนไปนั่นเอง

สนุกละ ผมคิดของผมในใจ เรื่องนี้คงเป็นอาหารชิ้นสำคัญของหนังสือพิมพ์แน่ ๆ

แล้วก็เป็นอย่างว่า หนังสือพิมพ์เล่นกับข่าวนี้กันสนุกไปหลายวัน คุณประยูร จรรยาวงษ์ เพื่อนรักของผม เอาไปเขียนการ์ตูน ศุขเล็ก สนุกไป มีคำกลอนคลองจองว่า “ ถูกโจรมลายูดักจู่ ฮาเล้วังกา ” สนุกปาก

ผู้คนที่ได้อ่านแล้ว เอาไปร้องลิเกกันต่อ ผมเองก็โดนเพื่อนฝูงแซวว่า “ มึงเป็นโจรมลายูไปเสียแล้วหรือ ”

ใคร ๆ ก็ต้องคิดว่า ผมต้องรู้เห็นเป็นใจในเหตุการณ์นี้ด้วย เพราะอยู่ในเหตุการณ์และเป็นคนรับผิดชอบในการควบคุมผู้ต้องหาสำคัญทั้งสี่นั้น

ผมจะไปแก้ตัวกับใครยังไง ก็คงไม่มีใครเชื่ออย่างที่ผมเล่ามาข้างต้นนั่น ผมขอฝากข้อเขียนนี้ไว้กับท่านผู้อ่าน จะเชื่อหรือไปเชื่อก็แล้วแต่
มันคงจะยากที่จะพูดให้ใครเชื่อ

มีที่ไหน เป็นคนคุมรับผิดชอบผู้ต้องหา แล้วจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเขามาเห็นท่าที่ผมโดดตัวปลิวลงคูข้างทางในคืนนั้น ก็คงจะพอเชื่อ

ไอ้คนรถที่ขับรถที่บรรทุกผู้ต้องหาไปนั้น ก็ไม่ใช่คนขับรถประจำตัวผม เขาเป็นคนขับรถประจำรถคันนั้น ที่ทางหน่วยยานพาหนะของกรมตำรวจจัดมาให้พร้อมกับรถ ผมไม่รู้จักกับเขาเลย และไม่เคยใช้สอยกันมาก่อน เพิ่งจะพบกันครั้งแรกวันนั้น เขามานอนเตรียมพร้อมอยู่ที่รวมพลเหมือนกันพร้อมกับรถประจำของเขา ไม่เคยได้พูดจากัน

ตำรวจที่เป็นกองกำลังนั้นมีมาก และมาจากที่ต่าง ๆ กัน ผมเป็นแค่คนหนึ่งในคณะนายตำรวจที่คุมกำลังที่นั่น และมีหน้าที่ดูแลกำลังของผมเท่านั้นในเรื่องจัดกองรักษาการณ์และเตรียมพร้อม ณ ที่ตั้ง

ถ้าผมจะต้องทำงานอย่างนี้ ผมจะต้องเอาตำรวจที่ผมไว้ใจได้และเคยใช้สอยกันมาอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่เอาใครที่ไหนก็ไม่รู้มาขับรถอย่างนี้ เรื่องอย่างนี้ถ้าจะทำ ทำต่อส่งเดชได้ยังไง และตัวตำรวจที่นั่งคุมผู้ต้องหาอยู่ข้างหลังรถ ก็เป็นตำรวจจากกองกำลังที่มาจากที่ต่าง ๆ กัน

พลแนบ นิ่มรัตน์ แพะรับบาป

เรื่องนี้ยังมีแปลกประหลาดไปอีกกว่านี้ เพราะเมื่อตอนที่เขาสอบสวนเรื่องสี่อดีตรัฐมนตรีถูกยิงนี้ เขาจับเอา พลแนบ นิ่มรัตน์ เข้ามาร่วมขบวนด้วย และจับให้เป็นคนยิงสี่อดีตรัฐมนตรีนั่นในวันนั้นด้วย ก็ไม่รู้เขาทำกันได้ยังไง

วันที่เกิดเหตุนั้น แนบยังได้เข้าเป็นตำรวจ เขายังคุมโรงหนังโอเดี่ยนที่สามแยกอยู่ ผมเพิ่งเอาเขาเข้ามาเป็นตำรวจหลังจากวันเกิดเหตุนั่นหลายเดือน

คณะกรรมการที่สอบสวนเรื่องนี้ ตอนที่ผมกับท่านอธิบดีเผ่า ฯ ได้จากเมืองไทยไปแล้วนั้น เขาจับเอาพล แนบ เข้ามาเป็นผู้ต้องหาด้วย เพราะพล แนบ นิ่มรัตน์ เป็นตำรวจติดตามผมในระยะหลัง ๆ นี่เอง

นี่ไง

สงคราม การเมือง ความรัก
ไม่มีคำว่า สุภาพบุรุษ

เมื่อตอนเกิดเรื่องใหม่ ๆ มีการตั้งพนักงานสอบสวนเรื่องนี้เหมือนกัน ผมได้ไปให้ถ้อยคำกับสารวัตรท้องที่บางเขน ที่เป็นนายตำรวจรุ่นพี่ผมตามระเบียบ ผมก็ให้การไปตามที่ผมเขียนมาข้างต้น เขาก็จดคำให้การไปตามที่ผมให้ไว้ แล้วเขาก็สอบสวนเป็นสำนวนตามระเบียบเหมือนกัน เสนอสำนวนนั้นไปตามลำดับ เป็นสำนวนคดีสืบค้างจับ ในสำนวนนั้นไม่มีชื่อของพลแนบ นิ่มรัตน์อยู่ในเหตุการณ์ด้วย และไม่มีคำให้การของพลแนบ ฯ ติดอยู่ในสำนวน

อยู่ ๆ ภายหลัง สำนวนนั้นหายไปไม่มีร่องรอย

เมื่อมีการสอบสวนใหม่ตอนที่ผมออกไปนอกประเทศแล้ว ก็มีสำนวนใหม่ขึ้นมา และมีชื่อพลแนบ นิ่มรัตน์ เป็นผู้ต้องหาด้วย แนบไมได้ออกไปนอกประเทศกับผม เขาถูกจับในข้อหานี้ และต้องไปเข้าคุกโดนคำพิพากษาให้จำคุกตลอดชีวิต เขาต้องไปเข้าติดคุกอยู่หลายปีกว่าจะได้รับอภัยโทษออกมา

แนบคิดว่าผมรู้เห็นเหตุการณ์นี้ด้วย เขาจึงยอมติดคุกโดยไม่มีการแก้ตัวอะไร เขาคิดว่าการติดคุกของเขาคงจะถ่ายโทษผมได้ ถ้าเขารู้ว่าผมไม่รู้เห็นด้วย แนบคงไม่ยอมติดคุก

เขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยเลย และไม่ได้รับรู้อะไรเรื่องนี้เลย เขายังไม่ได้เข้าเป็นตำรวจตอนที่เกิดเหตุการณ์นี้ด้วยซ้ำ

แนบไม่มีความรู้เรื่องทางกฎหมาย เขาคิดแต่จะติดคุกแทนผมเท่านั้น

หาคนอย่างนี้ได้ที่ไหน

แนบถึงแก่กรรมไปแล้ว ขอให้ดวงวิญญาณของเขาไปสู่สุคติเถิด

ตอนที่เขาตายนั้น เขามียศเป็นสิบตำรวจเอก

นี่เป็นเหตุการณ์อันหนึ่งเรื่องการเมือง ที่สุภาพบุรุษเผ่า ฯ ต้องรับเอาไว้ ด้วยการกระทำร่วมคิดของใครก็ไม่รู้ และผมก็ต้องมารับกรรมไปด้วย แก้ตัวกับใครเขาก็ไม่เชื่อ

คุณ ๆ ที่ได้อ่านข้อความที่ผมเขียนไว้ข้างต้นนี้ ก็ตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ




Create Date : 12 มีนาคม 2553
Last Update : 12 มีนาคม 2553 22:51:10 น. 1 comments
Counter : 1442 Pageviews.

 
เพิ่งรู้ความจริงวันนี้เอง


โดย: ศรชัย IP: 112.142.115.206 วันที่: 13 มีนาคม 2553 เวลา:7:19:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ธารน้อย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ธารน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.