ชัยชนะและความพ่ายแพ้ของ "บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย" (ตอนที่ 80)
โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ
ตอนที่ 80
พวกที่มาเยี่ยมเยียนโดยไม่ตั้งใจมาก่อนก็มีมาก
ระยะนั้น มีคณะหนังสือพิมพ์คณะใหญ่บินไปจีนแดงเป็นกลุ่ม ไปทัศนาจรหาความรู้ในเมืองจีน สมัยนั้น รัฐบาลไทยยังไม่มีสัมพันธภาพกับจีนแดง ฉะนั้น การเดินทางเข้าไปในเมืองจีนแผ่นดินใหญ่จึงเป็นของต้องห้าม และผิดกฎหมาย เมื่อเสร็จการเยี่ยมเยียนจีนแดงแล้ว การเดินทางเข้าเมืองไทยจึงเกิดปัญหา รัฐบาลจะจับในข้อหาคอมมิวนิสต์เอา พวกเขาเลยแวะมาที่สวิส ฯ เป็นการพักการเดินทางมาตั้งตัว คิดอ่านกันใหม่ว่าจะกลับบ้านยังไงดี
จอมพล สฤษดิ์ ฯ ท่านเอาจริง ขืนกลับไปเป็นโดนข้อหาหนักแน่ ๆ ท่านประกาศออกมาแล้วว่า ท่านขอรับผิดชอบแต่ผู้เดียว ท่านปกครองประเทศด้วยลัทธิเผด็จการเต็มรูปแบบ กุมอำนาจแต่ผู้เดียวจริง ๆ
คณะหนังสือพิมพ์ไทยเข้าเยี่ยม คณะหนังมือพิมพ์ที่แวะเข้าสวิส ฯ ก็ถือโอกาสเข้าเยี่ยมท่านนายพลตำรวจเอก เผ่า ฯ ผู้มาอยู่เจนีวา แบบผู้ลี้ภัยทางการเมือง บางทีอาจจะได้ข้อแนะนำใหม่ ๆ กลับไปก็ได้ ชาวคณะหนังสือพิมพ์คณะนั้น มาจากหนังสือพิมพ์หลายฉบับด้วยกัน รวมแล้วก็ห้า-หกฉบับเห็นจะได้ ผมจำไม่ได้ว่าชื่ออะไรกันมั่ง และมาจากหนังสือพิมพ์อะไรมั่ง จำได้เพียงสอง-สามคน คือจากหนังสือพิมพ์เดลิเมย์ คือ คุณสนิท เอกชัย คนหนึ่ง จากหนังสือพิมพ์เกียรติศักดิ์ คือ คุณสละ ลิขิตคุณ คนหนึ่ง คนอื่น ๆ จำไม่ได้ ชาวคณะนี้พยายามที่จะขึ้นไปพบท่านอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและอธิบดีกรมตำรวจให้ได้ เขาสอบถามไปทางสถานทูต ก็ได้รับทราบว่า ท่านอยู่ที่ตึกชื่อ เมซอง รัวยาล ริมถนนเลียบทะเลสาบ เขาก็ออกหากันจนพบว่าตึกนั้นอยู่ตรงไหน แต่เขาหาทางขึ้นไม่ได้ และไม่ทราบว่าอยู่ชั้นไหน เขาก็ไปถามคนดูแลตึกที่มีที่อยู่ชั้นใต้ดินของตึกนั้น หญิงมีอายุที่เป็นคนเฝ้าตึกก็โทรศัพท์ขึ้นไปบอกท่านว่า มีคนหลายคนจะขึ้นไปหา จะว่ายังไง เจ้านายได้ฟังก็ไม่ว่ายังไง ต่อโทรศัพท์ไปหาผมที่บ้านริมทะเลทันที เรียกผมให้เข้าไปแก้ไขสถานการณ์เดี๋ยวนั้น ผมเรียกแท็กซี่ให้มารับออกจากบ้านไป การเรียกแท็กซี่ที่นี่ไม่ยุ่งยาก เขามีหมายเลขโทรศัพท์ของแท็กซี่ให้ตามบ้านอยู่แล้ว เรียกคันที่อยู่ใกล้บ้านมารับได้เสมอ บริเวณหน้าตึกริมทะเลสาบ มีร้านอาหารตั้งอยู่ที่ริมทะเลสาบ เป็นร้านอาหารขนาดเล็ก ๆ เรียงรายกันอยู่เป็นแถว เมื่อมาถึง ผมเห็นมีคนไทยนั่งกันอยู่ที่โต๊ะหนึ่ง ก็พอเดาออกว่าคงจะใช่ ผมก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง เข้าไปนั่งที่โต๊ะที่ว่าง สั่งอาหารออกไปเป็นภาษาฝรั่งเศส คนหนึ่งที่โต๊ะนั้นจำผมได้ เขาลุกขึ้นมาหาผม เข้ามาทักทาย คนนั้นคือ คุณสนิท เอกชัย เขารู้จักผมดี เพราะเคยติดต่อกันมาสมัยที่ผมคุมหนังสือพิมพ์ชาวไทยอยู่ เขาเข้ามานั่งแล้วถามว่า เขาอยากจะพบสัมภาษณ์ท่าน จะทำยังไงดี ติดต่อแล้วก็ไม่รู้เรื่อง ผมก็ถามว่า เขาจะยังอยู่อีกกี่วัน เขาว่าเขาก็ต้องอยู่จนกว่าจะได้เข้าพบ ผมว่า ถ้ายังงั้นพรุ่งนี้ไปพบผมก่อนดีกว่า ผมก็ให้ที่อยู่ผมไป และบอกว่า พรุ่งนี้สักสี่โมงเช้า ให้เขาไปพบผมตามตำบลบ้านที่เขียนไว้ให้นี้ เรียกแท็กซี่ให้ไปส่งก็ได้ แต่อย่าไปกันหลายคนนัก สักสองคนกำลังดี ให้ตกลงกันเองว่า ใครจะไป รู้เรื่องกันแล้วผมก็เรียกแท็กซี่กลับบ้าน ถึงบ้านผมก็โทรศัพท์รายงานท่านว่า ผมนัดพวกนั้นเขาพรุ่งนี้ที่บ้าน มีอะไรที่จะสั่งผมอีก ก็ได้รับคำตอบว่า
มึงว่าไปเอง แล้วแต่มึง วันรุ่งขึ้น คณะหนังสือพิมพ์ก็ยกขบวนกันไปหาผม เขาไม่ได้ไปเพียงสอง-สามคนอย่างที่ผมขอ เขายกขบวนกันไปทั้งหมดทั้งคณะ จนที่นั่งในห้องรับแขกของผมไม่มีพอให้นั่ง ก็ต้องแยกกันนั่งที่โต๊ะกินข้าวบ้าง ตามแต่ใครจะเลือก เขาว่าเขาตกลงกันไม่ได้ว่า ใครจะอยู่ ใครจะมา ต่างคนก็อยากจะพบเหมือน ๆ กัน เพื่อเอาข่าวไปให้หนังสือพิมพ์ต้นสังกัด เขาพากันถามผมว่า ทำยังไงเขาจึงจะได้พบท่านอธิบดี จุดมุ่งหมายของพวกเขาที่เดินทางมาที่นี่ ก็เพื่อจะขอพบท่าน และบางทีพวกเขาอาจจะเขียนข่าว หรือเขียนบทความสัมภาษณ์ที่เป็นประโยชน์กับท่านก็ได้ ควรจะถือเป็นโอกาสที่จะได้พูดให้ประชาชนทางเมืองไทยได้ทราบว่า อะไรเป็นอะไร เพื่อได้ให้ประชาชนทั่ว ๆ ไป ได้รับรู้ และมีโอกาสที่จะได้โต้ตอบคณะปฏิวัติไปด้วย ควรจะถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ระบายความในใจให้รู้ทั่ว ๆ กัน ตอบโต้คณะปฏิวัติไปในตัว ก็เข้าใจพูดเกลี้ยกล่อมดี ผมตอบเขาไปว่า พวกคุณมากันที่นี่ไม่ได้ตั้งใจมั้ง ไม่ใช่หลบมาฟังเหตุการณ์ก่อนที่จะเข้าเมืองไทยหรอกหรือ ไปเมืองจีนมา ได้ข่าวว่าทางเมืองไทยเขาจะจับเอา ถ้ากลับเข้าไปตอนนี้ พวกเขามาตอบคำถามผม นั่งมองหน้ากัน ผมก็พูดต่อ เอาเหอะ ไหน ๆ ก็มาถึงนี่แล้ว อยากรู้อะไรก็ถามมา ผมจะตอบเอง
คนหนึ่งถามขึ้นว่า ทำไมท่านอธิบดีเผ่า ฯ ถึงไม่ให้พวกผมเข้าพบ คงไม่อยากพบมั้ง ผมตอบไป ทำไมล่ะครับ เขาพูดต่อ จะได้พูดอะไรออกมา ไอ้ที่มันอยู่ในใจ ให้เขาทำเอาข้างเดียวยังงี้ ไม่อยากระบายอะไรออกมามั่งหรือครับ ถ้าจะระบายก็คงระบายตั้งแต่อยู่เมืองไทยแล้ว มาระบายที่นี่มันได้ประโยชน์อะไร แล้วก็พวกคุณจะกล้าตีพิมพ์คำพูดของท่านออกไปตรง ๆ หรือ เขานิ่งไปอีก ทางเมืองไทยเป็นยังไงบ้างครับ ผมถาม มีการจับใครต่อใครมั่งไหมครับ ไม่เห็นมี คนหนึ่งตอบ พวกคุณนี่ ตอนออกไปเมืองจีน หลบออกไปหรือครับ ผมถาม ไม่ได้หลบ พวกผมก็ขอหนังสือเดินทางออกไปกันเหมือนคนธรรมดา พวกคุณไปยุโรปก่อนไม่ใช่หรือครับ แล้วถึงเดินทางเข้าไปเมืองจีน พอดี ตอนนั้นพวกผมอยู่ที่อังกฤษ ทูตเมืองจีนที่นั่นเขาเชิญไป ก็ปรึกษากันว่า ควรไป ก็ไปกัน ไม่ต้องมีวีซ่าหรือครับ เพราะในหนังสือเดินทางคงจะไม่มีระบุประเทศจีนไว้ เรายังไม่มีการติดต่อทางการทูตกับจีนแดงนี่ครับ เขารับรองเรื่องนี้ เขาจะจัดการให้ ถ้าเราตกลงจะเดินทางเข้าไป ผมหัวเราะ เขาคงจะได้ติดต่อกับใครคนหนึ่งในพวกคุณเงียบ ๆ ก่อนหน้าแล้วมั้ง เขาหันเหลียวมองหน้ากัน แล้วคนหนึ่งก็พูดว่า ไม่มีหรอกครับ อ้าว แล้วใครเป็นคนออกความคิดที่จะไปล่ะ เขามองหน้ากันไปมาอีก แล้วคนหนึ่งก็พูดว่า นี่ท่านรองเป็นฝ่ายสัมภาษณ์พวกผมนี่ครับ ผมยังไม่ได้ถามอะไรเลย ไม่รู้ราสัมภาษณ์ใครกันแน่ แล้วเขาก็หัวเราะพร้อม ๆ กัน ตอนนี้ท่านอธิบดีคิดจะทำอะไรอยู่ที่นี่ครับ พวกเขาคนหนึ่งถาม ยังไม่ได้คิด ผมตอบ คิดอยากกลับเมืองไทยไหมครับ ไม่รู้ซิ ผมตอบ น่าจะให้ความคิดอะไรกับพวกผมบ้าง ถูกบีบบังคับอะไรบ้างครับ ที่ต้องออกจากเมืองไทย ไม่มีอะไรบีบ ตอนออกมาก็ออกมาสบาย ๆ ไม่มีอะไรมาบีบตรงไหน เขามองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามต่อ ผมหมายถึงการบีบบังคับทางการเมือง หรือจากท่านจอมพล สฤษดิ์ นะครับ ท่านจอมพลสฤษดิ์ ฯ ก็ไม่ได้บีบตรงไหนเหมือนกัน ทีนี้พวกเขามองหน้ากัน แล้วก็หันมามองผม ยังหาคำพูดไม่เจอ
ผมหันไปมองที่นาฬิกาข้างฝา มันบอกเวลาใกล้เที่ยงเข้าไปแล้ว เด็กคนใช้ก็ยกอาหารกลางวันยกมาตั้งโต๊ะ เพราะถึงเวลาอาหารแล้ว พวกเขานั่งมองดูอาหารที่ค่อย ๆ ถูกยกมาตั้งบนโต๊ะอาหารทีละอย่าง แล้วหยิบแก้วน้ำตรง หน้า ขึ้นมาดื่ม
ผมเดินไปที่โทรศัพท์ ยกหูขึ้นเรียกแท็กซี่มาสองคัน พวกเขามีกันเจ็ดคน ต้องใช้รถสองคัน พวกเขามองหน้าผม เมื่อผมกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม
ครู่เดียว รถแท็กซี่ก็เข้ามาในบ้านสองคันตามที่เรียกไป ที่บ้านผมนี่ พวกแท็กซี่คุ้นเคยกันดี เขาเคยเข้ามารับบ่อย ๆ เด็กรับใช้มาบอกว่า รถมาแล้ว
ผมก็บอกพวกหนังสือพิมพ์ที่ยังนั่งมองผมอยู่เฉย
รถมาแล้วครับ เชิญครับ
ผมลุกขึ้น พวกเขาก็ค่อย ๆ ลุกตาม ผมเดินนำหน้าออกไปที่หน้าบ้าน เปิดประตูให้เขาค่อยๆ เดินออกไปที่รถแท็กซี่ที่จอดคอยอยู่ที่ถนนในบ้าน ที่หน้าประตูทางออก เขาเดินขึ้นรถโดยไม่ได้หันมาลาผมสักคน ถ้าพวกเขาเอ่ยปากลาตอนที่เขาเห็นคนใช้ยกอาหารมาตั้งนั่น ผมก็จะเชิญพวกเขากินข้าวกลวงวันด้วยกัน
โดยมารยาทของแขกแล้ว เขาควรจะลาเมื่อเห็นอาหารออกมาตั้ง เมื่อเขาขาดมารยาท ผมก็ไม่มีมารยาทตอบ ไล่ทางอ้อมเลย พวกเขาออกจากบ้านมานาน ก็คงอยากอาหารไทยเหมือนกัน ยิ่งได้กลิ่นโชยเข้าจมูกด้วย ก็ต้องกลืนน้ำลายลูกกระเดือกเต้น
ถ้าเขาเพียงแต่ละลุกขึ้นบอกลา ด้วยมารยาทว่า ถึงเวลาอาหารของเราแล้ว ต้องขอลาก่อน ผมก็ต้องเชิญพวกเขาร่วมวงอาหารด้วยตามอัธยาศัยไมตรี แต่นี่เล่นนั่งเฉย จะให้เราเชิญมันก็เกินไปหน่อย ผมก็ต้องเล่นลูกไล่ทางอ้อม เพราะหมั่นไส้ เมื่อพวกเขากลับเข้าเมืองไทยได้แล้ว ผมก็โดนเขียนด่าในหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งซึ่งเป็นของคนหนึ่งในพวกเขา เขาเขียนว่าผมไม่มีมารยาท แขกไปถึงบ้าน ถึงเวลาอาหารแล้วยังไม่เชิญแขก ตามควรแก่มารยาทแบบไทย ๆ ยังงี้ก็มี ... หนังสือพิมพ์ฉบับนั้น ทางเมืองไทยส่งมาให้ผมอ่าน ผมก็เอาไปให้ท่านอ่าน เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่ามันเป็นยังไงในวันนั้น ผมรู้จักสนิทสนมกับหนังสือพิมพ์หลายคน ที่เป็นเพื่อนกันก็มี ผมเองก็เขียนหนังสือส่งจากเจนีวามาเมืองไทย ลงพิมพ์ในหนังสือทั้งรายสัปดาห์และรายวัน คุณมานิต ศรีสาคร ตอนนั้นเป็นบรรณาธิการหนังสือรายสัปดาห์เดลิเมย์วันจันทร์ ก็ยังช่วยเอาเรื่องของผมลงตีพิมพ์ให้ แล้วส่งค่าเรื่องไปให้ผม ก็พอมีรายได้ไม่เลว
อีกคนหนึ่งก็ คุณแถมสิน รัตนพันธุ์ ก็ไปเยี่ยมเยียนถึงเจนีวา ถามทุกข์สุขกัน เอานวนิยายที่ผมเขียนอยู่ยามว่างมาลงให้
แล้วก็ยังมี คุณสนิท เอกชัย ที่ร่วมไปกับคณะหนังสือพิมพ์ ที่โดนไล่ไม่ให้กินข้าวด้วยในวันนั้น แกก็ยังเขียนถึงผมอย่างดี ไม่เขียนด่าอย่างนายนักเขียนคนนั้น ก็คงจะรู้เหมือนกันถึงเรื่องมารยาทของพวกเดียวกัน
Create Date : 18 เมษายน 2553 |
Last Update : 18 เมษายน 2553 20:20:52 น. |
|
2 comments
|
Counter : 1215 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ก้นกะลา วันที่: 19 เมษายน 2553 เวลา:2:34:40 น. |
|
|
|
โดย: บักบุญเถิง IP: 180.8.5.227, 203.146.217.35 วันที่: 19 เมษายน 2553 เวลา:12:43:35 น. |
|
|
|
| |
ไล่ทางอ้อม หุหุ