13 ปีกับบุรุษเหล็กแห่งเอเชีย (ตอนที่ 1 )
โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ
ตอนที่ 1
กลางเดือนสิงหาคม ๒๔๘๙ สงครามมหาเอเชียบูรพาที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี ๒๔๘๔ กำลังยุติลงใหม่ ๆ
ตอนนั้นผมยังเป็น ร้อยตำรวจโท อยู่ที่สถานีตำรวจชนะสงคราม และกำลังเป็นคนหนึ่งของขบวนการเสรีไทยที่รบใต้ดินกับญี่ปุ่นมหามิตร ผู้ก่อสงครามกับฝ่ายพันธมิตร
สำหรับผู้ที่เกิดไม่ทันสงครามครั้งนั้นอาจจะไม่รู้จักคำว่า เสรีไทย และไม่เข้าใจว่า ทำไปจึงมีการรบใต้ดินกับมหามิตรญี่ปุ่น ผมก็อยากจะให้ไปถามเอากับท่านผู้รู้ เพราะเรื่องที่เกี่ยวกับเสรีไทยนี้นั้นมีมากมาย จะไม่เล่าในที่นี้ การที่ต้องกล่าวถึง เสรีไทย ก็เพราะหัวหน้าใหญ่ของขบวนการนี้ ท่านปรีดี พนมยงค์ เป็นหนึ่งที่มีส่วนสำคัญในการผลักดันชีวิตของผมเข้าไปในเสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่ผมกำลังจะเขียนถึงอยู่นี้ สงครามครั้งนั้นนำความบอบช้ำมาให้ประเทศไทยอย่างสาหัส เมื่อสงครามเลิก ทุพภิกขภัย ก็ตามมา ความอดอยากของผู้คน และการกระทบกระเทือนทางเศรษฐกิจ ผสมกับทหารต่างด้าวเข้ามาปลดอาวุธกองญี่ปุ่น เข้ามาช่วยแย่งอาหารคนไทยเข้าไปอีก ผู้คนหากินในการใช้กำลัง โจรผู้ร้ายเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด รัฐบาลต้องวุ่นวายกับการปราบปรามอย่างหนัก
กรมตำรวจได้ตั้งหน่วยกองตรวจขึ้นเป็นพิเศษสำหรับการนี้ ให้ชื่อว่า กองตำรวจนครบาล โดยมีหัวหน้าชื่อ ร้อยตำรวจเอก เยื้อน ประภาวัต นายตำรวจมือปราบชั้นหนึ่งของนครบาลขณะนั้น
ผมถูกเรียกจากสถานีตำรวจชนะสงครามไปอยู่หน่วยนี้กับเขาด้วยคนหนึ่ง
การทำงานของตำรวจหน่วยนี้เป็นไปอย่างสุดเหวี่ยง และใช้มาตรการเด็ดขาดกับพวกโจรผู้ร้ายอย่างไม่ปรานี เพราะผู้บังคับบัญชาชั้นสูงให้การสนับสนุน การปฏิบัติการจึงดำเนินไปสู่เป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โจรผู้ร้ายในเมืองหลวงสงบราบคาบลงภายในเวลาไม่ถึงปี สุจริตชนได้ทำมาหากินกันอย่างไม่ต้องเกรงกลัวภัยในครั้งนั้น
ได้มีผู้กล่าวชมเชยการทำงานของตำรวจหน่วยนี้ในรัฐสภา ให้รัฐบาลปูมบำเหน็จรางวัลแก่ตำรวจหน่วยนี้ให้สมกับความเหนื่อยยาก ผู้พูดเป็นสมาชิกรัฐสภาคนหนึ่ง รัฐบาลเห็นด้วย แต่ยังจนอยู่ ตำรวจหน่วยนี้จึงได้เหรียญตรากันทั่วหน้าเป็นบำเหน็จ เงินติดเอาไว้ก่อน
งานทางด้านปราบปรามสำเร็จลุล่วงไปแล้ว ตำรวจหน่วยนี้ก็ยังคงอยู่เป็นกำลังอันสำคัญของรัฐบาลในสมัยนั้นไป อาวุธดี ๆ ที่อเมริกันให้ไว้ในการทำสงครามใต้ดินอยู่ในกำมือของตำรวจหน่วยนี้เป็นส่วนมาก เพราะกำลังส่วนใหญ่ของหน่วยนี้คือ หน่วยเสรีไทย ในสมัยสงครามมาแล้วทั้งนั้น ทั้งนายและพล ก็เรียกว่าเป็นหน่วยกำลังของท่านปรีดี ขณะนั้นหน่วยหนึ่ง ที่ค่อนข้างจะสำคัญ
อยู่ ๆ ไปก็ต้องเติบโตกันบ้าง ผมจึงต้องจากเพื่อนฝูงไปกินตำแหน่งสารวัตร เพราะในกองตรวจ ตำแหน่งสารวัตรมีไม่พอให้กินได้ทั่วหน้ากัน อยากใหญ่ก่อนก็ต้องออกไปหากินที่อื่น ผมไปเป็นสารวัตรท้องที่แรกคือ สถานีตำรวจภาษีเจริญ ด้วยยศร้อยตำรวจโทเต็มขั้น โก้อยู่หรอก
ภาษีเจริญตอนนั้นอยู่นอกเขตเทศบาล เรียกว่า อำเภอชั้นนอก การสอบสวนขึ้นอยู่กับอำเภอ งานของผมจึงไม่ค่อยจะมีเท่าไร เป็นสารวัตรอยู่ที่นั่นได้สามเดือน ก็ถูกเรียกเข้ามาเป็นสารวัตรแผนก ๑ กองสอบสวนกลาง ซึ่งขณะนั้นเป็นเพียงกองบังคับการ
แผนกของผมอยู่ในกองกำกับการ ๑ ซึ่งมีอำนาจการสอบสวนและสืบสวนทั่วประเทศ การที่ผมต้องไปอยู่ที่นั่นก็เพราะสารวัตรคนเก่าจะต้องไปเป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีมหาดไทย ตามวิถีทางการเมืองเขาต้องการให้ผมไปแทนที่เขา ผมเรียกเขาว่า พี่เชื้อ
พี่เชื้อคนนี้เองที่ดึงผมไปเป็นเสรีไทย ให้ผมไปอยู่กองตรวจ ให้ผมไปกินตำแหน่งสารวัตรที่ภาษีเจริญ แล้วก็ให้ผมมาสวมตำแหน่งของเขาที่สอบสวนกลาง
ทำไมพี่เชื้อจึงเป็นเจ้ากี้เจ้าการทำอะไรกับผมได้ ก็เพราะพี่เชื้อเป็นก้นกุฏิของท่านปรีดี ขนาดเข้านอกออกในได้ทุกเมื่อ ชื่อเต็ม ๆ ของเขาคือ ร้อยตำรวจเอก เชื้อ สุวรรณศร
การเมืองมาเกาะผมเข้าแล้ว ตั้งแต่นั้น
ผมอยู่สอบสวนกลางจนถึงเข้าปลายตุลาคม ๒๔๙๐ ก็โยกย้ายเข้าไปอยู่กองตำรวจสันติบาลกอง ๒ กองการเมือง ตอนนั้นเป็นร้อยตำรวจเอกแล้ว
ตอนที่ผมอยู่สันติบาลนี่เอง ที่เค้ารัฐประหารกำลังก่อตัวขึ้นลาง ๆ
สาเหตุร้อยแปดที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติมีอยู่ในขณะนั้น และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเหตุการณ์ทางการเมืองเอื้อ อำนวย ข่าวทางด้านสันติบาลที่ผมมีหน้าที่อยู่ก็ออกมาอย่างนั้น
แล้วจู่ ๆ ผมก็ถูกชวนให้ร่วมรัฐประหาร
ญาติผู้ใหญ่ของผมท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่อยู่ในขณะนั้น เรียกตัวผมไปพบในระหว่างวันที่ข่าวปฏิวัติกำลังกรุ่น ๆ อยู่ทั่วไป ท่านบอกกับผมว่า มีคณะบุคคลคณะหนึ่งกำลังคิดการปฏิวัติ เพราะทนต่อความเหลวแหลกทางการเมืองไม่ไหว ท่านก็ร่วมคิดการกับเขาด้วย ในฐานะที่ผมเป็นหลานที่ใกล้ชิดก็อยากจะให้มาร่วมด้วย ผมจะเอาด้วยหรือไม่
ผมไม่ได้ให้คำตอบกับท่านในวันนั้น ขอไปคิดดูก่อนสักสองสามวัน ท่านไม่ว่ากระไร แต่เตือนให้คิดเร็ว ๆ หน่อย
เป็นคุณ คุณจะทำอย่างไร ?
คุณเป็นตำรวจสันติบาล มีหน้าที่สอบสวนเรื่องการเมืองโดยเฉพาะ คุณกำลังแกะรอยของข่าวการปฏิวัติอยู่ และคุณก็เป็นพวกของรัฐบาลอย่างเต็มตัว มีเพื่อนรุ่นพี่ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของคณะรัฐบาลสนับสนุนอยู่ในทางราชการตำแหน่งหน้าที่ขณะนั้น ในขณะที่คุณกำลังแกะรอยข่าวเพื่อที่จะรายงานและหาทางป้องกันระงับการก่อเหตุอยู่นั้น คุณก็ถูกคณะที่จะทำการปฏิวัติมาชวนเอาตรง ๆ ให้ร่วมมือกับเขา ผู้ที่มาชวนผม รู้อยู่ว่าผมอยู่สันติบาลและมีหน้าที่เรื่องทางการเมืองนี้โดยเฉพาะ
ผู้ที่มาชวนผมก็จะต้องมีความไว้วางใจผมอย่างขนาดหนัก หรือมิฉะนั้นก็อาจมาชิมลางผมดูก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่ง
เป็นคุณ คุณจะทำอย่างไร ?
ผมคิดเรื่องนี้อยู่หลายวัน เพราะเรื่องอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องจะมาพูดกันเล่น ๆ คุณหลวงธำรง ฯ ท่านนายก ฯ ขณะนั้นก็ได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ท้าอยู่เหย็ง ๆ เชิญให้ปฏิวัติ บอกว่ากำลังนอนรออยู่ทุกวัน เมื่อไรก็ได้ ท่านจะท้าด้วยความมั่นใจ หรือไม่เชื่อว่าจะมีใครกล้าทำก็ไม่ทราบ ในที่สุด ผมก็ตัดสินใจได้
ผมไปพบพี่เชื้อที่กระทรวง เล่าเรื่องที่ผมถูกชวนให้ร่วมขบวนการปฏิวัติให้ฟัง แต่ผมไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนชวนผม บอกแต่ว่าเป็นผู้ที่เชื่อถือได้ และว่าข่าวที่ได้มาไม่แน่นั้น มันแน่เสียแล้ว จะทำยังไงกันดี พี่เชื้อก็คิดหนักเหมือนกันเมื่อได้ฟังผมเล่า ตกลงใจอะไรไม่ได้ พี่เชื้อก็ให้ผมไปพบท่านปรีดีเองจะดีกว่า
ที่เรือนท่าน้ำที่ทำเนียบท่าช้าง ผมได้พบกับท่านปรีดีในตอนหัวค่ำวันนั้นเอง แล้วผมก็เล่าเรื่องที่ถูกชวนให้ร่วมในการปฏิวัติให้ท่านทราบ
ท่านปรีดีพยายามจะซักผมถึงตัวบุคคลที่มาชวนผม ผมไม่ยอมบอกว่าเป็นใคร ผมยืนยันแต่เพียงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง และเขาเอาจริง
คุณจะตอบเขาไปว่ายังไง ท่านปรีดีถามผม
ผมยังไม่ได้ตอบอะไรไป เพียงแต่ขอคิดดูก่อน ผมตอบท่าน
อากัปกิริยาของท่านปรีดีขณะนั้นดูท่านไม่ค่อยจะมีกังวลอะไรกับข่าวที่ผมนำมาบอก อาจไม่เชื่อก็เป็นได้ ท่านถามขึ้นอีกว่า
คุณคิดจะเอากับเขาด้วยไหมล่ะ
ถ้าผมคิดจะเอากับเขา ผมก็คงไม่ให้พี่เชื้อพามาพบท่าน ผมตอบไป
ท่านปรีดีนิ่งไปชั่วขณะแล้วจึงพูดว่า
ขอบใจละคุณพุฒ แล้วผมจะบอกเชื้อเขาไปว่า จะเอายังไงกัน
เท่านั้น ผมก็ลาท่านกลับ พี่เชื้อไม่ได้ออกความเห็นอะไรกับผมในเรื่องนี้อีกเลย
ต่อจากนั้นมา ข่าวมันก็หนาหูขึ้นทุกที และสถานการณ์ของบ้านเมืองตามความรู้สึกของผม ในฐานะตำรวจสันติบาลคนหนึ่ง ก็เห็นว่ารัฐบาลท่าจะไปไม่รอด
วันหนึ่ง พี่เชื้อก็ประชุมพวกเราทั้งหมด และบอกแผนการให้ทราบทั่วกันว่า ถ้ามีเรื่องเกิดขึ้น ก็ให้พวกเราทุกคน พร้อมด้วยอาวุธครบมือ ไปรวมกำลังกันที่บริเวณเมรุวัดเทพศิรินทร์เพื่อฟังคำสั่งต่อไป และให้สัญญาณอันเดียวกันกับที่เคยใช้เมื่อทำงานเสรีไทย
ที่กำหนดเช่นนั้นก็เพราะตอนนั้น ที่ทำการของกองตรวจตำรวจนครบาล ซึ่งตั้งขึ้นใหม่อยู่ที่บนชั้นสี่ของสถานีตำรวจนครบาลกลาง โดยเอาสถานีตำรวจนครบาลป้อมปราบ ฯ กับสามแยกมารวมกันเข้า เรียกว่า สถานีตำรวจนครบาล ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีตำรวจนครบาลพลับพลาชัยเดี๋ยวนี้ จุดนั้นอยู่ไม่ไกลจากวัดเทพศิรินทร์
Create Date : 22 เมษายน 2553 |
|
6 comments |
Last Update : 22 เมษายน 2553 4:03:39 น. |
Counter : 5393 Pageviews. |
|
|
|
ดีใจและขอบคุณมากๆครับ
ได้ข้อคิดและที่มาที่ไปในสมัยนั้นเป็นอย่างดีครับ