จงให้ความสำคัญต่อสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าสิ่งที่ถูกใจ
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
22 มีนาคม 2553
 
All Blogs
 
ชัยชนะและความพ่ายแพ้ของ "บุรุษเหล็กแห่งเอเชีย" (ตอนที่ 48)

โดย พ.ต.อ. พุฒ บูรณสมภพ

ตอนที่ 48

วงเวียนที่หาทางออกไม่ได้

ผมทิ้งท้ายเรื่องกรมตำรวจวางแผนออกหนังสือแมกกาซีนรายเดือน ก็เพื่อที่จะท้าวความกลับไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ที่มีความเกี่ยวพันกับการออกหนังสือพิมพ์รายเดือนนี้อยู่

เรื่องการเมืองนี้เป็นวงเวียนที่ใครหลงเข้าไปแล้ว หาทางออกยาก ยิ่งดิ้นมันก็ยิ่งพันตัวหนักเข้า จนต้องหลงวนเวียนอยู่ในวงนั้น ไอ้ที่คิดว่าจะเป็นทางออก กลับเป็นทางวนไปสู่จุดเริ่มต้นใหม่ มันเป็นอย่างนี้
จริง ๆ

เหตุการณ์ฆาตกรรมทางการเมือง ในยุคที่กรมตำรวจมีอธิบดีชื่อ พลตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ นั้น มันเป็นวงเวียนอันกว้างใหญ่วงหนึ่งที่หาทางออกไม่ได้ บางเรื่องมันเกิดขึ้นโดยที่ท่านอธิบดีไม่ได้รู้เรื่องราวอะไรมาก่อน และไม่ได้อยู่ในความรับรู้ก็มี มันเกิดขึ้นจากน้ำมือของบริวารบางคนที่ลุแก่อำนาจ กระทำการลงไปโดยหลงผิด ผลกระทบนั้นก็ต้องมาถึงตัวท่านอธิบดี ใคร ๆ ก็ย่อมไม่เชื่อว่าท่านจะไม่ทราบ และต้องอยู่เบื้องหลัง ผมต้องขอโทษที่จะไม่เอ่ยชื่อเขาในที่นี้

สมัยนั้น มีธนาคารใหญ่แห่งหนึ่งถูกบุคคลที่มีตำแหน่งสำคัญในธนาคารนั้นฉ้อโกงไปหลายล้านบาท โดยที่เอาผิดกับบุคคลผู้ฉ้อโกงนั้นไม่ได้ เพราะเป็นการสั่งการที่อยู่ในอำนาจของบุคคลผู้นั้น จะทำได้ทีละเล็กทีละน้อยจนเป็นเงินก้อนใหญ่ และธนาคารจะต้องรักษาชื่อเสียงของธนาคารไว้ ไม่ให้เป็นที่เสื่อมเสีย อันจะทำให้ลูกค้าและผู้มีบัญชีเงินฝากเกิดความไม่เชื่อถือ ผู้ยิ่งใหญ่ของธนาคารนั้นจึงแอบเอาความนี้มาปรึกษากับบุคคลที่ใกล้ชิดกับท่านอธิบดีคนหนึ่ง ให้ช่วยจัดการล้างความแค้นให้ที จะด้วยวิธีใดก็ได้

ความแค้นของผู้ใหญ่ในธนาคารนี้ ได้รับการตอบสนองจากบุคคลผู้นั้น แล้วเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นอย่างไม่เกรงกลัวต่อตัวบทกฎหมายบ้านเมือง บุคคลผู้ฉ้อโกงนั้นถูกประหารด้วยน้ำมือของบริวารผู้ใกล้ชิดกับท่านอธิบดีคนนั้น ผมจะสมมุติชื่อของบุคคลผู้ถูกประหารนั้นว่า นาย ค. เขามีเชื้อจีน

นาย ค. ถูกบริวารของผู้ใกล้ชิดกับท่านอธิบดีคนนั้นนำตัวออกจากบ้านไปต่อหน้าญาติพี่น้องของนาย ค. เวลากลางวันแสก ๆ บอกว่าจะเอาตัวไปสอบสวน เพราะทางธนาคารได้มาแจ้งความไว้เรื่องฉ้อโกงรายนั้น

ตัวนาย ค. เองก็ไม่ได้สะทกสะท้านกับการถูกจับกุมครั้งนั้น เพราะเขามีความมั่นใจว่าไม่มีอะไรเป็นหลักฐานมัดตัวเขาได้ เขาบอกญาติพี่น้องว่าไม่ต้องกังวล เขาจะไปให้สอบสวนแล้วจะกลับมา

นาย ค. ไม่ได้กลับบ้านอีกเลย รุ่งเช้า มีคนพบศพของเขานอกคว่ำอยู่ในคูแถว ๆ มักกะสัน มีรอยกระสุนปืนเจาะที่หน้าผากหนึ่งนัด และตามลำตัวอีกสองสามนัด ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้

หนังสือพิมพ์ประโคมข่าวนี้กันครึกโครม โดยเฉพาะ หนังสือพิมพ์ สารเสรี และ ไทยรายวัน เล่นพาดหัวข่าวตัวใหญ่ มีเนื้อข่าวละเอียด ระบุว่า ก่อนหน้าที่นาย ค. จะมาเป็นศพอยู่ในคูนั้น มีผู้พบเห็นนาย ค. ไปนั่งกินอาหารอยู่กับนายตำรวจกลุ่มใหญ่ที่ร้านอาหารแถวมักกะสัน ตอนเย็นก่อนวันพบศพวันเดียว คนที่เห็นนั้น บังเอิญเป็นคนที่รู้จักกับตำรวจคนหนึ่งในกลุ่มที่ร่วมวงนั้น และเขาก็รู้จักนาย ค. ด้วย บุคคลผู้นั้นได้ไปให้ข่าวกับหนังสือพิมพ์ ไทยรายวัน ซึ่งมี คุณ ลมูล อติพยัดฆ์ เป็นบรรณาธิการ ไทยรายวัน เล่นข่าวนี้สนุก ระบุด้วยว่าตำรวจที่เขารู้จักนั้น ชื่อ พลตำรวจสนิท ใจแคบ และระบุด้วยว่าเป็นคนของใคร เพียงแต่ไม่ยอมออกชื่อคนที่เป็นนายของพล ฯ สนิท ออกมาตรง ๆ เท่านั้น

เรื่องนี้เป็นที่โจษจันกันมากในวงการเมือง เจ้านายเรียกผมเข้าพบทันทีที่ข่าวเรื่องนี้ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์

หนังสือพิมพ์ ชาวไทยรายวัน ไม่มีการแก้ข่าวเรื่องนี้ ใคร ๆ ก็ต้องถือว่าท่านอธิบดีเผ่า ฯ ต้องรู้เห็นเรื่องนี้แน่ เพราะตามคำพยานที่เห็นการนำตัวนาย ค. ไปเลี้ยงข้าวก่อนที่จะเป็นศพนั้น ระบุด้วยว่า พล ฯ สนิท เป็นตำรวจในบังคับบัญชาของผู้ใกล้ชิดกับท่านอธิบดีคนนั้น

“ ไอ้ ... (ที่จุด ๆ ไว้นั้นเป็นชื่อของผู้ใกล้ชิดกับท่านที่เป็นเจ้านายของพล ฯ สนิท)... เล่นกูอีกแล้ว มึงอ่านหนังสือ พิมพ์หรือยัง ” เจ้านายระเบิดเสียงกับผมทันทีที่พบกัน

ผมตอบว่าอ่านแล้ว

“ มึงรู้สึกยังไง ” ท่านถามต่อ
“ ผมก็รู้สึกว่า ท่านก็ต้องเดือดร้อนอีกแน่ ๆ ” ผมตอบไปแค่นั้น

ท่านส่ายหัวไปมาช้า ๆ พูดแบบรำพึงออกมา
“ มันทำอะไรของมันเหมือนมันเป็นเจ้าของบ้านเมืองคนเดียว จะทำอะไร มันก็ทำตามใจมัน ไม่นึกว่าเรื่องมันจะต้องมาถึงกู จะเอาคนไปฆ่า – หนอย – มันยังเอาตัวกินข้าวกินปลาให้คนเขาเห็นเสียก่อน มึงก็ไม่พ้น จะคิดแก้ไขยังไง ”

“ ทางฝ่ายสอบสวนเขาว่ายังไงครับ ” ผมถาม
“ ทางฝ่ายสอบสวนเขากำลังรวบรวมหลักฐานอยู่ เขารายงานมาที่กูแล้วเป็นระยะ ถ้าเขามีหลักฐาน เขาก็ต้องเอาตัวไอ้หนิดไปสอบแน่ กูคัดค้านท้วงติงอะไรไม่ได้ ถ้าไปขวางเข้าก็ยิ่งจะหนัก ใคร ๆ ก็ยิ่งคิดว่ากูรู้เรื่อง มึงช่วยกูคิดหน่อย ”

ผมก็ต้องรับเอาไปคิดเดี๋ยวนั้น จะรอเก็บเอาไปคิดที่บ้านไม่ได้ ในชั่วขณะนั้น ผมก็ได้คำตอบเป็นการแก้ไขเหตุการณเฉพาะหน้าไปก่อน

“ ผมว่า เอาตัว ไอ้หนิด ไปไว้ที่หน่วยสันติบาลพิเศษภาคเหนือของผมก่อนก็ได้ รอฟังผลการสอบสวนที่นั่น แล้วค่อย ๆ คิดแก้ไขทีหลัง ”

“ เออ มึงรับเอาไปที กูปวดกระบาล ”

ผมก็ต้องรับเอาเรื่องนี้ไว้อีก ความจริงผมอยากให้เขาจับตัว พลฯ สนิท ไปเสียก็ดี แล้วให้ทางฝ่ายสอบสวนเขาเดินเรื่องไปตามสำนวน ให้มีการจับตัวสำคัญเสียมั่ง แต่มันทำไม่ได้ ไม่ใช่ว่ากลัวอะไร แต่มันเป็นเรื่องของความที่ต้องอยู่ในวงการรับผิดชอบด้วยกัน

ผมมีหน่วยสันติบาลพิเศษของผมอยู่ทั้งทางภาคใต้ และภาคเหนือ

ที่ภาคเหนือ สำนักงานของผมอยู่ที่ลำปาง มีนายตำรวจที่ชำนาญทางภาคเหนือคุมอยู่ เขาชื่อ พันตำรวจโท จิตต์ ลีลายุทธ

ผมก็ต้องเดินทางขึ้นไปตรวจภาคเหนือวันรุ่งขึ้น เอาตัว พล ฯ สนิท ไปด้วย

ผมไปถึงหน่วยสันติบาลภาคเหนือ ก็เอา พล ฯ สนิท เข้าประจำทำงานในหน่วยนี้ ไม่ต้องลงมาที่กรุงเทพ ฯ ให้เขาอยู่ในความบังคับบัญชาของ พันตำรวจโท จิตต์ ลีลายุทธ หัวหน้าหน่วยนี้ พล ฯ สนิท ทำท่าไม่ค่อยจะชอบ

ผมมีหน่วยงานพิเศษของผมอีกในรัฐฉาน ซึ่งเป็นดินแดนของพม่าทางภูมิประเทศ แต่พม่าไม่เคยได้ไปดูแลอะไรนัก เพราะดินแดนนี้อยู่ห่างไกลจากทางการพม่ามาก และการเดินทางไปมาลำบาก ต้องผ่านภูมิประเทศที่เดินทางลำบาก มีทั้งป่าทึบ ภูเขา และห้วยน้ำตลอดทาง พม่าจึงปล่อยให้ดินแดนของตนทางนี้ให้ดูแลกันเอง กองทหารจีนไต้หวันจึงเข้ามาตั้งกองอยู่ในบริเวณนี้เป็นเจ้าเข้าครองโดยสมบูรณ์แบบ มีหน่วยทำงานทางหาข่าวและเตรียมการเข้าประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งอยู่เหนือขึ้นไป มีดินแดนติดต่อกัน

สมัยนั้น ประเทศไทยยังไม่มีสัมพันธไมตรีกับจีนแดง เราคบกับจีนไต้หวัน ทำงานร่วมมือกันในการต่อต้านจีนแดง และเราให้ความร่วมมือกับจีนไต้หวัน ซึ่งเรียกว่า จีนขาว ในการหาข่าวและส้องสุมกำลังเพื่อการบุกขึ้นเหนือเข้าไปยึดครองแผ่นดินใหญ่ต่อไป ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ก็ต้องทำ

ผมมีหน่วยปฏิบัติการพิเศษของผมในดินแดนรัฐฉานนั้น ดินแดนส่วนนั้นมีประชาชนเป็นชาวไทยใหญ่อยู่เป็นจำนวนส่วนใหญ่ เดิมในทางประวัติศาสตร์ก็เป็นดินแดนของคนไทยที่ถอยร่นมาจากจีนนั่นเอง ส่วนหนึ่งลงมาทางใต้มาตั้งถิ่นฐานเป็นประเทศไทยเดี๋ยวนี้ อีกส่วนที่ไม่ยอมเดินทางไกลลงมาตั้งรกรากอยู่ที่ดินแดนนั้น รวมตัวกันเป็นรัฐฉาน เรียกตัวเองว่า “ ไทยใหญ่ ”

หน่วยปฏิบัติการพิเศษของผม ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากชาวไทยใหญ่ และบุคคลของชาวจีนไต้หวัน หลาย ๆ คนเข้ามาทำงานร่วมกับเรา ผมมีหน่วยวิทยุที่ทันสมัยและมีเครื่องมือครบถ้วน ในการทำงาน อเมริกันส่งเครื่องมือและอุปกรณ์ในการทำงานมาให้ตามที่เราต้องการ เราก็แบ่งข่าวให้เขาตามที่เราเห็นควร งานของผมเดินไปอย่างมีประสิทธิภาพ จนหน่วยของเราที่นั่นอยู่กันอย่างสะดวกสบาย มีทหารจีนขาวมาช่วยในการคุ้มภัยให้ด้วย

ผมกะส่ง พล ฯ สนิท ไปอยู่ในหน่วยนี้ จะได้ไปทำงาน ดีกว่าจะอยู่เฉย ๆ เมื่อตั้งหลักได้ ผมก็สั่งให้หัวหน้าหน่วย ฯ ส่งตัว พล ฯ สนิท เข้าไปอยู่ในหน่วยพิเศษที่รัฐฉานนั้น หัวหน้าหน่วยสันติบาลพิเศษภาคเหนือรายงานมาว่า พล ฯ สนิท ไม่ยอมไป เขาว่าที่นั่นลำบาก เขาไม่ไป

ผมต้องไปพบเขาที่หน่วย ฯ เรียกตัวมาพูดว่า เขาต้องไปและให้ออกเดินทางวันรุ่งขึ้น ขบวนการที่จะเดินทางเตรียมพร้อมแล้ว เขาตอบผมว่า เขาไม่น่าจะต้องไปทำงานที่กันดารอย่างนั้น งานที่เขาทำตามคำสั่งให้ไปฆ่า นาย ค. เป็นงานที่ได้รับคำสั่งให้ทำ ทำไมเขาจะต้องไปลำบากในถิ่นกันดารซึ่งไม่มีใครอยากไป

ผมก็พูดกับเขาว่า
“ ลื้อจะไป หรืออยากจะอยู่ก็ได้ ก็เลือกเอา อั๊วให้ลื้อคิดเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าลื้อไป ลื้อก็ได้ทำงานเพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง ถ้าลื้อไม่ยอมไป ลื้อก็ต้องไปอีกที่หนึ่ง คือเชิงตะกอน ”

เขาเลือกเอาทางไปทำงาน อย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก

ผมจัดให้เขาเดินทางร่วมไปกับขบวนการขนส่งสิ่งของและอาหารให้กับหน่วยพิเศษในรัฐฉาน ซึ่งจะออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น ผมต้องจัดส่งกำลังบำรุงให้กับหน่วยที่นั่นทุกระยะ เมื่อเขาวิทยุบอกว่าเขาขาดแคลนอะไร และมีปัญหาอะไร

พล ฯ สนิท ก็ต้องจำใจไปทำงานอยู่นอกดินแดนกับหน่วย ฯ พิเศษของ
ผม อย่างไม่รู้ว่าจะได้กลับเมื่อไร

การทำงานแบบนี้ก็ต้องใช้ความเด็ดขาดอย่างนั้น จะมาให้มีการโต้แย้งไม่ได้ ต้องทำงานตามคำสั่งอย่างเดียว มันเป็นงานที่ไม่ต้องการเหตุผล

ส่งพล ฯ สนิท ออกไปแล้ว ผมก็กลับมานั่งทำงานของผมตามปกติ

ในเมือง หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวกันครึกครื้นเรื่อง พล ฯ สนิท ว่า ได้มีการออกหมายจับแล้ว เพราะตามสำนวนการสอบสวน มีหลักฐานและพยานครบที่จะเอาตัวมาควบคุมส่งฟ้องได้ แต่ปรากฏว่า ตัว พล ฯ สนิท ได้หลบหนีไปแล้ว ออกไปนอกประเทศทางเหนือ สงสัยว่าจะเดินทางเข้าพม่าทางรัฐฉาน

หนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวนี้ครึกโครมก็มี ไทยรายวัน สารเสรี และพิมพ์ไทย

การข่าวของเขาฉับไวไม่เลวเหมือนกัน ได้ข่าวใกล้เคียงความเป็นจริงมาก โดยเฉพาะ ไทยรายวัน นั้น ลงข่าวและมีบทวิจารณ์ได้ถึงลูกถึงคน เขียนด้วยตัวบรรณาธิการเอง คือ คุณ ลมูล อติพยัคฆ์

หนังสือพิมพ์ลงข่าวประโคมกันมาก ๆ เข้า ก็เกิดมีเสียงคนวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา ตำรวจโดนวิจารณ์มากกว่าเพื่อน ว่าเป็นการช่วยเหลือให้ผู้ต้องหาในคดีอันสะเทือนจิตใจของประชาชน หลบหนีไป เขารู้เสียด้วยว่า พล ฯ สนิท หลบหนีขึ้นไปอยู่ที่ไหน และใครเป็นคนเอาตัวหลบหนีไปหนังสือพิมพ์วิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุด หนักเข้าก็สะเทือนถึงรัฐบาล

ผมถูกเรียกตัวเข้าพบที่วังปารุสกวัน

“ ท่านจอมพล ป. สั่งให้กูเอาตัวไอ้หนิดมาให้ได้ ” เจ้านายพูดกับผม
“ หนังสือพิมพ์มันเล่นงานเหลือเกิน มึงสั่งให้มันลงมาเร็ว ๆ เรื่องทางคดีค่อยแก้กันทีหลัง ”

“ มันอยู่ที่นั่นดี ๆ จะเอามันลงมาทำไมครับ ” ทีนี้ผมต้องเถียง

“ มันไม่ดีสำหรับฐานะรัฐบาลนี่ซีโว้ย ” เจ้านายสั่นหัว “ ท่านจอมพลสั่งมา กูก็ต้องทำ หนังสือพิมพ์ของสฤษดิ์มันเล่นงานกูเหลือเกิน มึงไม่ได้อ่านหรือวะ ”

“ เขียนได้ก็เขียนไปซิครับ ” ผมยังโต้แย้ง “ เราเฉยเสีย ดูซิว่าจะเขียนไปได้นานเท่าไหร่ ”

“ เอาเหอะ มึงไปเอาตัวมันกลับมาก็แล้วกัน กูจะเรียกหนังสือพิมพ์มาแถลงข่าว ”

ทีนี้ ผมก็ต้องยอม และงานนี้จะใช้ให้ใครขึ้นไปก็ไม่ได้ ผมก็ต้องไปเองอีก ผมให้ข่าวหนังสือพิมพ์ไปว่า ผมจะไปเอาตัว พล ฯ สนิท มาให้ได้ หนังสือพิมพ์ฉบับไหนอยากจะไปทำข่าวก็ไปกับผมได้ จะได้เห็นว่า ทางตำรวจไม่ได้รู้เห็นเป็นใจกับ พล ฯ สนิท ให้หลบหนี และจะได้สัมภาษณ์ พล ฯ สนิท ทันทีที่เขาเข้ามา

ไม่มีหนังสือพิมพ์ฉบับไหนแสดงความจำนงว่าจะไปกับผม มีอยู่ฉบับเดียวที่ติดต่อว่าจะไปด้วย หนังสือพิมพ์ฉบับนั้น คือ ไทยรายวัน และตัว คุณ ลมูล อติพยัคฆ์ มาพบผมเอง

ผมตกลงให้เขาไปกับผม มีนักหนังสือพิมพ์เพียงคนเดียวที่ไปด้วยกับคณะตำรวจ ผมออกเดินทางโดยเครื่องบินตำรวจไปลงที่ลำปาง พักตั้งหลักอยู่ที่หน่วยสันติบาลพิเศษของผมที่นั่น

เรามีบ้านพักพร้อมอยู่ที่หน่วย ผมวิทยุถึง พล ฯ สนิท ให้เดินทางกลับมาพบผมที่หน่วย ฯ ที่ลำปาง คำตอบที่ผมได้รับก็คือ คำปฏิเสธ เขาวิทยุตอบมาว่า “ ถ้าจะให้เขาลงมา ต้องให้เงินเขาสามแสนบาท ”

ผมเก็บเอาคำตอบนี้ไว้คนเดียว คุณ ลมูล ฯ ที่พักอยู่ด้วยกันก็ตั้งใจสังเกตการณ์ทำงานของผม เขาไม่ได้ทำตัวสนิทกับผมนักในตอนแรก ๆ ความจริงเราก็เพิ่งจะรู้จักกันในวันที่เขามาบอกว่า เขาจะมาด้วยเท่านั้น

ตกเย็นก็มีการตั้งวงกินเหล้ากัน คุณลมูล ฯ ไม่ยอมมาร่วมวงด้วย ยังรักษาทีท่าอยู่อย่างเดิม เขาออกไปหาข้าวกินเอง ไม่ยอมรับเลี้ยงจากทางตำรวจ ผมเลยอยู่มันที่นั่นต่ออีก ที่กะว่าจะเดินทางขึ้นไปแม่สาย เพื่อไปติดต่อกับ พล ฯ สนิท ก็เลยไม่ไป

อยู่ ๆ ไป คุณ ลมูล ฯ ก็ขี้เกียจออกไปหากินข้างนอก ลงนั่งกินข้าวกับเรา แต่ยังไม่ยอมแตะเหล้าในตอนแรก ลงท้ายทนไม่ไหวก็ต้องร่วมวงด้วย ก็คนเคยกินจะมามีความอดทนได้แค่ไหน

เมื่อเข้าวงข้าววงเหล้ากันได้ ความสนิทสนมก็ค่อย ๆ เกิดขึ้น จนนั่งคุยกันได้อย่างเปิดอก ผมก็บอกเขาว่า ที่เอาเขามาด้วยนี่ ก็เพราะอยากพิสูจน์ให้เห็นว่า ทางตำรวจไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยให้ พล ฯ สนิท หลบหนี

ต่อมาอีกไม่กี่วัน หนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย ก็ออกข่าวครึกโครมอีกว่า

“ พล ฯ สนิท ไม่ยอมเข้ามามอบตัว และขอเงินสามแสน ถ้าจะให้เขากลับ ”








Create Date : 22 มีนาคม 2553
Last Update : 22 มีนาคม 2553 2:11:42 น. 3 comments
Counter : 1079 Pageviews.

 
..ติดตามอ่านอยู่ตลอด..

ขอบคุณมาก..


โดย: ก้นกะลา วันที่: 22 มีนาคม 2553 เวลา:3:48:32 น.  

 


โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 22 มีนาคม 2553 เวลา:8:08:37 น.  

 
ขอบคุณที่ยังอ่านตลอดมาค่ะ



โดย: ธารน้อย วันที่: 23 มีนาคม 2553 เวลา:1:13:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ธารน้อย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ธารน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.